ตอนที่ 31 สยบมังกรคชสาร
หนังวัวน่าจะมีอายุนานมาก แต่ไม่ว่าจะลูบตรงไหนมันก็ยังเรียบเนียน โดยรวมแล้วหนังวัวไม่มีจุดเสียหาย
“ดูไม่เหมือนหนังวัวธรรมดา หรือเป็นของสัตว์อสูร?”
ความคิดแปลกๆผ่านเข้ามาในใจเฉินเฟย มีข่าวลือว่านอกจากสิ่งแปลกประหลาดแล้ว ในโลกนี้ยังมีสัตว์อสูรด้วย
สัตว์อสูรฝึกฝนตัวเองเช่นเดียวกับมนุษย์ พวกมันไม่เพียงฉลาดแต่ยังมีพลังมหาศาล
เพียงแต่ในอำเภอผิงหยินไม่มีสัตว์อสูร มีแค่สิ่งแปลกประหลาดที่มักปรากฏให้เห็น
หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินเฟยขยี้ตาเงยหน้าขึ้น
เฉินเฟยรู้สึกสับสนเมื่ออ่านวิชาในหนังวัว ไม่ว่าจะมองยังไงก็รู้สึกว่าสิ่งนี้แตกต่างจากวิชาทั่วไป
ถ้าต้องฝึกตามปกติ เฉินเฟยคงไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร
ไม่รู้ว่าเจี่ยนเหลียงเข้าใจคลื่นโหมกระหน่ำบ้าคลั่งจากหนังวัวได้อย่างไร หรือวิชานั้นอาจไม่ได้มากจากหนังวัวแต่เป็นวิชาอื่น
เจี่ยนเหลียงอาจรู้ว่าวิชาที่บันทึกบนหนังวัวนั้นมีค่าจึงเก็บไว้กับตัวและนำมาออกมาศึกษาเป็นครั้งคราว
เฉินเฟยมองหนังวัวและออกแรงฉีกมันเล็กน้อยแต่หนังวัวกลับไม่ขยับ สีหน้าเฉินเฟยเปลี่ยนไป เขาใช้กระบี่กดลงหนังวัวและลากมัน
ผลคือเฉินเฟยทุ่มสุดแรงแต่หนังวัวไม่เสียหายแม้แต่น้อย
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาวางหนังวัวไว้ตรงหัวใจ เป็นเพราะเขารู้พลังป้องกันของหนังวัวนี่เอง”
เฉินเฟยตะลึง แต่สุดท้ายเจี่ยนเหลียงก็ไม่ได้ใช้การป้องกันของหนังวัว
ตอนนั้นกระบี่แรกของเฉินเฟยแทงทะลุกลางอกของเขา และกระบี่ที่สองแทงที่คอ ความคิดตามสัญชาตญาณของเฉินเฟยในตอนนั้นคือหลายคนจะปกป้องหัวใจอย่างแน่หนา แต่คงคิดไม่ถึงว่าจะโดนแบบนี้
[วิชายุทธ์: สยบมังกรคชสาร(ยังไม่เริ่ม)]
“ห้าหมื่นตำลึง ค่าทำให้เป็นแบบง่ายเกินจริงมาก!!”
เฉินเฟยอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นข้อมูลบนระบบ
มันสะท้อนให้เห็นถึงพลังและความยากของวิชานี้ ขนาดเซียนชี้นำที่เป็นกระบวนท่าสังหารของเฉินเฟยยังมีราคาเพียงห้าร้อยตำลึง
ช่องว่างนี้มากกว่ากันร้อยเท่า ด้วยอัตราการทำเงินของเฉินเฟยในเวลานี้ เขาต้องใช้เวลาเก็บเงินอีกนานและไม่สามารถใช้เงินได้
“คงไม่ได้ฝึกมันในเร็วๆนี้แน่” เฉินเฟยส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มีหัวหลายร้อยถูกแขวนไว้บนประตูเมืองเป่ยเฉิงของอำเภอผิงหยิน และหัวเจี่ยนเหลียงเป็นหนึ่งในนั้น
อำเภอตอบโต้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับผู้ลี้ภัยที่ย้ายเข้ามานั้นหน้าตาบางคนถึงกับน่าเกลียดเป็นพิเศษ ในนี้มีทั้งโจรภูเขาและพวกลักเล็กขโมยน้อย
ทัศนคติของที่ว่าการอำเภอผิงหยินชัดเจนเช่นกัน นั่นคือการข่มขวัญให้หวาดกลัว
เพิ่งทำคดีได้ไม่ถึงสองวัน ที่ว่าการอำเภอก็ส่งคนออกมาปิดล้อม แม้หลายคนจะหลบหนีได้แต่มีหลายคนที่ถูกฆ่าตาย โดยเฉพาะหัวของเจี่ยนเหลียงที่ทำให้โจรบางคนที่เห็นถึงกับสะดุ้ง
นั่นคือหนึ่งในผู้นำทั้งสาม เมื่อคืนเขาฝ่าการปิดล้อมได้แต่สุดท้ายกลับหนีไม่รอดจาความตาย
“พี่ใหญ่ ทำไมเราไม่ออกจาอำเภอผิงหยินกันก่อนล่ะ น้องสามโดนปิดล้อมจนกลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว อำเภอผิงหยินน่าจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่ การปลอมตัวง่ายๆของเราคงหลอกสายตาเขาไม่ได้แน่”
“ยังไม่ทันได้แก้แค้นให้น้องสาม เจ้ากลับบอกให้ข้าหนีไปก่อนงั้นหรือ?” ทันใดนั้นดวงตาหลิงฮั่นจุนเปลี่ยนเป็นดุร้าย
“ข้าแค่เป็นห่วงเรื่อง...”
“เพี๊ยะ!”
หลิงฮั่นจุนตบคนคนนั้นด้วยมือข้างเดียว เขาขัดคำพูดของคนคนนั้นโดยตรง
“ไปตรวจสอบมา ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ต้องหามันให้เจอ ข้าจะให้มันชดใช้ด้วยเลือด!”
หลิงฮั่นจุนคำรามด้วยความโกรธ เมื่อเห็นท่าทางสั่นเทาของคนอื่นหลิงฮั่นจุนจึงหายใจเข้าลึก “ทิ้งไว้คนที่นี่สองสามคน ส่วนคนอื่นให้ทยอยออกจากเมืองไป”
คนอื่นไม่กล้าฝ่าฝืนจึงตกลงและเริ่มตามหาคนที่ฆ่าเจี่ยนเหลียง
ตกกลางคืน เฉินเฟยเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตลาดมืด เขาไม่เห็นร่องรอยของโจรภูเขาเหล่านั้นอีกเลย ส่วนใหญ่เป็นเพราะเฉินเฟยจำพวกเขาได้ไม่กี่คนเท่านั้น นั่นจึงเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะคนอื่นภายใต้การปลอมตัวได้
เฉินเฟยไม่ได้รับข้อมูลที่ต้องการแต่หันไปเห็นข้อเสนอค่าหัวโดยบังเอิญ และใบหน้านั้นเป็นใบหน้าเดียวกับที่เขาใช้เมื่อคืน
หากให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จะได้รับหนึ่งพันตำลึง หากจับตัวได้จะได้รับห้าพันตำลึง นี่เป็นภาพวาดขนาดใหญ่ เกรงว่าคงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทนได้
“เห็นได้ชัดว่าตลาดมืดมีเบื้องหลังเป็นที่ว่าการอำเภอ แต่พวกโจรภูเขายังกล้ามาตั้งรางวัลที่นี่อีก”
เฉินเฟยส่ายหน้า สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าโจรภูเขาเหล่านี้ต้องการฆ่าเขามากขนาดไหน
เมื่อเดินออกจากตลาดมืดก็มีคนติดตามหลังเขามา เฉินเฟยเดินไปรอบๆสองสามครั้งก่อนจะสลัดอีกฝายออก
กลับมาที่ลานบ้าน เฉินเฟยเริ่มฝึกวิชากระบี่
เฉินเฟยไม่มีทางเลือกอื่นเพราะหาพวกโจรภูเขาไม่เจอ โชคดีที่พวกมันจดจ่อกับการตามหาใครบางคนบวกกับที่ว่าการอำเภอได้แจ้งเตือนไปทั่วเมืองแล้ว ดังนั้นพวกมันน่าจะอยู่ในเมืองได้อีกสองสามวัน
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ผู้ลี้ภัยเริ่มกลายเป็นผู้อยู่อาศัยตัวจริงของอำเภอผิงหยิน ที่ว่าการอำเภอผิงหยินก็มั่นคง ไม่มีใครถูกฆ่าตายในตอนกลางคืน สิ่งเดียวคือรางวัลของโจรภูเขาเพิ่มเป็นแปดพันตำลึง
ดูเหมือนว่านักยุทธ์ทุกคนจะถูกรางวัลนี้ดึงดูดเช่นกัน
หากหาไม่เจอก็ต้องจ่ายให้มากขึ้น
“แผนที่นี้มันอะไร? คงไม่ใช่สำหรับหนังวัวนั่นใช่ไหม?”
ทันใดนั้นเฉินเฟยก็ตระหนักได้ว่าวิชายุทธ์นี้ช่างน่าอัศจรรย์ หลังเฉินเฟยอ่านจบอีกรอบตอนนี้เขากลับลืมไปหมด คาดว่าหลังจากนี้ก็น่าจะลืมเหมือนกัน
หลังค้นพบปรากฏการณ์นี้เฉินเฟยจึงบันทึกสยบมังกรคชสารลงกระดาษ และมีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งทำให้เขาต้องอ้าปากค้าง ข้อความบนกระดาษเหล่าจะหายไปอย่างอธิบายไม่ได้ในวันรุ่งขึ้น
“หลักการของมันคืออะไร?”
เฉินเฟยรู้สึกสับสน ไม่น่าแปลกใจที่วิชายุทธ์นี้จะถูกบันทึกไว้ในหนังวัวชนิดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาต้องเก็บไว้กับตัว ก่อนจะเรียนวิชายุทธ์นี้ได้อาจต้องอ่านข้อความบนหนังวัวสองสามครั้งเป็นครั้งคราว
“บนระบบบันทึกวิชานี้ไว้แล้ว ข้านำหนังวัวนี้ไปขายดีไหม?”
เฉินเฟยคิดอยู่ในใจและค้นพบความเข้าใจของโลกนี้ ในอำเภอผิงหยินน่าจะไม่มีคนซื้อหนังวัวได้
พูดอีกอย่างคือต่อให้มีคนซื้อมัน แล้วเฉินเฟยจะปกป้องเงินที่ได้รับมาอย่างไร?
“ใช้เป็นเกราะบังหน้าอกแล้วกัน”
เฉินเฟยส่ายหัววางเรื่องนี้ไว้และอุทิศตนให้กับการฝึกกระบี่
ช่วงเวลาล่วงเลยผ่านไป เฉินเฟยผสานวิชากระบี่สามชุดทำให้ระดับวิชากระบี่สูงขึ้นอีกขั้น การบ่มเพาะก้าวหน้าขึ้น แต่ในช่วงนี้อันสั้นนี้ยังไม่สามารถทะลวงระดับหลอมกระดูก
แต่การทดลองโอสถจิตเบาเริ่มแสดงผลให้เห็นบ้างแล้ว บางทีหลังจากนี้ไม่นานเฉินเฟยอาจหลอมโอสถจิตเบาได้ด้วยตัวเอง
“ออกมา ออกมาให้ข้า!”
ประตูห้องหลอมโอสถถูกเปิดออก จางเยว่เจินเดินเข้ามาในจังหวะทีเฉินเฟยกำลังหลอมโอสถอยู่พอดี
“ในช่วงการหลอมโอสถห้ามรบกวนเด็ดขาด นี่เป็นกฎของศูนย์การแพทย์!” สีหน้าเฉินเฟยน่าเกลียดเล็กน้อย
“ในศูนย์การแพทย์เป่ยเฉิง คำพูดของข้าคือกฎ!”
จางเยว่เจินโบกมือขัดจังหวะของเฉินเฟยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เลิกพูดเรื่องไร้ประโยชน์พวกนั้นแล้วไปคฤหาสน์ตระกูลจาง!”
“รีบไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นคุณหนูใหญ่จะลงโทษ เจ้าทนรับไม่ไหวแน่!”
ตันเซียงมองเฉินเฟยและกระตุ้นเขาโดยตรง