MDB ตอนที่ 310 เครื่องรางขุนเขาสวรรค์
ราชางูเห่าตะวันตกเป็นสัตว์ดุร้าย ดังนั้นการปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่จะสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลินจินจึงอยากลองเครื่องรางที่เขาเรียนรู้มาจากผู้เฒ่าลัทธิเต๋า หวู่เฉียน เขามีคำจารึกของเครื่องรางมากมายหลากหลายแบบ และวิธีการใช้ก็ไม่ธรรมดา กล่าวคือพวกมันมีครบทุกธาตุไว้ให้หลินจินหยิบใช้ตามต้องการ
หนึ่งในนั้นคือเครื่องรางขุนเขาสวรรค์ แค่ชื่อก็ฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจ มันมีจุดเด่นในการปราบสัตว์ปีศาจ
หลินจินได้ทำการค้นคว้าเครื่องรางนี้มาก่อน และดูเหมือนว่าเป็นเวลาที่ดีที่จะทดสอบพลังของเครื่องราง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินจินก็หยิบเครื่องรางขุนเขาสวรรค์ที่เขาฝึกเขียนออกมาก่อนหน้านี้ เขาอัญเชิญด้วยพลังกายาแห่งธรรมแล้วโยนใส่ราชางูเห่า
“ขุนเขาเอ๋ย จงปรากฏกายขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้!”
ในชั่วพริบตา หินและดินจำนวนมหาศาลถูกเครื่องรางดึงไปอย่างน่าอัศจรรย์ ในชั่วพริบตา เครื่องรางได้สะสมกองดินและหินขนาดใหญ่หลายขนาด เหมือนกับชื่อของมัน กองหินมีลักษณะเหมือนภูเขาลูกเล็ก ๆ
ราชางูเห่าเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ แต่มันดูเล็กมากเมื่อเทียบกับภูเขาเทียมที่หลินจินเพิ่งสร้างขึ้นมา มันเหมือนกับการเปรียบเทียบตัวบ้านกับมนุษย์
“พิฆาต!”
หลินจินได้ออกคำสั่งพร้อมกับใช้งานกายาแห่งธรรมของเสี่ยวฮั่ว ทำให้คำพูดของเขามีพลังศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาเทียมเริ่มเรืองแสงก่อนจะพังทลายลงมาในพริบตา บดขยี้ราชางูเห่าให้อยู่ใต้น้ำหนักของมัน
หากเป็นสัตว์วิเศษธรรมดา มันก็คงตายในทันที
แม้ว่ามันจะไม่ตาย แต่มันจะถูกกดขี่โดยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง จนกว่ามันจะขาดใจตาย
ไม่เคยมีใครเห็นพลังของเครื่องรางขุนเขาสวรรค์มาก่อน แม้ว่าหวู่เฉียนจะอยู่ที่นี่ เขาก็คงตกใจเหมือนกัน
ระดับความแข็งแกร่งไม่ได้รุนแรงถึงขนาดนี้ แม้แต่ในตอนที่อาจารย์ของเขาแสดงพลังของเครื่องรางออกมา บางทีอาจมีเพียงบรรพบุรุษของนิกายของเขาเท่านั้นที่สามารถสร้างผลลัพธ์ในระดับนี้ได้
หลินจินสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้เพราะเขาได้ดัดบางคำและเสริมบางคำในคำจารึก มิฉะนั้น เขาจะไม่สามารถบรรลุถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่พวกเขาเห็นในตอนนี้ด้วยซ้ำ
และแน่นอนว่าหลินจินเองก็ตกตะลึงกับผลลัพธ์เช่นกัน
'มันดูเหมือนกับพระโพธิสัตว์กำลังคุมราชาวานรไว้ใต้ภูเขาห้านิ้วเลย[1] น่าสนใจ น่าสนใจมาก ๆ’ หลินจินรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
เขาสัมผัสได้ว่าราชางูเห่าที่เขาบดขยี้ยังไม่ตาย เป็นที่ยอมรับกันว่าราชางูเห่าเป็นสัตว์ที่มีร่างกายยืดหยุ่น ถึงกระนั้น เมื่อพิจารณาถึงอาการบาดเจ็บที่หนักหนาสาหัสของมัน เนื่องจากเครื่องรางขุนเขาสวรรค์ มันคงไม่สามารถหลบหนีได้ด้วยตัวเองในตอนนี้
ตัดภาพมาที่จั่วเหวินถังและคนอื่น ๆ ในขณะที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว จู่ ๆ ก็มีเนินเขาโผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เนินเขานี้สูงราว ๆ 200 เมตร ถึงแม้มันจะไม่ใหญ่โตมาก แต่ในโลกปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างภูเขาจากอากาศได้?
แม้แต่หลินจินก็ยังตกใจกับสิ่งที่เขาทำ แน่นอนว่าจั่วเหวินถังและคนอื่น ๆ ก็ตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน
ถึงจั่วเหวินถังจะคุ้นเคยกับหลินจินอยู่พอสมควร เขาคิดว่าหลินจินแข็งแกร่งไม่ไกลจากเขามาก แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีพลังเหนือธรรมชาติอย่างนี้ วันนี้หลินจินได้ทำลายความเชื่อที่ว่าเขารู้เรื่องต่าง ๆ ไปตั้งมากมายแล้ว
ตอนนี้จั่วเหวินถังเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมจักรพรรดิถึงออกคำสั่งพิเศษให้หลินจินเช่นนี้ มันอาจจะไม่ได้ทำเพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานของเขาแต่ทำลงไปเพราะความเกรงกลัวด้วย
จั่วเหวินถังเห็นด้วยตาของเขาเอง เนินเขาที่โผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่าก่อนที่จะตกลงบนงูจงอางตัวใหญ่นั้นและบดขยี้มัน ฉากนี้เหลือเชื่อมากจนจิตใจของเขาถึงกับสั่นคลอน
‘นี่มันเกินความสามารถของมนุษย์ไปแล้ว’
'และเขาบอกว่าเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์’
'แต่ข้าคิดว่าเขาใช่!'
อย่างไรก็ตาม จั่วเหวินถังไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับหลินจินในตอนนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเรียกหลินจินว่า ‘น้องหลิน’ อีกต่อไป
แม้แต่ทิลลี่ก็ยังตะลึงกับสิ่งนี้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะในชีวิตของเธอไม่เคยเห็นใครสร้างภูเขาจากท้องฟ้า และใช้มันสังหารศัตรูของเขา
ทั้งหมดเงียบสงบอย่างน่าขนลุก ทุกคนติดอยู่ในภวังค์ จนไม่สามารถเรียกคืนสติกลับมาได้
หลินจินหายใจเข้าลึก ๆ เครื่องรางขุนเขาสวรรค์นั้นอาศัยคำจารึกและพลังของกายาแห่งธรรมเป็นหลัก ดังนั้นพลังวิญญาณของเขาจึงใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทันใดนั้น เขารู้สึกว่ากายาแห่งธรรมะของเสี่ยวฮั่วสั่นไหวอยู่บนแขนของเขา ราวกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นกำลังบีบตัวเขา
เขารับรู้ถึงอันตรายขึ้นมาทันที
เมื่อหนึ่งวินาทีที่แล้ว หลินจินยังรู้สึกยินดีกับความแข็งแกร่งของเครื่องรางที่ทำให้เขาสามารถสร้างภูเขาได้จากอากาศได้ แต่หลังจากนั้นเพียงพริบตา เขาก็รู้สึกถึงภัยอันตรายที่มุ่งตรงมาหาเขา
เขานั่งลงทันทีโดยไม่สนใจคนอื่น ๆ หลังจากหลับตา หลินจินแผ่จิตของเขาเพื่อสังเกตโดยรอบ สิ่งที่เขามันทำให้เขาตกใจมากจนเหงื่อเย็นไหลออกมา
หลินจินกำลังสำรวจโลกผ่านดวงตาแห่งธรรมของเสี่ยวฮั่ว มุมมองของมันควรจะเหมือนกับสิ่งที่หลินจินเคยเห็น แต่ในตอนนี้ทิวทัศน์ตรงหน้า มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักแม้แต่น้อย
ผ่านสายตาของเสี่ยวฮั่ว ผืนดินได้อยู่ห่างไกลโพ้นราวกับก้นบึ้งของนรก มันทั้งมืดมิดและมีละอองเลือดกระจายไปทั่ว อย่างไรก็ตาม ฉากที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ผืนดิน แต่คือท้องฟ้า
เมื่อมองขึ้นไปเบื้องบน เขาสามารถมองเห็นเมฆเป็นชั้น ๆ สีของมันค่อย ๆ จางลงทีละชั้น ๆ จนถึงชั้นสูงสุด แต่เหนือสิ่งอื่นใด ดูเหมือนจะมีศาลาที่มีนกกระเรียนบินไปมา ดูเหมือนจะมีห้องโถงโอ่อ่าและงดงามทอดยาวไปหลายพันฟุตบนท้องฟ้า
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่น่ากลัวซึ่งดังสนั่นมาจากห้องโถงใหญ่นั้น
เพียงครู่เดียว หลินจินก็รู้สึกถึงสัญญาณของกายาแห่งธรรมของเสี่ยวฮั่วที่กำลังแตกสลาย
ด้วยความกลัว หลินจินรีบทำการรักษากายาแห่งธรรมของเสี่ยวฮั่วทันที
ปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นหรือได้ยิน
นี่คือข้อสรุปที่หลินจินสรุปได้
ในสถานการณ์ที่จนตรอกนี้ เขาไม่กล้าสงสัยอะไรมาก แต่เขาเข้าใจปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้มาจากการที่เขาเปิดใช้งานเครื่องรางขุนเขาสวรรค์เพื่อปราบราชางูเห่าตะวันตก
แต่หลินจินไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ ลำดับความสำคัญของเขาในตอนนี้คือการรักษากายาแห่งธรรมของเสี่ยวฮั่ว
หลินจินกัดฟันใช้ความแข็งแกร่งของพันธสัญญาโลหิตเพื่อรักษากายาแห่งธรรม อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังของหลินจิน สติของเขาคงจะดับไปหลังจากนับหนึ่งถึงสิบ
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปิดประตูของห้องโถงเยี่ยมชม และยืมพลังของพิพิธภัณฑ์ ด้วยสิ่งนี้เท่านั้นที่เขาสามารถจัดการได้
คนอื่นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เนื่องจากการสำแดงเดชก่อนหน้านี้ของหลินจิน พวกเขาจึงไม่กล้ารบกวนเขาและ มองดูขณะที่เขานั่งอยู่อย่างเงียบ ๆ
"คงมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น แต่ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องอะไร?" ด้วยความร้อนใจ ทิลลี่โพล่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉู่เหวินจีเกาะแขนของจั่วเหวินถังอย่างแน่นด้วยสีหน้ากังวล หลังจากผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมามากมาย จั่วเหวินถังก็สงบสติอารมณ์ลงได้ เขาลูบหลังของฉู่เหวินจีเพื่อพยายามทำให้เธอมั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
“ดูเหมือนว่าหัวหน้าหลินจะรวบรวมข้อมูลบางอย่าง ดังนั้นอย่ารบกวนเขาเลย เราคอยเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ดีกว่า”
แม้ว่าจั่วเหวินถังจะพูดเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วเขาก็กังวลพอ ๆ กับที่คนอื่น ๆ กังวล
แน่นอนว่าสิ่งที่เขากังวลนั้นไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น สิ่งที่เขากังวลคือความปลอดภัยของฉู่เหวินจี
เขาและฉู่เหวินจีรักกันมานานแล้ว อาจเรียกพวกเขาว่าคนรักก็ย่อมได้
แต่เนื่องจากตัวตนของฉู่เหวินจี แม้แต่คนอย่างจั่วเหวินถังก็ไม่อาจอยู่ร่วมเคียงเรือนกันกับเธอได้
ท้ายที่สุด ฉู่เหวินจีเป็นของโถงตระการตา
สำหรับโถงตระการตา เจ้าเมืองไป่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายย่อย แล้วจั่วเหวินถังก็ไม่เคยบอกเจ้านายของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าต่อให้พูดไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
[1] อ้างอิงมากจากตำนานเรื่องไซอิ๋ว