บทที่ 27
บทที่ 27
หลังจากทดสอบผลการฝึกของพวกสวี่หู สวี่ล่ายปลีกวิเวกอีกครั้ง
แม้ว่าวัสดุสำหรับใช้สร้างค่ายกลจะถูกใช้หมดแล้ว ยังไม่สามารถหลอมหินประสานค่ายกลได้ชั่วคราว แต่สวี่ล่ายตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากช่วงว่างในสองสามวันนี้ ฝึกฝนทักษะลับสำหรับผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล ——ทักษะเพิ่มประสิทธิภาพพลังจิต
เป็นที่รู้กันดี ว่าความแข็งแกร่งของพลังจิตนั้น คือเกณฑ์พื้นฐานที่สุดในการพัฒนาอาชีพผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล หากพลังจิตอ่อนแอเกินไป จะส่งผลต่ออัตราความสำเร็จในการสลักผนึกหินประสานค่ายกลอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลหลายคน จึงทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาทักษะลับที่สามารถช่วยเพิ่มพลังจิตของพวกเขาได้
อย่างไรก็ตาม ทักษะเหล่านี้หายากมาก เกือบทั้งหมดอยู่ในมือตระกูลใหญ่ไม่ก็นิกายที่มีอำนาจ ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อมีทักษะลับประเภทนี้เข้าสู่ตลาด จึงมักทำให้เกิดพายุนองเลือด
แต่สวี่ล่ายยังโชคดี เพราะส่วนหนึ่งใน《บันทึกสร้างค่ายกลสวรรค์แตกตื่น》 ที่เขาได้รับ มันมีบันทึกทักษะลับในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพลังจิตเอาไว้ด้วย แม้ว่าระดับจะไม่สูงมากนัก แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลมือใหม่ นั่นเพียงพอต่อการใช้งาน
พลังจิตนั้นต่างจากทักษะฝึกทางกาย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มคลื่นพลังจิตในสมอง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะฝึกฝนทักษะลับประเภทนี้
หึ่ง หึ่ง!~!
เอี๊ยดอ๊าด...
สวี่ล่ายประทับผนึกด้วยสองมือ ตบลงตามจุดสำคัญบนร่างกายตัวเอง เพื่อกระตุ้นการทำงานของพลังจิตในสมอง ตอนนี้ความคืบหน้าของสวี่ล่ายค่อนข้างราบรื่น ในสมองส่งคลื่นพลังจิตไหลลงสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม
อ๊าาาา——!
เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชดังขึ้น สวี่ล่ายรู้สึกเหมือนมีคนใช้เข็มทิ่มแทงในสมองอย่างแรง ความเจ็บปวดและอาการวิงเวียนศีรษะที่ไม่อาจอธิบายได้ประทังเข้ามา
อ๊าาาา——!
หึ่ง หึ่ง——!
คลื่นพลังจิตหลุดการควบคุม ก่อตัวเป็นพายุหมุนที่มองไม่เห็นขึ้นรอบๆสวี่ล่าย โต๊ะ เก้าอี้ และม้านั่งทั้งหมดในห้องเพียงสัมผัสมันเล็กน้อย ก็ถูกดีดกระเด็นกระดอนในพริบตา
ป้าง! ป้าง!
คลื่นพลังจิตหมุนเร็วขึ้นและเร็วขึ้น สวี่ล่ายปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ยังคงกัดฟันแน่น เม็ดเหงื่อบนหน้าผากตัวเองร่วงหล่นลงมาหยดแล้วหยดเล่า สั่นสะท้านไปทั้งตัว ในไม่ช้าเหงื่อก็ซึมผ่านเสื้อผ้าบนร่างกายจนเปียกโชก
เมื่อสวี่ล่ายกำลังจะหมดสติ ทันใดนั้นเอง ...
บรึ้ม~!
กระแสลมแรงพัดคลื่นพลังจิตทั้งหมดออกมา ความเจ็บปวดในหัวของสวี่ล่ายหายไปทันที
“หือ? นี่มัน...?”สวี่ล่ายลืมตาขึ้น สัมผัสได้ว่าโลกทั้งใบแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ห่างออกมาสิบอิงฉื่อ มดกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ห่างออกมาห้าสิบอิงฉื่อ สวี่เปากำลังเล่นหูเล่นตากับรุ่นเยาว์หญิงคนหนึ่ง
ห่างออกมาหนึ่งร้อยอิงฉื่อ งูเหลือมตัวหนึ่งกำลังเลื้อยเข้าใกล้นกตัวเล็กอย่างช้าๆ
“มันน่าทึ่งมาก” สวี่ล่ายลุกพรวดอย่างตื่นเต้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในรัศมีร้อยอิงฉื่อ สามารถสังเกตเห็นได้โดยไม่ต้องออกแรงหรือใช้ความพยายามใดๆ
หากมีใครต้องการวางแผนร้ายต่อสวี่ล่ายในเวลานี้ เขาเพียงหลับตาก็จะรู้ตัวทันที
จากนั้น สวี่ล่ายก็ค่อยๆถอนพลังจิต เดินออกมาจากกระท่อม
“สวี่เปา”
“บริวารอยู่ที่นี่!”
หวืออออ
ร่างเงาดำรีบวิ่งมาหยุดหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
“เฮ่ะ เฮ่ นายน้อย ท่านออกจากการปลีกวิเวกไวขนาดนี้เลย?”
“ใช่ เพราะหากข้ายังเก็บด่านฝึกตนต่อ เกรงว่าเจ้าคงรั้งสตรีของพันธมิตรการค้าว่านตงไว้ทั้งคืนแล้ว”สวี่ล่ายกลอกตา ส่งเสียงฮึ่มๆเย็นชา
“บริวารไม่กล้า! บริวารรู้ผิดชอบชั่วดี” สวี่เปาตกใจมากจนเหงื่อออกเหมือนตากฝน รีบคุกเข่าลงและยอมรับความผิดของตัวเอง
“ช่างมันเถอะ ลุกขึ้นแล้วรีบไปเรียกนางมา”สวี่ล่ายโบกมือ แสดงว่าทีไม่เอาความ
“ขอรับ” สวี่เปาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ปาดเหงื่อที่หน้าผาก เงยหน้าขึ้นและเห็นสวี่ล่ายมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม ถึงค่อยวางใจ
“นายน้อย ท่าน ... ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว รีบไปทำงานซะ”
“ขอรับนายน้อย” สวี่เปา รีบหันหลังกลับและไปเรียกรุ่นเยาว์คนนั้นมา
“บ่าวเซียงเซียงเป็นคนของพันธมิตรการค้าว่านตง มาส่งมอบวัสดุที่นายน้อยสวี่สั่งไว้ตามคำสั่งของเถ้าแก่อู๋”
หลังจากที่เซียงเซียงพูดจบ ก็หยิบแหวนมิติในมือเธอแล้วมอบให้สวี่ล่าย
“โอ้ ขอบใจมากแม่นางเซียงเซียง”สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย เอื้อมมือไปรับมัน หลังจากนั้นกวาดพลังจิตเข้าไป ตรวจสอบจำนวนสินค้าคร่าวๆ
กล่าวได้ว่าพันธมิตรการค้าว่านตงนั้นมีประสิทธิภาพเพียงพอจริงๆ ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ก็สามารถรวบรวมวัสดุทั้งหมดได้ และแน่นอน มีหลายชิ้นได้ไม่ครบจำนวน แต่ก็เกินมาตรฐานขั้นต่ำของสวี่ล่าย
“อืม พันธมิตรทางการค้าของเจ้ามีประสิทธิภาพในการทำงานเร็วดีๆจริง เช่นนั้นเรื่องค่าใช้จ่าย ....”
สวี่ล่ายรู้ วัสดุเหล่านี้ไม่ถูกแน่นอน แต่ในมือตนเกรงว่ากระทั่งหินดวงดาวซักก้อนก็ยังไม่มี
“นายน้อยสวี่ไม่ต้องกังวล ท่านคือสมาชิกบัตรม่วงทองของพันธมิตรการค้าเรา ได้รับสิทธิพิเศษไม่น้อย นี่คือรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมด และรายละเอียดการขายหินประสานค่ายกลแก่ร้านเรา” เซียงเซียงยื่นใบไผ่อีกอันให้สวี่ล่าย
“สำหรับค่าใช้จ่ายที่ค้างอยู่ ขอแค่นายน้อยสวี่ชำระมันให้ครบภายในหนึ่งปีก็พอ”
“โอ้ ขอบใจเจ้ามาก”สวี่ล่ายยิ้มอ่อน
“เช่นนั้น บ่าวหมดหน้าที่แล้ว ขอตัวกลับก่อน” เซียงเซียงย่อตัวเคารพ หันหลังเดินจากไป
“สวี่เปา”
“บริวารอยู่ที่นี่”
“ทำไมเจ้าถึงไม่รีบไปส่งแม่นางเซียง?”
“อ๊ะ?” สวี่เปาผงะ ไม่ตอบสนองไปพักหนึ่ง
“นี่เจ้าคงไม่ได้โง่ขนาดนั้นใช่ไหม”สวี่ล่ายกลอกตา เหตุใด สวี่เปาผู้นี้จึงคิดปล่อยมือในช่วงเวลาที่สําคัญ
“โอ้! บริวารน้อมรับคำสั่ง” ทันใดนั้น สวี่เปาก็นึกอะไรออก รีบหันหลังกลับ วิ่งตามเซียงเซียงให้ทัน ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะ เดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลสวี่
“ไอ้เด็กตัวเหม็นคนนี้ ......”สวี่ล่ายยิ้ม หมุนตัวกลับเข้าไปในกระท่อมไม้อีกครั้ง
“ค่ายกลหล่อเลี้ยงปราณราคา 50 หินดวงดาวขั้นต้น ... ค่ายกลสุดยอดไฟผลาญ 120 หินดวงดาว ค่ายกลเยือกแข็ง 185 หินดวงดาว ...”
หินประสานค่ายกลที่สวี่ล่ายขายไปเมื่อคราวที่แล้ว ยกเว้นค่ายกลรวมวิญญาณ ส่วนที่เหลือทั้งหมดได้ทำการตีราคาเรียบร้อยแล้ว และมันรวมๆแล้วเป็นเงินกว่า 3,000 หินดวงดาวขั้นต้น
ซึ่งหินประสานค่ายกลเหล่านี้ คือครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่สวี่ล่ายมี กล่าวอีกนัยหนึ่ง วัสดุมากมายที่เขาซื้อในราคา 1,000 หินดวงดาวขั้นต้น เมื่อนำมาหลอมทำหินประสานค่ายกล มันจะกลายเป็นมูลค่ามากกว่า 6,000 หินดวงดาว ซึ่งนี่ยังไม่นับรวมหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณ 2 ก้อนอีกนะ!
“ว้าว! มันน่าทึ่งจริงๆ ไม่คิดเลยว่าผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลจะทำเงินได้มากขนาดนี้
สวี่ล่ายแอบประหลาดใจ มีแม้กระทั่งความตื่นเต้นเล็กๆ น้อยๆ ในใจ บางทีในอนาคตเขาอาจร่ำรวยจากสิ่งนี้ก็ได้
แต่ในความเป็นจริงแล้วสวี่ล่ายคิดผิด เพราะถึงแม้อาชีพผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลจะร่ำรวยมาก แต่จริงๆแล้ว อัตราความสำเร็จในการหลอมหินประสานค่ายกลนั้นไม่สูงนัก อย่าลืมนะว่าคนอื่นๆไม่มีทักษะติดตัวจากระบบที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จเช่นเขา
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนเป็นผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลก็ต้องใช้เงินมากเช่นกัน โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาต้องล้างผลาญวัสดุจำนวนมาก แล้วค่อยๆสะสมฝีมืออย่างช้าๆ
ด้วยเหตุผลนี้ จึงมีเพียงตระกูลใหญ่หรือนิกายเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลได้
แม้บางครั้งจะมีผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลที่มีพรสวรรค์จากตระกูลเล็ก ๆโผล่มาบ้าง แต่ส่วนมากก็ถูกซื้อตัวไปโดยตระกูลใหญ่อยู่ดี
“ดีล่ะ ขั้นต่อไปคือหลอมหินประสานค่ายกลระดับที่สูงขึ้น”
สวี่ล่ายหยิบใบหยกบันทึกสร้างค่ายกลสวรรค์แตกตื่นออกมา แปะไว้บนหน้าผากตัวเอง
แสงสีทองสว่างวาบ คำว่า ‘ค่ายกลเรียกวิญญาณ’ ปรากฏขึ้นในใจของสวี่ล่าย
ถูกตัอง! เป็นไปตามที่เหยาว่านซินคาดเดา สวี่ล่ายกำลังพยายามที่จะหลอมหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณจริงๆ
เพียงแต่ข้อมูลบางส่วนที่คาดเดายังไม่ตรงซะทีเดียว นั่นคือหินประสานค่ายกลนี้ เป็นสวี่ล่ายที่หลอมเอง!
หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณ มันคือหินค่ายกลระดับสูงสุดในขั้นสอง สามารถอัญเชิญวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับต่างๆมาเข้าร่วมในการต่อสู้ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หินค่ายกลขั้น 2 นี้จะต้องมีแก่นวิญญาณของสัตว์ปีศาจขั้น 2 ผนึกเอาไว้ ส่วนถ้าอยากใช้งานสัตว์ปีศาจขั้น 3 ก็ต้องมีแก่นวิญญาณขั้น 3 และหินค่ายกลขั้น 3 เพิ่มไปตามระดับ
สำหรับแก่นวิญญาณที่จำเป็น จริงๆแล้วย้อนกลับไปตอนในป่าหมอก หลังจากที่สวี่ล่ายได้รับมรดกจากซือถูเหยาสู่ เขาก็ตั้งใจเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ประโยชน์สูงสุดของมันก็คือ สามารถเป็นผู้ช่วยในระหว่างการต่อสู้
“ว้าว ลองคิดดูเถอะว่าถ้าอัญเชิญตั๊กแตนยักษ์เคียวทองคำขั้น 3 ออกมาในระหว่างงานประลอง นั่นจะไม่ใช่คนฆ่าคนแล้ว แต่เป็นปีศาจฆ่าคน จุ๊ จุ๊ หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณนี่แหละของดีที่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมจริงๆ”
สวี่ล่ายนึกถึงความเก่งของตั๊กแตนยักษ์เคียวทองคำในตอนนั้น ก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้
“ดีล่ะ! แต่เพื่อความปลอดภัย มาเริ่มกันจากการผนึกแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจขั้น 1 กันก่อน”
สวี่ล่ายคิดได้แบบนี้ ก็หยิบขวดหยกออกมาจากแหวนมิติตัวเอง ซึ่งข้างในผนึกหมาป่ายักษ์ขั้น 1 เอาไว้
สองสามเดือนก่อน สวี่ล่ายประสบความสำเร็จในการฝึกฝนทักษะเพรียกวิญญาณแล้ว เขาได้นำวิญญาณสัตว์ปีศาจทั้งหมดออกจากแก่นวิญญาณ แล้วผนึกไว้ในขวดหยก
“มาเริ่มกันเลย”
สวี่ล่ายนำเตาหลอมสีเงินและเพลิงต้านมังกรออกมา แล้วเริ่มหลอมวัสดุ
เพื่อการหลอมหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณ ขั้นแรกต้องมีการจัดตั้งค่ายกลพิเศษ ——ค่ายกลแยกแก่นสารและดวงจิต
ประสิทธิภาพของค่ายกลนี้ คือการแยกแก่นวิญญาณของสัตว์ปีศาจออกเป็นแก่นสารและดวงจิต ตามบันทึกสร้างค่ายกลสวรรค์แตกตื่น ทุกสิ่งในสวรรค์และปฐพี ไม่ว่าจะเป็นแก่นวิญญาณของสัตว์ปีศาจหรือมนุษย์ สามารถแบ่งออกได้เป็นสองแบบ หนึ่งคือแก่นสาร หนึ่งคือดวงจิต
แก่นสาร หมายถึงพลังที่เก็บไว้ในวิญญาณของผู้คนและสัตว์ปีศาจ
ดวงจิตคือความทรงจำทั้งหมดของมนุษย์และสัตว์ปีศาจในช่วงชีวิตของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่จําเป็นสําหรับการเกิดใหม่
ตาม 《วัฏจักรแห่งสวรรค์》มันได้กล่าวว่า หลังจากการตายของมนุษย์หรือสัตว์ปีศาจ ดวงวิญญาณจะกลับไปเกิดใหม่ผ่านทางสวรรค์
อย่างไรก็ตาม หากดวงจิตสูญสิ้นไปไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม พวกมันจะไม่ได้กลับไปเกิดใหม่ผ่านทางสวรรค์ และหากปล่อยไว้เช่นนี้ไปเรื่อยๆ วิถีแห่งสวรรค์จะเสียสมดุล เมื่อนั้นก็จะไม่มีสรรพชีวิตเกิดใหม่ในสามพันโลก และโลกจะแตกดับในที่สุด
แม้ว่าถ้อยคำใน《วัฏจักรแห่งสวรรค์》จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดสามารถพิสูจน์ได้ แต่สำนักใหญ่ทั้งสามอย่างพุทธศาสนา ลัทธิขงจื๊อ และลัทธิเต๋าต่างก็ปฏิบัติตามทฤษฎีนี้มาโดยตลอด
พวกเขาเชื่อเสมอว่า ‘ผู้ฝึกตนมิควรละเมิดวิถีสวรรค์ มิฉะนั้นจักโดนสวรรค์ลงโทษ ’
ในสมัยโบราณ ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลก็ริเริ่มมาจากการปฏิบัติตามปรัชญานี้เช่นกัน เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายยังคงสมดุล ค่ายกลแยกแก่นสารและดวงจิตจึงถือกำเนิดขึ้น
*อีกตอนมาช่วงบ่ายๆเย็นๆครับ