CD บทที่ 364 ชื่อเสียยากจะแก้ไข
“อา~ คุณผู้เป็นที่รัก โปรดมากับฉันในความฝัน♪”
ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด โทรศัพท์มือถือของจ้าวหยู่ก็ดังขึ้น มันยิ่งทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้นไปทุกที
‘เชี่ย!’
จ้าวหยู่รีบปิดเสียงโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว และวิ่งไปที่ประตูเพื่อขวางประตูเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน ฝูเจียนซิง ดูเหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่าง และหยุดพูดทันที
"เปิดประตูนะ ทำไมคุณถึงล็อคประตูทางเข้าห้องน้ำด้วย? ฉันจะอั้นไม่ไหวแล้วนะ!” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่อยู่นอกประตูรีบร้อน
จ้าวหยู่ตื่นตระหนกและเหงื่อเย็นไหลซึมออกมา แต่จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีอุปกรณ์ล่องหนที่เขาได้รับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน มันเรียกว่าเครื่องเปลี่ยนเสียงล่องหน หลังจากเปิดใช้งาน เขาสามารถเปลี่ยนเสียงของเขาได้
ภายใต้ความเร่งรีบ จ้าวหยู่เปิดใช้งานทันทีเพื่อใช้และเปลี่ยนเสียงของเขาเป็นเสียงของผู้หญิง จากนั้นเขาก็ตะโกนว่า
“คุณค่ะ ฉันปวดท้องหนักมาก ฉันลุกขึ้นมาเปิดไม่ได้ค่ะ ไม่มีห้องน้ำอื่นในสวนหลังบ้านเหรอคะ?”
“อ๊ะ! จริงด้วย!” หญิงชราได้ยินผู้หญิงตอบจากข้างใน จากนั้นเธอก็กุมท้องพร้อมกับวิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อลงบันไดไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่า
“เดี๋ยวนะ? มันแปลก ๆ นะ คนที่พักในโรงแรมทั้งหมด มีฉันเป็นผู้หญิงคนเดียว แล้วผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน? และห้องน้ำในสวนหลังบ้านก็ทำไว้ให้ผู้ชายฉี่ ไม่มีส้วมแม้แต่อันเดียว แล้วฉันจะไปที่นั่นทำไม?”
จากนั้นหญิงชราก็กุมท้องแล้ววิ่งกลับขึ้นมา เมื่อเธอกลับไปที่ห้องน้ำ เธอก็พบว่าประตูไม่ได้ล็อกและไม่มีใครอยู่ข้างใน!
"ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหนแล้ว? หรือว่า… มันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า?” หญิงชราลังเล แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้อง เธอก็รีบไปทำธุระในห้องน้ำ
หลังจากที่หญิงชราเข้าไปแล้ว ประตูห้องน้ำชายก็เปิดออก ฝูเจียนซิงออกจากห้องน้ำอย่างงงงวย และดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
แต่เขาเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงหมุนตัวกลับห้องตัวเองไป
‘เชี่ย! เกือบไปแล้ว!’
เห็นได้ชัดว่าจ้าวหยู่หนีกลับไปที่ห้องของเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ในขณะนั้นเขาถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น โชคดีที่สมองของเขาเร็วพอและใช้อุปกรณ์ล่องหนได้ทันเวลา
แต่จ้าวหยู่รู้สึกได้ว่าฝูเจียนซิงนั้นฉลาดมาก เขาต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแน่นอน
อย่างที่เหมี่ยวอิงได้ว่าไว้ ผู้ชายคนนั้นน่าทึ่งมาก ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นนักสืบชั้นยอดเท่านั้น มุมมองของเขายังไม่เหมือนใครอีกด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่เพ่งความสนใจมาที่จ้าวหยู่
จ้าวหยู่คิดว่า ‘ฉันต้องหาวิธีกลั่นแกล้งเขา และทำให้เขาถอนตัวออกจากเกมนี้ หากยังมีเขาในการแข่งขัน การที่ฉันจะเป็นคนแรกที่ไขคดีคงจะเป็นเรื่องยาก’
‘แต่มีคนโทรมาก่อนหน้านี้ ฉันควรจะตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนดีกว่า’
เขาปลดล็อคและเห็นว่าสายมาจากหลันโบ เมื่อเขาโทรกลับไป จ้าวหยู่ก็ต้องประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่ปลายสายกำลังพบเจอ
“พี่หยู่! ในตอนที่พวกเราสองสามคนมาที่แผนกจราจรของหยุนหยางเพื่อรับภาพจากกล้องวงจรปิด พวกเราไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีผู้คนจำนวนมากอยู่แล้ว และมันก็เหมือนกับตลาดสด ฉันคิดว่าไม่ใช่แค่พวกเราที่ต้องการภาพจากกล้องวงจรปิด คนจากสถานีอื่นก็ต้องการด้วยเหมือนกัน!”
"จริงเหรอ?" จ้าวหยู่ทำหน้ามุ่ยและคิดกับตัวเองว่า ‘ดูเหมือนว่านักสืบที่รับผิดชอบคดีฆาตกรรมสุสานจะไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย ๆ’
จากนั้นเขาจึงเตือนอย่างรวดเร็วว่า “หลันโบ ฉันไม่สนว่านายจะทำอะไร นายต้องเอาภาพจากกล้องวงจรมาให้ฉันให้ได้ มิฉะนั้น พวกนายจะกลายเป็นความอัปยศของสถานีหรงหยาง!”
"ฉันรู้! ฉันรู้!" หลันโบตอบอย่างรวดเร็ว “แต่แผนกจราจรหยุนหยางกำลังยุ่งเหยิง พวกเขากำลังรายงานไปยังสำนักเทศบาลในขณะนี้! ฉันได้ยินพวกเขาพูดว่ากำลังทำสำเนาให้พวกเรา ผมว่าภาพจากกล้องวงจรปิดน่าจะกระจายไปตามสถานีต่าง ๆ พี่หยู่ไม่ต้องกังวล เราจะได้วิดีโอมาแน่นอน!”
“เอาล่ะ งั้นพวกนายก็คอยดูให้ดี และ…” จ้าวหยู่นึกถึงบางสิ่งที่ฝูเจียนซิงพูดและบอกพวกเขาว่า “เมื่อนายได้วิดีโอ ให้มองหายานพาหนะต้องสงสัยที่ปรากฏตรงทางแยกเพื่อเข้าและออกจากหยุนหยางในช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เข้าใจมั้ย?”
“ครับ เข้าใจแล้ว!”
จากนั้น หลันโบก็วางสายไป
จ้าวหยู่ตรวจสอบนาฬิกาของเขาและเห็นว่าเป็นเวลาทุ่มครึ่งแล้ว และท้องฟ้าก็เกือบจะมืดแล้ว ตามข้อสันนิษฐานของฝูเจียนซิง สำนักงานเทศบาลน่าจะส่งรายงานการชันสูตรพลิกศพไปยังโทรศัพท์มือถือของพวกเขา เมื่อพวกเขาระบุตัวเหยื่อได้ มันจะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นของการแข่งขันไขคดี!
แต่ไม่ว่าเหยื่อจะเป็นโจรปล้นสุสานหรือไม่? เขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรออยู่ในโรงแรม เขาอาจจะกลับเมืองก่อนซึ่งมันทำให้เขาเคลื่อนไหวเร็วกว่าคนอื่น ๆ
แม้ว่าปกติจ้าวหยู่จะลำพองตัวด้วยความเย่อหยิ่ง แต่เขาก็รู้จักตัวเองดีพอ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับนักสืบตัวจริง และเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ดังนั้น เขาเชื่อว่าข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของเขาเมื่อเทียบกับนักสืบคนอื่น ๆ คือเขายังหนุ่มและวิ่งได้เร็วกว่าพวกเขา ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของเขาและดำเนินการอย่างรวดเร็ว
พายุฝนฟ้าคะนองยังคงดำเนินต่อไป และเป็นการยากที่จะเรียกรถแท็กซี่ในพื้นที่ห่างไกลในหยุนหยาง จ้าวหยู่ต้องการไปที่แผนกจราจรหยุนหยางเพื่อไปหาหลันโบและพวก แต่เขาคิดว่ามันคงจะดูไม่ดี ในที่สุด เขาก็เรียกรถจากแอพ
ผ่านไปประมาณ 15 นาที รถฟอร์ดโฟกัสสีขาวก็หยุดที่ทางเข้าโรงแรม จ้าวหยู่ขึ้นรถและพบว่าคนขับเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัย!
เขามองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและจ้าวหยู่ก็นึกขึ้นได้ว่าเช้านี้ฉันได้รับคำทำนายว่า ‘Gen-Kan’
‘ผู้หญิงคนนี้จะเป็นผู้หญิงที่ฉันต้องพบในการผจญภัยมหัศจรรย์ของฉันหรือเปล่านะ?’
ผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างพูดเก่ง เธอขับรถในขณะที่เธอคุยกับจ้าวหยู่ และพวกเขาก็คุ้นเคยกันในไม่ช้า
ปรากฎว่าบ้านเกิดของผู้หญิงคนนี้อยู่ในหยุนหยาง และบังเอิญเธอกลับไปร่วมงานศพ อย่างไรก็ตาม บริษัทของเธอเรียกเธอกลับไปทำงานแบบฉุกละหุก เธอจึงต้องรีบกลับไปฉินชานในคืนนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน เธอเห็นคำขอของจ้าวหยู่ ดังนั้นเธอจึงตอบรับคำขอของเขาเพื่อหารายได้เสริมจากการเดินทางกลับ
แต่มีบางอย่างในใจของจ้าวหยู่ และเขาดูข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือของเขาตลอดเวลาในขณะที่รอรายงานการชันสูตรศพที่ส่งโดยสำนักงานเทศบาล ในขณะนั้น เขาต้องการให้หลันโบขอความช่วยเหลือจากพ่อของเขาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเทศบาลเพื่อแจ้งข่าวล่วงหน้าแก่เขา!
“อ๋อ คุณเห็นข่าวแล้วใช่ไหม? พวกเขาพบสุสานขนาดใหญ่ที่ภูเขาวัวตะวันตกด้วยล่ะ มันเป็นสุสานจากราชวงศ์หมิง มันถูกขุดโดยนักโบราณคดี” ผู้หญิงคนนั้นพูดหัวข้อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ตอนนี้ทุกคนบนถนนและทุกตรอกซอกซอยกำลังพูดถึงเรื่องนี้ โลกนี้มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมาย ใครจะไปเดาได้ว่าเมื่อพวกเขาเปิดโลงศพก็มีมนุษย์นอนอยู่ข้างใน เขาถูกรีบส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาในขณะนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่มั้ย? คุณไม่คิดว่ามันแปลกหน่อยเหรอ?”
‘โอ้…’
จ้าวหยู่ขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนพวกเขาจะตั้งใจปิดข่าวว่าพบศพในสุสาน
“แต่ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น ลูกพี่ลูกน้องของฉันทำงานให้กับนักโบราณคดี เขาเห็นมันด้วยตาของเขาเอง!” ผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ “นั่นคือสุสานจากราชวงศ์หมิง ควรมีศพโบราณในโลงศพโบราณ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงคนอยู่ข้างใน! มันเหมือนกับในหนังเลย!”
จากนั้นหญิงที่เป็นมิตรก็เริ่มเล่าประวัติของหยุนหยางให้จ้าวหยู่ฟัง เธอบอกว่า ฉินชานเคยถูกเรียนว่าหลู่หย๋าในสมัยก่อน แต่จากการวิจัยของนักโบราณคดี ตำแหน่งที่แน่นอนของวังของหลู่หย๋าไม่ได้อยู่ในฉินชาน แต่อยู่ในหยุนหยาง เธอยังกล่าวว่ามีเหล็กไหลและซากประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์
จ้าวหยู่ไม่ได้สนใจ แต่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคดีนี้อยู่ในใจของเขา
เขานึกถึงสิ่งที่ฝูเจียนซิงกำลังพูดถึงโดยไม่รู้ตัว เขาสงสัยว่าฆาตกรในคดีฆาตกรรมสุสานน่าจะเป็นคนวิปลาสและโรคจิต เหตุผลที่ฆาตกรซ่อนศพลงในโลงศพนั้นก็เพื่อความสนุก ด้วยความโหดเหี้ยมของฆาตกร ดังนั้นเขาควรจะเป็นคนที่มีประวัติอาชญากรรม!
ทันใดนั้น เมื่อจ้าวหยู่จดจ่ออยู่กับคำว่า ‘ประวัติอาชญากรรม’ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาอย่างพอดิบพอดี
คดีฆาตกรรมสุสาน เหยื่อเป็นคนยุคนี้แต่ถูกใส่ในโลงศพโบราณจากราชวงศ์หมิง แถมศพยังสวมเสื้อผ้าสมัยใหม่!
จากสิ่งที่เขาพบเจอในข้างต้น มันทำให้นึกถึงอีกคดีหนึ่งที่มีความแปลกประหลาดซึ่งคดีนั้นแตกต่างจากคดีฆาตกรรมสุสานโดยสิ้นเชิง...