ตอนที่แล้วตอนที่ 10 สูตรโอสถใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 โจร

ตอนที่ 11 ไม่คาดคิด


งานอดิเรกแปลกๆที่ชอบทอดตับหมูของเฉินเฟยกระจายไปทั่วศูนย์การแพทย์ ตับหมูทอดคือตับหมูทอด แต่เพราะมันมีขนาดเพียงเล็บมือจึงทำให้ทุกคนสับสน

แต่ช่วงนี้เขาเลิกทอดตับไหมูไปแล้ว ไม่รู้ว่าเบื่อที่จะกินหรือเพราะอะไร และครั้งล่าสุดเปลี่ยนไปทอดไก่กับมันเทศแทน

แม้แต่ชุยซานเจียยังมาถามเฉินเฟยด้วยตัวเองว่าต้องการจองห้องครัวด้านหลังศูนย์การแพทย์หรือไม่

เฉินเฟยปฏิเสธและใช้เงินบางส่วนเช่าบ้านหลังเล็กในอำเภอ เขาอาศัยอยู่กินข้างนอกและกลับมาที่ศูนย์การแพทย์เมื่อหลอมโอสถ

ในชีวิตก่อนเฉินเฟยเกลียดชีวิตที่ต้องทำงานแบบนี้ แต่ในโลกนี้มันทำให้เฉินเฟยมีความสุขอย่างยิ่ง

ใครก็ตามที่เห็นว่าการทำงานหนักของตัวเองสามารถได้รับรางวัล คาดว่าพวกเขาคงจะเป็นเหมือนเฉินเฟยเช่นกัน

โดยปกติแล้วหลายคนไม่ได้เกียจคร้าน แต่พวกเขาจะเริ่มหย่อนยานลงหลังจากทำงานหนักและไม่เห็นผลตอบแทน เฉินเฟยฝึกทำอาหารและหลอมโอสถซึ่งทำให้เขายุ่งมากในแต่ละวัน แม้แต่เวลานอนตอนกลางคืนยังถูกใช้ไปกับเรื่องเหล่านี้

การนอนดึกกลายเป็นสิ่งเสพติดไปแล้ว

สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในลานบ้าน เฉินเฟยถือกระบี่หมุนตัวไปมา แสงที่ส่องจากกระบี่กะพริบอยู่รอบๆ กระบี่เขาเขียวปลดปล่อยพลังมหาศาลจากมือของเฉินเฟยอย่างรุนแรงและรวดเร็ว

ถ้าใครสักคนจากศูนย์การแพทย์เห็นภาพนี้ พวกเขาจะจำไม่ได้เลยว่านี่เป็นรูปแบบวิชากระบี่ที่ศูนย์การแพทย์สืบทอดต่อกันมา แม้ว่าทั้งสองวิชาจะคล้ายคลึงกันแต่ส่วนใหญ่ล้วนแตกต่าง

“ฟุบ!”

เสียงใบมีดแหลมคมฟันผ่านอากาศ เฉินเฟยหยุดนิ่งครู่หนึ่ง รอยแตกปรากฏบนหินในลานบ้าน รอยแตกนั้นเรียบมากราวกับถูกขัดอย่างประณีต

“ปราณกระบี่?”

เฉินเฟยประสบความสำเร็จในการฝึกกระบี่เขาเขียวไปถึงระดับรู้แจ้ง หลังจากวิชากระบี่เขาเขียวถึงระดับรู้แจ้งก็ได้สร้างปราณกระบี่ขึ้นมา

ปราณกระบี่ยังคงอยู่ แต่มันไม่ห่างจากใบดาบและอยู่ห่างปลายกระบี่ได้น้อยกว่าหนึ่งฟุต หากฝ่ายตรงข้ามระวังตัว การทำร้ายอีกฝ่ายด้ายปราณกระบี่จะเป็นเรื่องยาก

แต่ศัตรูจะถูกโจมตีได้ง่ายถ้าใช้ปราณกระบี่อย่างกะทันหัน เพราะคงไม่มีใครคิดว่านักยุทธ์ขัดเกลาผิวหนังจะใช้ปราณกระบี่ได้

ปราณกระบี่เกี่ยวข้องกับระดับการบ่มเพาะและความชำนาญวิชา เห็นได้ชัดว่ากระบี่เขาเขียวในระดับรู้แจ้งมาถึงเงื่อนไขพื้นฐานของปราณกระบี่

ไม่เพียงเพียงกระบี่เขาเขียวเท่านั้น แต่รวมถึงวิธีหายใจลมล่องลอยที่เฉินเฟยฝึกจนถึงระดับรู้แจ้ง วิธีหายใจลมล่องลอยระดับรู้แจ้งให้คะแนนฝึกฝนต่อวันค่อนข้างเกินความคาดหมายของเฉิน

เดิมทีคาดว่าต้องใช้เวลาอีกสองเดือนจึงทะลวงระดับขัดเกลากล้ามเนื้อ แต่ตอนนี้หลังจากคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้วคาดว่าอีกเดือนกว่าเฉินเฟยจะกลายเป็นนักยุทธ์ขัดเกลากล้ามเนื้อ

ในหมู่นักยุทธ์ ระดับขัดเกลาผิวหนังอยู่ด้านล่างสุดและเหนือกว่าคนธรรมดา แต่มันยังห่างจากการอยู่ในสายตาของนักยุทธ์

แต่สำหรับระดับขัดเกลากล้ามเนื้อ ไม่ต้องพูดถึงที่อื่นเลย แม้แต่ในอำเภอผิงหยินก็แทบจะเป็นกระดูกสันหลัง ยกตัวอย่างเช่นผูเหลียวในศูนย์การแพทย์ที่อยู่ในระดับขัดเกลากล้ามเนื้อ สถานะของเขาสูงกว่าผู้คุ้มกันทั่วไปและค่าจ้างยังเพิ่มขึ้นทุกเดือน

แน่นอนว่ายังเทียบไม่ได้กับนักหลอมโอสถ ตราบใดที่นักหลอมโอสถไม่ได้ซื้อสมุนไพรจำนวนมากเพื่อนำไปฝึกฝน พวกเขาจะอยู่กินในอำเภอได้เป็นอย่างดีและสถานะสังคมยังคงสูงมาก

เป็นเวลาสิบกว่าวันแล้วที่ศูนย์การแพทย์ไม่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น แต่นอกอำเภอผิงหยินกลับมีบางอย่างเกิดขึ้น กลุ่มผู้ลี้ภัยจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามานอกอำเภอผิงหยิน กลุ่มผู้ลี้ภัยไม่ได้เข้ามาในเมืองและตั้งถิ่นฐานอยู่นอกเมือง

โลกนี้ไม่มีความแน่นอน เฉินเฟยได้ยินว่าราชวงศ์ปัจจุบันมีอายุมากกว่า700ปีแล้ว แต่หลายสิบปีก่อนได้เกิดความวุ่นวายในทุกแห่งหน

ผู้ลี้ภัยระลอกนี้เกิดจากพวกกบฏกวาดต้อนยึดอำเภอ เผา ฆ่า และปล้นสะดม ผู้ลี้ภัยเหล่านี้จึงต้องจากบ้านมาที่อำเภอผิงหยิน

“วันนี้คุณหนูใหญ่จะพาพวกเราไปเป็นหมออาสาบรรเทาภัยและนำโจ๊กไปแจก ทุกคนจงทำตัวให้สดชื่อเข้าไว้และอย่าทำให้ศูนย์การแพทย์ชิงเจิ้งของเราเสียหน้า!”

เมื่อเฉินเฟยมาที่คลินิกก็ได้ยินชุยซานเจียกำลังตักเตือนผู้คนอยู่

ศูนย์การแพทย์ชิงเจิ้งเป็นทรัพย์สินของตระกูลจางแห่งอำเภอผิงหยิน ตระกูลจางเป็นตระกูลใหญ่ในอำเภอผิงหยิน พวกเขาไม่ได้มีเพียงศูนย์การแพทย์ชิงเจิ้งแต่ยังมีร้านข้าวด้วย แต่ศูนย์การแพทย์ถือเป็นกิจการสำคัญที่สุดของตระกูลจาง รายได้และความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ล้วนมาจากศูนย์การแพทย์ชิงเจิ้ง

ที่ว่าการอำเภอมีคำสั่งให้ตระกูลใหญ่ในอำเภอผิงหยินต้องไปบรรเทาภัยนอกเมืองและต้องทำโจ๊กทุกวัน ไม่อย่างนั้นหากผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้สร้างปัญหา ที่ว่าการอำเภอจะไม่สามารถจัดการกับมันได้และสุดท้ายอำเภอผิงหยินจะได้รับผลกระทบ

“เจ้าคือเฉินเฟยหรือ?”

หญิงสาวคนหนึ่งเดินไปหาเฉินเฟยและมองขึ้นลง เขาไม่ได้ผอมอย่างในข่าวลือแต่ตัวคล้ำเกินไปซึ่งดูไม่ดี นางอดพูดด้วยความขยะแขยงไม่ได้ “ถือว่าวันนี้พวกเราได้เจอกันแล้ว ข้าทำงานที่ท่านพ่อมอบให้สำเร็จเช่นกัน”

หลังจากหญิงสาวพูดจบนางก็หันหลังจากไป

เมื่อมองด้านหลังหญิงสาว เฉินเฟยก็นึกได้ว่านี่อาจจะเป็นเจิงฉีเหลิงลูกสาวคนรองของเจิงเต๋อฟาง เมื่อไม่กี่วันก่อนเจิงเต๋อฟางพูดเรื่องนี้กับเฉินเฟยและเหมือนว่าเขาตั้งใจจะจับคู่ทั้งสองคน

ในเวลานั้นเฉินเฟยไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเจิงฉีหลิงที่นี่

จากนั้นไม่นานจางซือหนานลูกสาวคนโตของตระกูลจางก็มาถึง เจิงฉีหลิงวิ่งไปหานางอย่างสนิทสนม จางซือหนานหันมามองเฉินเฟยแต่ไม่ได้พูดอะไร

คนกลุ่มหนึ่งออกจากศูนย์การแพทย์อย่างแข็งขันและออกไปนอกเมือง

เริ่มตั้งหม้อทำโจ๊ก หมอนั่งอยู่ด้านข้าง ผู้ลี้ภัยเริ่มเข้ามาต่อแถว

ในฐานะนักหลอมโอสถเฉินเฟยจึงยื่นมือเข้าไปช่วยในเวลาจำเป็นเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูดจัดการโดยคนรับใช้ของศูนย์การแพทย์

โจ๊กส่งกลิ่นหอมลอยออกมา ไม่นานนักก็ถึงตอนเที่ยง

“คุณหนูใหญ่ มีบางคนอยากให้เรานำหมอไปรักษาพวกเขา”

ชุยซานเจียมาหาจางซือหนาน เขาชี้คนในชุดซอมซ่อที่อยู่ห่างออกไปและพูดเสียงเบา

“ทำไมคนเหล่านั้นไม่มาเอง?” จางซือหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ป่วยหนักจนลุกจากเตียงไม่ได้” ชุยซานเจียกำหยกในแขนเสื้อแน่นและพูดด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ เจ้าส่งคนสองสามคนไปที่นั่น ไปเร็วกลับเร็ว” จางซือหนานพยักหน้าเห็นด้วย อย่างไรแล้ววันนี้ก็เป็นวันบรรเทาภัย

ชุยซานเจียยิ้มและเริ่มสั่งหมอ ในเวลาเดียวเมื่อเห็นว่าเฉินเฟยว่างอยู่จึงบอกให้เขาไปด้วยและให้ผูเหลียวเป็นผู้คุ้มกันพวกเขา

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทั้งสามมาถึงลานบ้านที่ทรุดโทรม

ผูเหลียวสูดหายใจเข้า สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปและกำลังจะหันกลับมา แต่ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังผูเลี้ยวและเตะเข้าหน้าอกเขา

ผูเหลียวกระเด็นไปชนกำแพงลานบ้านและกระอั่กเลือดออกจากปาก ใบหน้าเขาซีดลงราวกับกระดาษขาว