บทที่ 218 – ปีศาจอสูรสามตา
บ้าไปแล้ว! ทำไมต้องเป็นผมอีกแล้วนะ? ผมแทบจะจับเจ้าปีศาจตัวน้อยนี่โยนทิ้งไปทางมันเอาเสียเลย แต่ก็ทำได้เพียงใช้คทาเวทย์ซู่เกอลาในมือส่งแสงสีทองเข้าปะทะเอาไว้ก่อน
แต่เจ้าสามตานั่นไม่ได้พยายามที่จะหลบการโจมตีเอาเสียเลย มันแค่กวาดต้นไม้ใหญ่ในมือเข้าใส่ผมแทน
“ปุ! ซือ!” เสียงพลังเวทย์ของผมเข้าปะทะกับตัวมันดังขึ้น แต่ผลที่ได้กลับมีเพียงรอยเฉือนตื้น ๆ บนหน้าอกเท่านั้น ไม่ได้ทำอันตรายให้มันได้อย่างจริงจังเลยแม้แต่น้อย เวทย์ที่ผมโจมตีออกไปเทียบเท่ากับเวทย์ระดับสูงแล้วนะนั่น ทำไมมันถึงรับเอาไว้แบบไม่เป็นอะไรเลยล่ะ? ขณะที่ผมกำลังประหลาดใจอยู่นั้นเอง ต้นไม้ใหญ่ในมือของมันก็เข้ามาถึงตัวแล้ว แรงลมที่ถูกส่งเข้ามาก่อนพัดเฉือนจนใบหน้าของผมแสบไปหมด แถมผมยังไม่มีเวลาหลบอีกด้วย ทำได้แต่เพียงปล่อยพลังเวทย์ออกมาป้องกันเอาไว้รอบตัวเท่านั้น “โครม!” เสียงนั่นเป็นผลมาจากการส่งผมลอยกระเด็นออกไปไกล ต้องใช้ต้นไม้ถึง 5 ต้นกั้นเอาไว้ ผมถึงได้หยุดลงได้ ขนาดว่าผมใช้พลังป้องกันไว้อย่างเต็มที่แล้ว ยังรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัวเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าศึกครั้งนี้จะประมาทไม่ได้เลย
พอจ้านหู่เห็นผมโดนทุบจนกระเด็นออกไปอย่างนั้น เขาก็คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “แกกล้าทำร้ายน้องชายข้าอย่างนั้นหรือ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับแกยังไง? ออกมา เกราะเทพสงคราม!” แสงสีน้ำเงินสว่างขึ้น เกราะของเทพสงครามที่สง่างามเป็นอย่างมากปรากฏขึ้นบนร่างของเขาทันที แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากตัวเกราะนั้นทำให้เจ้าอสูรสามตานั้นตกตะลึง มันขยับตัวถอยหลังออกไปหลายก้าวทีเดียว
ในตอนที่มันกำลังหยุดชะงักอยู่นั้นเอง ผมก็เคลื่อนย้ายระยะใกล้กลับเข้ามาที่จุดเกิดเหตุแล้ว เสียงของผมนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์อันรุนแรง “เจ้าสารเลว แกกล้าเกินไปแล้วที่มาฟาดใส่ข้า ถ้าเสียวจินอยู่ตรงนี้ แกถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แน่”
ตงรื่อพูดแหย่ผมออกมาด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าว่ามันจะโชคร้ายเสียแล้ว ฉันเพิ่งจะเคยเห็นนายโกรธขนาดนี้เลยนะ จางกง!”
นั่นทำให้ผมอาละวาดไปที่เขาด้วยเลย “ทำไม! ฉันจะโกรธไม่ได้หรือยังไง? ถ้านายกล้ามาล้อฉันเล่นแบบนี้ งั้นเจ้าตัวนี้ ฉันยกให้เป็นหน้าที่นายเลยก็แล้วกัน! พี่ใหญ่! ปล่อยให้เขาลงมือเอง ผมไม่ได้เห็นเขาแสดงฝีมือมานานแล้วเหมือนกัน ดูสักหน่อยว่าจะเก่งขึ้นเหมือนฝีปากหรือเปล่า?”
พี่ใหญ่จ้านหู่หัวเราะออกมา ก่อนที่จะเรียกเกราะเทพสงครามกลับเข้าไปในร่างกาย “ก็ได้! ตงรื่อ มันเป็นของเจ้าแล้ว!”
ตงรื่อกลัวเสียที่ไหน เขาตบหน้าอกตัวเอง “ไม่มีปัญหา!” แล้วเขาก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวเผชิญหน้ากับเจ้าสามตานั้นอย่างรวดเร็ว ธนูของเทพแส่งสายลมถูกขึ้นสายแล้ว เป็นเวลาเดียวกับที่ปีศาจอสูรสามตาพุ่งเข้ามาใส่อีกครั้งอย่างเต็มกำลัง เพราะหลังจากที่จ้านหู่เรียกเกราะของเทพสงครามกลับ มันก็ไม่ถูกอะไรกดดันอีก
ตงรื่อส่งเสียงคำรามอย่างเย็นชา สีหน้าของเขามีเลือดฝาดมากขึ้น ตอนที่เริ่มร่ายออกมา “ราชาแห่งเผ่าเทพประทานธนูของเทพแห่งลมแก่ข้า ความรวดเร็วและรุนแรงดังสายลม ก่อให้เกิดธนูแห่งนิรันดร์กาล” แล้วมือของเขาก็ปล่อยสายธนูออกไปทันที “ผึ่ง” เสียงธนูพุ่งออกจากแหล่งดังขึ้นมาก่อน “ซวบ!!” ถัดจากนั้นก็เป็นเสียงมันพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย หัวของเจ้าปีศาจอสูรสามตานั้นระเบิดหายไปแล้ว ร่างที่ไร้ศีรษะของมันล้มลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ส่วนตงรื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเรียกธนูของเทพแห่งสายลมกลับเข้าร่าง ก่อนที่จะหันมาหาพวกเรา “เป็นยังไงบ้างล่ะ จางกง? นายคิดว่ายังไง? ฝีมือของฉันยังไม่ตกใช่มั้ย?”
ผมมองไปที่เขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอาวุธเทพแต่ละอย่างจะมีพลังพิเศษของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นอาวุธชนิดไหน มันก็ทรงพลังมากจริง ๆ “ตงรื่อ นายสามารถดึงพลังของธนูเทพออกมาได้หมดแล้วหรือยัง?”
เขาสั่นหัว “มันจะไปง่ายอย่างนั้นได้ยังไง? แม้แต่พี่ใหญ่จ้านหูยังทำไม่ได้เลยตอนนี้ ฉันเพิ่งจะสามารถใช้พลังของธนูคันนี้ได้ไม่ถึงสามส่วนเลยมั้ง”
นั่นทำให้เจี้ยนซานถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ตงรื่อ! เจ้าพูดจริงหรือไม่เรื่องพลังสามส่วนนั่น แค่นี้มันก็ทรงพลังมากมายแล้วนะ ถ้านี่แค่สามส่วน แล้วพลังที่เต็มที่ของมันจะมากมายมหาศาลขนาดไหนกันแน่?”
ผมเป็นคนตอบเรื่องนี้ออกไปแทน “มันคงจะไม่เกินไปที่จะบอกว่า สามารถพลิกภูเขา ถมทะเลได้ แต่อย่างไรก็ดี ศัตรูของพวกเราก็ทรงพลังเป็นอย่างมากเช่นกัน” สายตาของผมจ้องอยู่ที่ซูเหอเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา แน่นอนว่า ผมไม่มีทางกล่าวชื่อราชามารออกมาง่าย ๆ หรอก
แต่เจี้ยนซานยังกล่าวออกมาอย่างไม่ยอมหยุด “แค่นี้ก็ทรงพลังมากแล้ว สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดแห่งเทพเจ้า” เมื่อผมได้ยินเขากล่าวออกมาถึงตรงนี้ สายตาของผมก็จ้องเขม็งไปที่เขาทันที นั่นทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าเริ่มพูดมากเกินไปแล้ว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “เจ้าปีศาจสามตาตัวนี้น่าจะเป็นเสบียงให้พวกเราได้สองสามวันเลยนะ”
ซูเหอที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินสิ่งที่เจี้ยนซานกล่าวออกมาก่อนหน้านั้น ก้าวออกไปดูซากของปีศาจอสูรนั่น “ปีศาจอสูรสามตาตัวนี้ จุดเด่นของมันไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งทางร่างกาย หรือพละกำลังอันมหาศาล แต่เป็นแสงที่ถ้าปล่อยออกมาโจมตีผู้คนจากตาที่สามของมันแล้ว จะทำให้เกิดอาการมึนงงได้ ท่านตงรื่อแข็งแกร่งมากจริง ๆ เจ้าปีศาจตนนี้ไม่มีโอกาสที่จะใช้ความสามารถพิเศษของมันเลยด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่าง นี่เป็นปีศาจอสูรระดับ A เชียวนะ ขนาดในกองทัพยังหาได้ยากมาก ข้าได้แต่ยกย่องความแข็งแกร่งของพวกท่านแล้วจริง ๆ”
ตงรื่อตวาดไปที่เขาอย่างไม่จริงจังนัก “ไม่ต้องเยินยอพวกเราให้มากนักหรอกน่า! พี่ใหญ่จ้านหู่ ตอนนี้ผมต้องพักผ่อนก่อนเล็กน้อย ส่วนท่านก็ลงมือทำอาหารให้พวกเราลิ้มรสกันอีกครั้งเป็นไร อย่าให้ผมต้องเสียแรงเปล่านา!”
จ้านหู่ยิ้มออกมา “เจ้าตัวนี้น่าจะพอให้เรากินกันได้เป็นสิบวันเลยล่ะมั้ง เดี๋ยวข้าจะทำมันแบ่งเป็นสองส่วนเลยภายในวันนี้ ส่วนแรกสำหรับการกินกันคืนนี้ ส่วนที่เหลือจะได้เก็บเอาไว้สำหรับเป็นเสบียงสำหรับการเดินทางต่อ”
ผมได้แต่ขมวดคิ้ว ก่อนจะถาม “แล้วเราจะทำมันเป็นอาหารได้อย่างไร? มันต้องใช้หม้อใหญ่ขนาดไหนกัน?”
เขาได้แต่หัวเราะ “มันก็เป็นแค่เรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่หรือ? พวกเราไม่ได้จะกินมันทั้งตัวเสียเมื่อไหร่? เราก็แค่ต้องตัดมันออกมาเป็นชิ้น ๆ เท่านั้นเอง แบ่งมันเป็นส่วน ๆ เก็บเอาไว้สำหรับกินในแต่ละครั้งได้สบายมาก ส่วนหม้อต้มนะเหรอ? ถ้าเจ้าอย่างกินแบบต้ม ก็แค่ขุดหลุมขนาดใหญ่ขึ้น แล้วเอาน้ำใส่ลงไปเท่านั้นก็พอแล้วนี”
ผมยังสงสัย “แล้วนั่นจะเรียกว่าทำอาหารได้ยังไงล่ะ? เราจะทำให้มันสุกได้ยังไง? แล้วมันยังฟังเหมือนว่าจะไม่สะอาดเท่าไรนะ”
คราวนี้จ้านหู่ถึงกับสะอึกทีเดียว “เจ้าจะไม่สามารถใช้พลังเวทย์ป้องกันไม่ให้อาหารถูกดินที่อยู่รอบข้างได้เชียวเลยหรือ? ส่วนเรื่องการให้ความร้อน อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้จักเวทย์มนต์ธาตุไฟระดับพื้นฐาน หรือระดับกลางเลยน่ะ”
บ้าจริงเชียว! นี่เขาวางแผนจะใช้งานผมไว้หมดแล้วนี่นา ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ผมต้องกลายเป็นผู้ช่วยพ่อครัวจนได้ เจ้าอสูรสามตานี่ตัวใหญ่มาก พวกเราต้องใช้เครื่องเทศของพี่ใหญ่จ้านหู่จนเกือบหมดเลยทีเดียว และหลังจากที่พวกเราเสร็จสิ้นจากอาหารมื้อใหญ่นี้แล้ว ผมเรียกปีศาจจิ้งจอกให้เข้ามาหา ก่อนจะสั่งออกไป “เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์หน่อยสิ!”
หมอกสีดำปรากฏขึ้นคลุมร่างของมันทันที และเมื่อหมอกจางหายไปก็ปรากฏร่างของหญิงสาวที่เย้ายวนขึ้นมาแทนที่ “นายท่าน ไม่ทราบว่าท่านมีเรื่องอะไรจะสั่งหรือ?”
ผมหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา ก่อนจะถามเธอออกไป “ตอนที่เจ้าล่อปีศาจอสูรสามตาออกมา มีเจตนาจะเอาชีวิตข้าใช่หรือไม่?”
ปีศาจสาวตกตะลึงแล้ว รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที “ไม่! ไม่ใช่! มันเป็นเพราะนายท่านจ้านหู่บอกให้ข้าหาเหยื่อที่ตัวใหญ่กว่าเดิมเท่านั้น ข้าแค่พยายามหาอสูรที่ตัวใหญ่มาก ๆ แค่นั้นเอง”
ผมยื่นมือไปบีบที่คอของเธอเอาไว้ “ถ้าเจ้าคิดจะวางแผนอะไร ก็ต้องอย่าให้ข้าจับได้อย่างนี้สิ!”
ปีศาจจิ้งจอกรีบยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างเต็มที่ “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นใดจริง ๆ ด้วยความแข็งแกร่งของนายท่าน อสูรตัวนี้ทำอะไรท่านไม่ได้อยู่แล้วด้วย ข้าคิดว่ามันแค่ตัวใหญ่ดีเท่านั้น ไม่ได้คิดว่ามันจะทำอันตรายกับพวกท่านได้เลย”
ผมผ่อนแรงที่จับคอของเธอลง แต่ยังสำทับลงไป “อย่าให้ข้ารู้เชียวนะว่าเจ้าโกหก ไม่อย่างนั้นข้าจะให้พี่ใหญ่จ้านหู่จับเจ้าย่างกินเสีย”
น้ำตาของเธอไหลออกมาแล้ว ตัวของเธอนั่นสั่นเทา ก่อนจะกลายร่างกลับเป็นจิ้งจอกตัวเล็กวิ่งหลบออกไปอยู่ด้านข้าง ทำท่าทางไม่สนใจผมอีก เหมือนว่ากำลังโกรธที่ผมใส่ความเธอ แต่ผมแค่ยิ้มออกมาที่มุมปาก และไม่ได้ใส่ใจเธออีกเหมือนกัน
............
หลังจากผ่านคืนนั้นมาจนถึงตอนเช้า พวกเรากินอิ่มนอนหลับ พักผ่อนกันได้อย่างเต็มที่แล้ว หลังจากเก็บของทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็เรียกปีศาจจิ้งจอกตัวน้อยทันที “เจ้าตัวเล็ก! วันนี้พวกเราจะบินกันไป ถ้าไม่อยากถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ ก็รีบมาเดี๋ยวนี้” มันเหมือนไม่อยากจะขยับเข้ามาหาผม เอาแต่จ้องมาที่ผมเขม็ง จนผมต้องเดินเข้าไปลูบหัวอันนุ่มฟูของมันเบา ๆ “เอาล่ะ! เรื่องเมื่อคืนถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกันนะ”
แต่มันส่งเสียงแหลมแบบไม่ยินยอมออกมาสองครั้ง สายตาของมันยังจ้องมาที่ผมอยู่เหมือนเดิม อาจเป็นเพราะมันตัวเล็กมาก นั่นจึงดูน่ารักมากกว่าที่จะเห็นเป็นอย่างอื่น ผมจึงยอมบอกออกไป “เอาล่ะ ๆ! ข้าเข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว! อย่างนี้พอใจหรือยัง?” ได้ยินอย่างนั้น มันกระโดดขึ้นมาอยู่บนไหล่ผมทันที น่าจะพอใจกับคำพูดเชิงขอโทษของผมไม่น้อย