บทที่ 29
วันนี้ลง 29 30
บทที่ 29
ลมหนาวพัดเย็นสบาย เกล็ดหิมะโปรยปราย
ตอนนี้ฤดูหนาวมาถึงแล้ว ทั้งเมืองเทียนตูถูกปกคลุมด้วยม่านสีขาวของหิมะในชั่วข้ามคืน
กระนั้น แม้ฤดูหนาวนี้มาเยือน แต่เมืองหลวงของต้าหยานกลับไม่ได้หดหู่เพราะมัน ตรงกันข้าม เนื่องจากงานประลองการเกณฑ์ทหารที่มีเพียงครั้งเดียวในรอบทศวรรษ เลยทำให้ที่นี่คึกคักชีวิตชีวามากขึ้น
ในทุกๆ 10 ปีในรัฐต้าหยานจะมีงานเกณฑ์ทหาร เพื่อรับรองความมั่นคงของดินแดนในปกครอง มิให้ถูกรุกรานจากศัตรูต่างรัฐ
ตามกฏชาติต้าหยาน ทุกนิกายและทุกตระกูลต้องส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งมาเข้าร่วมองค์รักษ์ธงดำที่จัดตั้งโดยราชสำนักและรับราชการทหารเป็นเวลาสิบปี เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาสิบปี พวกเขาถึงสามารถกลับไปยังนิกายและตระกูลของตนได้
ซึ่งงครักษ์ธงดำที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐต้าหยาน ผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับยังอุดมสมบูรณ์มาก เวลามีค่าใช้จ่ายอะไร ทั้งหมดรัฐก็เป็นคนออกให้
อันดับแรกเลย ตลอดระยะเวลาที่เป็นองครักษ์ธงดำ ท่านจะสามารถเพลิดเพลินไปกับหินดวงดาวมากมายเพื่อเป็นทุนสนับสนุนขั้นพื้นฐาน
ประการที่สอง หลังจากสมาชิกขององครักษ์ธงดำเสร็จสิ้นภารกิจ พวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นทักษะฝึก วิชายุทธ โอสถ หรือกระทั่งสมบัติล้ำค่า!
และข้อสุดท้าย หากสมาชิกขององครักษ์ธงดำกระทำผิดใดๆมาก่อน หลังจากเข้าร่วมกับองครักษ์ธงดำ จะได้รับการอภัยโทษจากความผิดทั้งปวง กล่าวคือ แม้ว่าเจ้าจะเคยฆ่าหรือจุดไฟเผาคนมาก่อน ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมองครักษ์ธงดำแห่งต้าหยานได้สำเร็จ ก็จะได้รับการยกเว้นโทษ
ดังนั้น จึงไม่เพียงมีแค่นิกายและตระกูลเท่านั้นที่เต็มใจสมัครเข้าร่วมองครักษ์ธงดำ เพื่อรับราชการทหาร กระทั่งนักบู๊ที่ไร้ผู้ใดหนุนหลัง หรือคนที่ตั้งใจใช้แผนนี้หลุดพ้นเป็นอิสระก็มาเข้าร่วมเช่นกัน
ส่วนวิธีที่จะเข้าร่วมได้ คือ งานประลองการเกณฑ์ทหารของต้าหยาน ก่อนเข้าร่วมหน่วยองครักษ์ธงดำ ที่นี่คือ สถานที่ที่ดีที่สุดในการแสดงความแข็งแกร่ง
ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา หลังจากท่านอ๋องหลิวประกาศวันการเกณฑ์ทหาร ทางนิกายต่างๆ ตระกูล และนักบู๊ที่ว่างงาน จึงเตรียมตัวออกเดินทางมายังเมืองหลวงเทียนตูของรัฐต้าหยาน
ยังเหลือเวลาอีกสิบกว่าวัน กว่าจะถึงเกณฑ์ทหาร แต่ตอนนี้เมืองทั้งเมืองเทียนตูเริ่มแออัด ที่นี่ไม่เพียงมีคนของนิกายใหญ่หรือตระกูลต่างๆที่มาร่วมเกณฑ์ทหาร แต่มีกระทั่งนักบู๊ว่างงานและพ่อค้าแม่ขายจำนวนมากที่ตั้งใจใช้โอกาสนี้สร้างรายได้
“ข้างหน้านี่น่ะหรือเมืองหลวงเทียนตู?”
สวี่ล่ายนั่งบนหลังม้า เงยหน้าขึ้นมองเมืองหลวงเทียนตูอันงดงาม เกิดความรู้สึกเหมือนบ้านนอกเข้าเมือง
“เฮ่ะ เฮ่ นายน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาเมืองเทียนตู? เมืองหลวงแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อย่างน้อยนับหมื่นปี ย้อนกลับไปเมื่อกษัตริย์แห่งรัฐต้าหยานท่องโลกสู้รบไปทั่ว เขาบังเอิญผ่านที่นี่ และพบว่าฮวงจุ้ยที่นี่ยอดเยี่ยม มีมังกรฟ้าอยู่ทางซ้าย ทางขวามีพยัคฆ์ขาวคอยปกปักษ์ ด้านหน้ามีหงส์เพลิงเป็นเกราะคุ้มกัน ด้านหลังมีเต่าดำนั่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ เรียกได้ว่าที่นี่น่ะ ที่นี่...”
สวี่เปาเชิดหน้า พูดอย่างฉะฉาน อย่างไรก็ตาม มีหมึกเพียงเล็กน้อยในท้องเขา และตอนนี้สวี่เปาได้ใช้ไปหมดสิ้นแล้ว จึงไม่รู้ว่าต้องร่ายประโยคต่อไปว่าอย่างไร
“ตามคำกล่าวที่ว่า จิตวิญญาณเที่ยงแท้ปกป้องทิศทั้งสี่ ปราณวิญญาณจากสวรรค์และปฐพีมาบรรจบกันที่นี่ กลายเป็นดินแดนขุมทรัพย์สำหรับสร้างรัฐและสร้างอาชีพอย่างแท้จริงใช่หรือไม่?” สวีหันมามายิ้มเหอะๆ ให้เขา
“เอ่อ ใช่แล้ว บริวารตั้งใจจะพูดแบบนั้นเลย ฮี่ ฮี่ สมกับที่เป็นนายน้อย เปี่ยมด้วยความรู้และรอบรู้จริงๆ...”
“เพ้ย! ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าเจ้าต้องอ่านตำราให้มากๆ แต่เจ้ามักทำหูหวนลม วันๆรู้จักแต่วิธีจีบหญิง ประโยคที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่ มันบันทึกไว้ในตำราหน้าแรกของ 《ต้นกำเนิดรัฐต้าหยาน》 นี่บ่งบอกว่าเจ้าไม่ได้อ่านหน้าแรกจบด้วยซ้ำ”
สวี่ล่ายหยิบหวายขึ้นมา ฟาดใส่หลังสวี่เปาอย่างแรง
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
“ไอ้หยา นายน้อยอย่าตีคน! นายน้อยอย่าตี” สวี่เปาร้องขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเจ็บปวด
“สมควรแล้ว ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ว่าการเอาแต่ประจบทั้งวันทั้งคืนไม่ใช่การกระทำที่จะช่วยให้ก้าวหน้า”สวี่หูหัวเราะ เร่งให้ม้าตัวเองมาที่ด้านข้างของสวี่ล่าย
“สวี่หู”
“นายน้อย”
“เมืองเทียนตูนี้ดูใหญ่กว่าเมืองหรันเถียนมาก” สวี่ล่ายเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงกำแพงเมืองเทียนตูนั้นสูงลิ่ว และจารึกไว้ด้วยอักขระยันต์สว่างไสว หน้าประตูเมือง ผู้คนพลุกพล่านเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“นายน้อย ในฐานะเมืองหลวงของรัฐต้าหยาน จึงมีพื้นที่ขนาดยี่สิบเท่าของเมืองหรันเถียน ประชากรเกือบห้าล้านคน”
“ประชากรห้าล้านคน? จุ๊ จุ๊ ...” สวี่ล่ายแอบส่ายหัว
สำหรับสวี่ล่ายที่มาจากโลกอื่น เมืองที่มีประชากรแค่ห้าล้านคน ยังถือได้ว่าเป็นเมืองชั้นสี่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับในโลกนี้ถือว่าค่อนข้างมากแล้ว
กลุ่มของสวี่ล่ายเข้าใกล้ประตูเมืองอย่างช้าๆ แต่ถูกหยุดโดยกลุ่มทหารเกราะเงินที่หน้าประตูเมือง
“ขอทำการตรวจสอบตราประจำตระกูล บอกชื่อตระกูล และที่ตั้งของตระกูล” ชายไว้หนวดหยุดสวี่ล่ายและคนอื่นๆ
“เมืองหรันเถียน ตระกูลสวี่” สวี่หูก้าวมาข้างหน้าและแสดงตราประจำตระกูล
หลังจากเห็นแล้ว ชายไว้หนวดก็ยิ้มดูแคลน “ตระกูลสวี่? ตระกูลที่ถูกถอนหมั้นนั่นน่ะหรือ? ได้ยินว่านายน้อยเจ้าเป็นเศษขยะของจริง คู่หมั้นถึงได้กลายเป็ฯรางวัลสำหรับงานประลองเกณฑ์ทหารครั้งนี้”
“นี่เจ้าหาเรื่องทะเลาะ!?”
สวี่หูโกรธมาก พุ่งไปข้างหน้าพร้อมยกฝ่ามือโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ฝ่ามือร้อยปะทะ!”
“เจ้ากล้า!? หัตถ์กรงเล็บมังกร!”
ชายไว้หนวดไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอ ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายเปลี่ยนฝ่ามือเป็นกรงเล็บ ตะปบไปข้างหน้า
ป้าง!
คลื่นอัดอากาศระเบิดออก ผลประมือสวี่หูและชายไว้หนวดสูสี ถอยหลังไปคนละสองสามก้าว
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มีคนคิดบุกเข้าไปในประตูเมือง!”
“ล้อมไว้!”
เหล่าทหารเกราะสีเงินรุมเข้ามา ล้อมรอบสวี่ล่ายและคนอื่นๆ สมาชิกตระกูลสวี่ก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ ต่างฝ่ายต่างชักอาวุธออกมาและพุ่งไปข้างหน้า
“ปกป้องนายน้อย!”
“ไป!”
แต่ในเวลานั้นเอง...
“หยุด!”
“หยุด!”
สวี่ล่ายและแม่ทัพชุดเกราะดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตะโกนพร้อมกัน
“ฮึ่ม พวกเจ้าดีแค่ไหนกันถึงกล้ารำดาบเล่นหอกกันหน้าเมืองหลวง?” ชายวัยกลางคนนำกลุ่มองครักษ์ธงดำเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย
“คารวะท่านแม่ทัพ”
“คารวะท่านแม่ทัพ”
เมื่อทหารเกราะเงินเห็นชายคนนี้ พวกเขาทั้งหมดก็กลายเป็นแกะน้อยทันที
“อธิบายมา นี่มันเรื่องอะไรกัน?” แม่ทัพวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง
“เรียนแม่ทัพโจว รุ่นเยาว์ของตระกูลนี้ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ พูดจาไม่ดีและลงมือโจมตีข้า ขอท่านแม่ทัพจับกุมพวกเขา” นายประตูมีหนวดเดินเข้ามา เอ่ยวาจาฟ้องอีกฝ่ายเป็นคนชั่วช้า
“โอ้ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” แม่ทัพโจวขมวดคิ้ว หันหน้ามาสอบถาม
ตอนนี้สวี่ล่ายได้ลงจากหลังม้าแล้ว และเข้ามาใกล้ๆ
“เรียนท่านแม่ทัพ ตระกูลสวี่ของเราแม้อ่อนแอ แต่ศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลจะเสื่อมเสียไม่ได้ เมื่อนายประตูคนนี้ได้ยินว่าเรามาจากตระกูลสวี่ ปากพลันไม่มีหูรูด เอ่ยประชดประชันเหน็บแนม คนอารักขาของข้าย่อมปกป้องข้าโดยธรรมชาติ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตระกูล ด้วยเหตุนี้จึงลงมือชั่ววูบ”
“ต่อไปต้องขอโทษสําหรับเรื่องนี้ด้วย” สวี่ล่ายประสานมือกุมหมัด ในคําพูดไม่ถ่อมตัวหรือไม่หยิ่งผยองจนเกินไป
“โอ้? เจ้ามาจากตระกูลสวี่?” แม่ทัพโจวผงะเล็กน้อย
“ผู้น้อย สวี่ล่าย ยินดีที่ได้พบแม่ทัพโจว” สวี่ล่ายรีบบอกชื่อตัวเอง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” แม่ทัพโจวมองสวี่ล่ายขึ้นๆ ลงๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองชายไว้หนวดข้างๆ
“ ข้าได้ยินเรื่องตระกูลสวี่มาก่อน เดิมนี่เป็นเรื่องส่วนตัวภายในตระกูล แต่เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของท่านอ๋องหลิว มันเลยลุกลามเป็นที่รู้จักของคนทั้งรัฐเฉกเช่นตอนนี้ ระหว่างผู้อื่นกำลังทุกข์ร้อน แต่เจ้ากลับใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้อื่นขายหน้าอีกหรือ?
“เรียน ... เรียนท่านแม่ทัพ ข้า ... ข้า ...” คนเฝ้าประตูเกราะเงินพอได้ยิน ก็เหงื่อแตกเหมือนฝนตกทันที ติดอ่างประหม่าไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ดูท่าสิ่งที่กล่าวมานั้นเป็นความจริง ฮึ่ม!” ดวงตาของแม่ทัพโจวหรี่เล็ก ตะคอกเย็นชา “อย่างที่เขาพูดกัน ยอมทุบวิหารทิ้งดีกว่าล่มงานแต่ง! หลิวว่านห่าวในฐานะท่านอ๋องได้แทรกแซงเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นที่น่าอับอายในตำแหน่งอ๋องใหญ่ และพวกเจ้าก็ยังพูดจาหยาบคาย ยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น! ช่างน่าอัปยศยิ่งนักสำหรับกองทัพหยานอันเกรียงไกรของพวกเรา”
“ผู้ใต้บังคับบัญชา ...... ผู้ใต้บังคับบัญชามีความผิด!”
ชายไว้หนวดตกใจมาก รีบคุกเข่าลงและยอมรับความผิดตัวเอง
“ลากตัวไป โบย 20 ที จำคุก 3 เดือน ระหว่างนั้นกลับไปพิจารณาตัวเอง”องครักษ์ธงดำทั้งซ้ายและขวารุมกันถอดชุดเกราะใช้ไว้หนวด
“ท่านแม่ทัพโปรดยกโทษ ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้ชีวิตด้วย...” ชายไว้หนวดตื่นตระหนก โค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าร้องขอความเมตตา
สวีมาเห็นแบบนี้ก็ตกตะลึงทันที ไม่เคยคิดเลยว่าแม่ทัพโจวตรงหน้า ไม่เพียงแยกแยะความถูกผิดอย่างชัดเจน แต่ยังล้างรางวัลต้องโทษอย่างชัดเจน และดูเหมือนเขาจะไม่ไว้หน้าท่านอ๋องหลิวคนนี้เลย
อย่างไรก็ตาม เวลานี้สวี่ล่ายค่อยๆ เกิดความรู้สึกว่าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็เกิดปัญหา เกรงว่าอาจมีผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสเบี่ยงเบนถูกผิด ทำให้เรื่องเลวร้ายลง ด้วยเหตุนี้ ควรทำเรื่องต่างๆให้เล็กลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า
คิดได้แบบนี้ สวี่ล่ายรีบก้าวไปข้างหน้า สองกำปั้นประสานเข้าด้วยกัน “แม่ทัพโจว ในเมื่อทหารผู้นี้รู้ความผิดของตัวเองแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ยังไงซะทั้งข้าหรือเขาต่างก็ผิดกันทั้งคู่”
“โอ้? คุณชายสวี่ตั้งใจจะขอร้องแทนเขา?” แม่ทัพโจวอึ้งเล็กน้อย จู่ๆสวี่ล่ายก็เปิดปากร้องขอความเมตตา
“เป็นเช่นนั้น หากท่านแม่ทัพลงโทษเขาในที่สาธารณะ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะถูกผู้คนมองเป็นเรื่องตลก รังแต่จะทำให้ชื่อเสียงของกองทัพเสื่อมเสีย”สวี่ล่ายกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยพลางถอนกำปั้นออก
“เช่นนั้นก็ได้” แม่ทัพโจวพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกว่ามีเหตุผลจึงหันไปตําหนิทันทีว่า “วันนี้มีคุณชายสวี่ขอร้องแทนเจ้า เราแม่ทัพจะยอมปล่อยไป หวังว่าครั้งหน้าเจ้าจะมีวินัยมากกว่านี้”
“ขอบ ... ขอบคุณท่านแม่ทัพสำหรับความกรุณา! ขอบคุณคุณชายสวี่ที่ช่วยขอความเมตตา”ชายไว้หนวดคุกเข่าลง โขกศีรษะ ปราศจากความเย่อหยิ่งสามหวาเช่นก่อนหน้านี้
“ไปให้พ้น!” แม่ทัพโจวโบกมือ ขับไล่คนเฝ้าประตูที่มีหนวดออกไป จากนั้นหันศีรษะมายังสวี่ล่าย “คุณชายสวี่ช่างใจกว้างนัก รู้จักแบ่งหนักเป็นเบา มิใช่คนไร้ประโยชน์อย่างข่าวลือ เราผู้เฒ่าชื่นชมยิ่งนัก”
“แม่ทัพโจวสุภาพเกินไปแล้ว เด็กน้อยเช่นข้าไม่สมควรได้รับมัน” สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย ประสานกำปั้นเอ่ยอย่างถ่อมตน
“ข้าหวังว่าเจ้าจะเปล่งประกายในงานประลองการเกณฑ์ทหาร คว้าชัยชนะดั่งปรารถนา เราผู้เฒ่ากำลังรอท่านอยู่ หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้ง พยายามเข้า!” แม่ทัพโจวกล่าวทิ้งท้าย หันหลังกลับและจากไปพร้อมกับกองทัพธงดำ
มองด้านหลังของแม่ทัพโจว สวี่ล่ายหันศีรษะไปถามผู้เฝ้าประตูเกราะเงินข้างๆ เขา “ข้าสงสัยนักว่าแม่ทัพโจวคนนี้เป็นใคร?”
“โอ้ คุณชายสวี่อาจไม่รู้ โจวอี้ฝาน หรือแม่ทัพโจวผู้นี้คือผู้บัญชาการกองทัพธงดำของเรา ระดับฐานบำเพ็ญเพียรไปถึงขอบเขตรวมจิตขั้น 9 แล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะทะลวงคอขวดก้าวสู่สมญานามประมุขนักสู้” ยามเฝ้าประตูเกราะเงินอีกคนไม่กล้าชักช้า รีบอธิบายอย่างอดทน
“อะไรนะ!?ขั้น 9 ขอบเขตรวมจิต?? สมญานามราชานักสู้?” เมื่อได้ยินแบบนี้ สวี่ล่ายตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าแม่ทัพโจวที่ที่เป็นผู้บัญชาการของกองทัพธงดำ จะมีพลังรบในระดับราชานักสู้ด้วย
“มันทำให้ข้าทึ่งจริงๆ……”
มองหลังแม่ทัพโจว สวี่ล่ายแอบอุทาน ก่อนประสานกำปั้นให้แก่ทหารยามเกราะเงิน “ขอบคุณ” จากนั้นก็นำหน่วยอารักขาตระกูลสวี่เข้าเมืองเทียนตูอย่างราบรื่นปราศจากปัญหาใดๆ
หลังจากที่สวี่ล่ายและคนอื่นๆ จากไป คนเฝ้าประตูไว้เคราที่ถูกลงโทษ ดวงตาทั้งสองข้างสะท้อนเจตนาฆ่าจางๆ ...