ตอนที่แล้วบทที่ 228 – ตำแหน่งงานในวังหลวง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 230 – ลอบเข้าไปในวังชั้นใน

บทที่ 229 – ห้องเก็บฟืนในวังหลวง


หลังจากที่รองพ่อบ้านจดบันทึกสิ่งที่เขาบอกลงสมุดเล่มนั้นจนเสร็จสิ้น เขาก็กล่าวขึ้น “เอาล่ะ เจ้าไปยืนรออยู่ทางด้านซ้ายนั่นก่อน เดี๋ยวจะมีคนมาพาเจ้าไปที่ทำการของฝ่ายดูแลสวน คนต่อไปเริ่มได้!”

...........

แล้วในที่สุดก็ถึงผมจนได้ ผมรีบขยับตัวขึ้นไปด้านหน้า โค้งทำความเคารพ “ท่านรองพ่อบ้านที่เคารพ ท่านสามารถเรียกข้าน้อยว่าสือปา (สิบแปด) หน้าที่ของข้าคือการผ่าฟืนที่ห้องเก็บฟืนขอรับ”

ตอนที่เขาเงยหน้ามาเห็นใบหน้าของผม หน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียด คิ้วขมวดจนเกือบจะชนกันแล้ว “นี่มันบ้าอะไรกัน! ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงได้รับคนที่หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้เจ้ามาได้นะ? แต่ก็เอาเถอะ ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้ก็แล้วกัน อย่างไรเสีย หน้าที่ของเจ้าก็ไม่ได้จะมีใครเห็นมากนักอยู่แล้ว หลังจากนี้ไปเจ้าก็ทำหน้าที่ผ่าฟืนให้เต็มที่ก็แล้วกัน”

ผมรีบตอบรับอย่างยินดี “ขอขอบคุณท่านรองพ่อบ้านมากเลยขอรับ ข้าน้อยจะทำอย่างเต็มที่แน่นอน”

“อืม!” เขาเพียงแต่ส่งเสียงรับรู้อยู่ในลำคอ ก่อนที่จะส่งสัญญาณให้ผมหลบออกไปยืนที่ด้านข้าง

ท้ายที่สุด ขั้นตอนการลงทะเบียนคนงานใหม่ก็เสร็จสิ้นลง ผมเดินตามชายร่างอ้วนคนหนึ่งไป นอกจากตัวเองแล้ว ผมน่าจะยังมีเพื่อนร่วมงานใหม่อีกสองคน ชายร่างอ้วนคนนั้นนำพวกผมมายังอาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ก่อนจะกล่าวบอก “นี่คือห้องครัว เป็นสถานที่ทำงานของพวกเจ้านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าน่าเกลียดน้อย! เจ้าเข้าไปที่ด้านหลังของห้องครัวนี่ มันมีพื้นที่ด้านหลังอยู่ ที่นั่นน่าจะมีตาเฒ่ารอเจ้าอยู่แล้ว เขาจะเป็นคนสั่งงานเจ้าเอง”

ผมรับคำของเขา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสวนด้านหลังห้องครัวตามลำพัง

พื้นที่ว่างด้านหลังอาคารนั้นค่อนข้างกว้าง และมีคนอยู่ในนั้นจำนวนหนึ่ง ต่างกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ล้างวัตถุดิบ หรือลงมือประกอบอาหารบางอย่าง มันเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับห้องครัวทั้งหมด ไกลออกไปทางท้ายของพื้นที่นี้ มีกองฟืนขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่ นั่นน่าจะเป็นที่ทำงานของผมแล้ว ตอนที่ผมเดินเข้าไปถึงที่ตรงนั้น ก็ได้เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังผ่าฟืนอยู่ตามลำพัง ผมของเขานั้นขาวไปทั้งหัวเลยทีเดียว

ผมรีบทักทายอย่างเคารพ “ขอคารวะท่านอาวุโส”

ชายเฒ่านั้นเงยหน้าขึ้นมามองที่ผม ก่อนจะเอ่ยปากถาม “เจ้าต้องการอะไร? จะมาเอาอะไรอย่างนั้นหรือ?” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความถ่อมตัว เดาได้เลยว่า เขาเป็นแค่คนผ่าฟืนธรรมดา ๆ คนหนึ่งจริง ๆ

ผมรีบบอกเขา “ข้าได้รับมอบหมายให้มาผ่าฟื้นกับท่านที่นี่”

ชายชรานั่นมองผมอย่างสังเกต แล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่สนใจอะไรนัก “ถ้าอย่างนั้นก็ไปหยิบฟืนมาผ่าสิ แต่จำเอาไว้นะ ต้องผ่าให้มันมีขนาดเท่า ๆ กัน ไม่อย่างนั้นพวกคนครัวที่จู้จี้จุกจิกจะมาบ่นเอากับข้าได้”

ผมพยักหน้ารับรู้ หาขอนไม้ขนาดใหญ่มารองนั่ง ก่อนจะเลือกท่อนฟืนมาเตรียมไว้ ชายแก่คนเก่าโยนขวานสำหรับตัดไม้มาให้ผม ก่อนจะพยักหน้าให้

ผมวางไม้ฝืนท่อนกลมใหญ่นั้นเอาไว้ตรงหน้า ก่อนที่จะใช้ขวานสับลงไปเต็มแรก ฟืนใหญ่ท่อนนั้นแบ่งเป็นสองส่วนเท่า ๆ กันทันที น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถใช้พลังเวทย์หรือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ช่วยในการทำงานนี้ได้ ผมต้องใช้แค่ความแข็งแรงของร่างกายตัวเองเท่านั้น

และผมก็นั่งผ่าฟืนอยู่อย่างนั้นจนหมดวัน แม้ว่าจำนวนฟืนที่ผมผ่าได้จะไม่มากเท่าไรนัก แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เอวและหลังของผมปวดเมื่อยไปหมดแล้ว

มันได้เวลาอาหารเย็นแล้ว แต่ผมไม่ได้รู้ตัวเลย จนกระทั่งชายแก่นั้นโยนอาหารส่วนหนึ่งมาให้ผม “กินเสียก่อน แล้วก็รีบพักผ่อนให้เร็วหน่อย พรุ่งนี้เจ้ายังจะต้องผ่าฟืนต่ออีกไม่น้อย ตอนนี้ความเร็วในการทำงานของเจ้าถือว่าไม่น้อยกว่าตาแก่คนนี้เท่าไร ถือว่าน่าพอใจไม่น้อยทีเดียว”

ผมรับอาหารส่วนของตัวเองเอาไว้ ปากก็เอ่ยชวนเขาคุย “ท่านทำงานอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?”

เขาดูอึ้ง ๆ ไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่แน่ใจ “ข้าก็ไม่เคยนับเหมือนกัน แต่น่าจะไม่ต่ำกว่า 30 ปีแล้วกระมัง”

“ท่านผ่าฟืนอยู่ที่นี่มา 30 ปีแล้วอย่างนั้นหรือ? ทำไมท่านไม่ไปจากที่นี่บ้างล่ะ?” ผมถามอย่างแปลกใจ

ชายแก่นั่นส่งเสียงอยู่ในลำคอของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกล่าวออกมา “แล้วข้างนอกมีอะไรดีนักหรือ? ถึงแม้ว่าอยู่ที่นี่จะไม่ได้สบายนัก แต่ชีวิตก็มั่นคงดีอยู่แล้ว ตอนกลางวันก็ผ่าฟืนให้หมดแรง กลางคืนจะได้นอนหลับอย่างสบาย อาหารก็มีให้กินอยู่ทุกวัน นี่มันยังไม่ดีพออีกหรือ? อา! ใช่แล้ว ก่อนจะเริ่มกินเจ้ารอสักเดี๋ยวหนึ่งก่อน” หลังจากที่เขากล่าวจบ ก็หมุนตัวออกเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืนทันที ไม่นานนักเขาก็ออกมาพร้อมกับขวดน้ำเต้าลูกหนึ่ง เขาประคองมันออกมาเหมือนกับของที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง “นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเก็บได้ถึงขนาดนี้ เจ้าต้องการจะลองดูหน่อยหรือไม่?”

ผมถามอย่างสงสัย “มันคืออะไร?”

เขายิ้มออกมาอย่างลึกลับ ก่อนจะกระซิบเบา ๆ “สุดยอดสุรา”

พอผมรู้ว่ามันเป็นเหล้าอย่างหนึ่งเท่านั้น ก็โบกมือปฏิเสธทันที “ข้าคิดว่าข้าขอผ่านไปก่อนดีกว่า วันนี้ข้าผ่าฟืนได้ไม่มากนัก หลังจากพวกเรากินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านเข้าไปพักผ่อนก่อนได้เลย ส่วนข้าจะผ่าฟืนต่ออีกสักเล็กน้อย”

ตาแก่นั่นมองผมเหมือนกับเป็นตัวประหลาด “ถึงแม้ว่าเจ้าจะอัปลักษณ์ไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่ขยันขันแข็งดีจริง ๆ ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น ตาเฒ่าคนนี้ก็ไม่เกรงใจล่ะนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพวกเขาต้องรับสมัครคนงานใหม่เข้ามาที่นี่? เจ้าคงจะเดาได้ไม่ยาก ข้านั้นเริ่มแก่ตัวลงมากแล้ว เรี่ยวแรงไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ผ่าฟืนได้ไม่มากเท่ากับที่พวกเขาต้องการ ข้าไม่สนใจอะไรที่เจ้าจะทำงานหนัก แต่ก็อย่าให้มันเกินกำลังของตัวเองมากนัก ผ่าเพิ่มอีกสัก 2-3 ท่อนก็พอแล้ว จริงสิ! ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย”

คำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกดีขั้นไม่น้อย “ข้าชื่อสือปา ท่านเรียกข้าแบบนั้นได้เลย”

เขาพยักหน้ารับรู้ “ส่วนเจ้าเรียกข้าว่าเฒ่าฟืนแล้วกัน ข้าลืมไปแล้วว่าข้าชื่ออะไรกันแน่”

ผมรีบปฏิเสธ “จะให้ข้าเรียกท่านอย่างนั้นได้อย่างไร ท่านอาวุโสกว่าข้าไม่น้อย เอาเป็นว่าข้าเรียกท่านว่าลุงฟืนก็แล้วกัน”

ลุงฟืนยกน้ำเต้าสุราในมือขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะตอบออกมา “ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ แต่ว่าเจ้าจะไม่ดื่มจริง ๆ หรือ?”

ผมยิ้ม แต่สายหัวปฏิเสธ

แล้วเวลาก็ผ่านไปจนถึงกลางดึก ตาเฒ่าฟืนนั้นหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว ผมเริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวอย่างละเอียด จนเมื่อพบว่าไม่มีใครอื่นอยู่ในบริเวณนั้นอีก ผมเริ่มหมุนเวียนพลังเวทย์ในตัวอย่างรวดเร็ว สะบัดมือของตัวเอง สร้างดาบแสงเล็ก ๆ ออกมาจำนวนมาก ตรงเข้าไปผ่าท่อนฟืนขนาดใหญ่ให้กลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่า ๆ กัน แล้วโบกมืออีกครั้ง รวบรวมไม้ฟืนเหล่านั้นให้กองอยู่ที่มุม ๆ หนึ่งอย่างเรียบร้อย น่าเสียดายที่คทาเวทย์ซู่เกอลาของผมนั้นถูกยึดไปหลังจากถูกจับ ทำให้สภาพของผมตอนนี้สู้ไม่ได้แม้แต่กระทั่งเค้อหลุนตัวแน่

หลังจากจัดการกับท่อนฟืนทั้งหมดเรียบร้อยแบ้ว ผมเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืน มองไปที่ร่างของชายชราที่กำลังนอนอยู่ เขากำลังกรนออกมาอย่างมีความสุข ผมค่อย ๆ หมุนตัวกลับออกมาจากห้องนั้นอีกครั้ง หาเศษผ้ามาปกปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้ โคจรพลังเวทย์ลงไปสู่เท้าของตัวเอง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาของห้องครัวทันที

ทั่วบริเวณที่ผมอยู่ตอนนี้ มีแต่ความเงียบสงบของยามค่ำคืน แต่ผมรู้ดีว่าวังหลวงนั้นกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ผมไม่กล้าออกไปไหนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน ได้แต่สำรวจในระยะ 100 เมตรรอบ ๆ ห้องครัวนี้ก่อน เวรยามนั่นค่อนข้างที่จะผ่อนคลายมาก ผมพบเพียงทหารลาดตระเวนอยู่กลุ่มเดียวเท่านั้น ผมพยายามจดจำแผนที่ และเส้นทางในวันนี้เอาไว้ ก่อนจะรีบกลับมาที่ห้องเก็บฟืนอย่างรวดเร็ว หยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋ามิติ และเริ่มวาดแผนที่ของพื้นที่ที่ทำการสำรวจวันนี้ลงไป

ชีวิตแบบนี้ของผมผ่านไปอีก 10 วันอย่างรวดเร็ว ผมรวบรวมข้อมูลของวังหลวงนี้ได้ไม่น้อยแล้ว วังของเผ่าปีศาจแบ่งออกเป็นชั้นในและชั้นนอก และตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่บริเวณชั้นนอกของวังหลวงนี้เท่านั้น เช่นเดียวกับคนงานที่ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหมด ผมเคยพยายามแอบเข้าไปในเขตชั้นใน แต่ก็พบว่าเวรยามนั้นหนาแน่นกว่าพื้นที่ชั้นนอกอย่างเทียบกันไม่ได้ แม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของเสี่ยวโร่ว ก็กระตุ้นให้พวกองครักษ์รู้สึกตัวได้อย่างรวดเร็ว ผมมั่นใจอย่างแน่นอนแล้วว่า จักรพรรดิปีศาจและมู่จือต้องอาศัยอยู่ในวังหลวงชั้นในนี้แน่

ผมนั่งคิดเรื่องพวกนี้อยู่ระหว่างที่ทำการผ่าฟืนไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงของลุงฟืนดังมาเข้าหู “สือปา เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

ผมสะดุ้งเล็ก ๆ ก่อนจะหันไปตอบเขา “ไม่มีอะไรหรอก”

เขายิ้มออกมา แต่ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก เขาชอบทำตัวลึกลับอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถสัมผัสพลังเวทย์ หรือพลังอะไรจากตัวของเขาได้เลย แต่หลังจากเกิดเรื่องของเค้อหลุนตัวขึ้น ผมไม่ประมาทใครอีกอย่างเด็ดขาด ทุกค่ำคืนก่อนที่ผมจะออกไปสำรวจพื้นที่ ผมจะต้องแน่ใจอย่างเต็มที่เสียก่อนว่าเขานั้นหลับสนิทแล้ว

สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ก็คือความเร็วในการฟื้นฟูพลังเวทย์ของผม แม้ว่าในตอนนี้ดวงเวทย์สีทองจะยังไม่ได้แบ่งตัวออกมาเป็นสองดวง แต่เวทย์มนต์ที่ผมร่ายออกมาตอนนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยธาตุแสงที่มากกว่าเมื่อก่อน ดวงเวทย์สีทองเพียงดวงเดียวนี้จางลงจนเกือบจะใสอย่างสมบูรณ์แล้ว ร่างกายของผมเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเวทย์ ผมคิดว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ห่างจากสภาพสมบูรณ์ที่สุดมากนักแล้ว

แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ก็คือ ทำไมหลังจากที่ผมสูญเสียดวงเวทย์สีทองไป พลังของผมกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็ไม่ได้ใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักหรอก ในขณะที่ผมรวบรวมธาตุแสงอยู่นั้น แม้ว่าผมจะพยายามควบคุมมันมากแค่ไหน ก็ยังจะมีแสงจาง ๆ เปล่งออกมาจากร่างกายผมจนได้ ทำให้ต้องใช้เวลาที่มีแสงช่วงกลางวันในการฝึกฝนแทน นั่นคือตอนที่ผมกำลังผ่าฟืนอยู่นั่นเอง ผมค่อย ๆ รวบรวมธาตุแสงอย่างช้า ๆ แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังเวทย์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด