บทที่ 18
บทที่ 18
สวี่ล่ายเพียงจับจดหมายท้าประลองภารกิจระบบก็แจ้งเตือนในหัวเขา
[ติ๊ง!]
[ภารกิจเสริม: การดวลชี้เป็นชี้ตายเริ่มขึ้นแล้ว]
[สามารถเลือกได้สองทาง ตอบรับและปฏิเสธโฮสต์ต้องการเลือกทางไหน?]
[ตอบรับ : รางวัลสำหรับชัยชนะคือ 10 ค่าปราณสังหาร , ค่ากิตติศัพท์ 200 แต้ม]
[ปฏิเสธ : หักค่ากิตติศัพท์ 100 แต้ม , สูญเสียคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานประลองหาคู่ตระกูลเย่]
“หือ? ภารกิจก็มีเส้นทางให้เลือกด้วยหรือนี่? ถ้ายอมรับมัน เอ่อ ... ว่าแต่ค่ากิตติศัพท์คืออะไรอีกล่ะเนี่ย?” สวี่ล่ายกระพริบตา ตีความภารกิจในหัว
“นายน้อย พวกเราควรทำอย่างไรดี?” สวี่หูจากข้างๆมองสวี่ล่ายดูที่งงๆ เดินเข้ามากระซิบถาม
“อ้อ ข้ากำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่” สวี่ล่ายกลับมารู้สึกตัว โบกมือไปรอบๆ ส่งสัญญาณให้ทุกคน
“ขอรับ” สวี่หูเข้าใจที่เขาจะสื่อ หันไปพยักหน้าให้คนอื่นๆ แล้วนำทุกคนออกจากห้องโถง จากนั้นปิดประตูลงอย่างช้าๆ
ค่ากิตติศัพท์ : เมื่อสะสมค่ากิตติศัพท์ถึงแต้มที่กำหนด ฟังก์ชั่นตระกูลและนิกายจะถูกเปิดใช้งาน
“หืม? ยังมีฟังก์ชั่นนี้อีกหรือนี่?” สวี่ล่ายอึ้งเล็กน้อย แต่ในใจลอบยินดี
หน้าที่ของมันก็ตามชื่อ มันมีไว้เพื่อก่อตั้งตระกูลและนิกาย ฟังดูน่าสนใจมาก
สวี่ล่ายนึกถึงนิยายศิลปะการต่อสู้ในชีวิตที่แล้วของเขา บรรดายอดฝีมือเมื่อเก่งกาจก็เริ่มมีการก่อตั้งนิกายหรือพรรค อย่างอะไรจำพวกพรรคกระยาจก หรือสำนักง๊อไบ๊ทำนองนั้น เป็นอะไรที่ดูทรงพลังและน่าเกรงขามมาก
“ดีล่ะ ไว้ถึงเวลาเหมาะๆในการจัดตั้งนิกายหรืออะไรสักอย่าง ตอนนั้นคงเจ๋งไม่น้อย!”สวี่ล่ายเลิกคิ้วขึ้น ในใจเต็มไปด้วยความสุขราวกับมีดอกไม้บานสะพรั่ง
จากคำอธิบายของระบบ มันระบุว่า
[เมื่อสะสมค่ากิตติศัพท์ถึง 50,000 แต้ม จะสามารถสร้างตระกูลขั้นต้นได้]
[เมื่อสะสมค่ากิตติศัพท์ถึง 200,000 แต้ม จะสามารถอัพเกรดเป็นตระกูลขั้นกลาง]
[เมื่อสะสมค่ากิตติศัพท์ถึง 500,000 แต้ม จะสามารถอัพเกรดเป็นตระกูลขั้นสูง]
[เมื่อสะสมค่ากิตติศัพท์ถึง 1,000,000 แต้ม จะสามารถอัพเกรดเป็นตระกูลชั้นนำ]
[หากก่อตั้งตระกูลขั้นกลางได้ถึง 5 ตระกูลเมื่อไหร่ จะสามารถสับเปลี่ยนมันเป็นนิยายขั้นต้นได้ 1 นิกาย]
[เมื่อสะสมค่ากิตติศัพท์ถึง 5,000,000 แต้ม จะสามารถอัพเกรดเป็นนิกายขั้นกลางได้]
[เมื่อสะสมค่ากิตติศัพท์ถึง 10,000,000 แต้ม จะสามารถอัพเกรดเป็นนิกายขั้นสูง ... ]
“ก่อตั้งนิกายขั้นต้นแห่งเดียว .... ต้องการค่ากิตติศัพท์ล้านแต้ม!?” สวี่ล่ายเห็นคำอธิบายนี้ เขาเกือบจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย
สวี่ล่ายคิดซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ยักไหล่ “เอาน่ะ ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้ข้าก็ไม่รีบร้อนที่จะสร้างตระกูล เอาไว้ค่อยๆสะสมค่ากิตติศัพท์ในภายหลัง ข้าเชื่อ ว่าวันหนึ่งข้าสวี่ล่ายมีพลังมากพอที่จะสร้างนิกายที่สามารถครองรัฐๆหนึ่ง ไม่สิ ... มีพลังมากพอที่จะสร้างนิกายที่สามารถครองทั้งทวีปชางหวู่ !”
สวี่ล่ายเงยมองขึ้นไปบนหลังคาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จินตนาการว่าตัวเองยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุด แล้วหัวเราะออกมาดัง ๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! มันเจ๋งมาก!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า……”
อย่างไรก็ตาม ฝั่งข้างนอกประตู
“นี่ นี่ พวกเจ้าได้ยินไหม นายน้อยหัวเราะฮิฮะ อยู่คนเดียว หรือว่าพอได้เจอองค์หญิงกลิ่นหอม เขาก็ดันตกหลุมรักนางเข้าให้แล้ว?” สวี่เปาเอาหูแนบประตู หันไปพูดกับคนอื่นๆที่อยู่ข้างเขา
“ไอ้หยา มีความเป็นไปได้อยู่นะ พวกเจ้าลองคิดดูสิ ปีนี้นายน้อยของเราก็อายุปาเข้าไป 16 17 ปีแล้ว ก้าวเข้าสู่วัยพร้อมเข้าเรือน ทั้งยังแข็งแรงเลือดร้อน ตอนนั้นที่เขาได้จับมือเล็กๆของหลิวเฟยเยี่ยน คงเป็นการสัมผัสผิวเนียนนวลของสตรีครั้งแรก ...”
สวี่เปียวยิ่งมายิ่งพูดเกินจริง ขณะเดียวกันอธิบายและตีความเป็นฉากๆ
ป้าง! ป้าง!
“โอ๊ย!”
“โอ๊ย!”
ยังไม่รอให้พูดจบ บนหัวของสวี่เปา เปียว ก็ปูดเป็นลูกเกาลัดจากหมัดของสวี่หู
“เจ้าสองคนอยากตายใช่ไหม? นายน้อยของเราเป็นสุภาพบุรุษที่ดี แต่กลับถูกพวกเจ้าใส่ร้าย ถ้ามีข่าวลือหลุดออกไปจนทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ต่อให้พวกเจ้ามีสิบชีวิตก็ไม่พอชดใช้!”
สวี่หูจ้องทั้งสองคนอย่างโหดเหี้ยม
“ลูกพี่อย่าโกรธสิ พวกเราแค่พูดเล่น” สวี่เปียว รีบออกมายอมรับความผิด
“ใช่ ใช่ อย่าโกรธเลย พวกเราแค่ล้อเล่น ... ว่าแต่ ในเมื่อเป็นแบบนี้พวกเราควรพานายน้อยไป ‘หาประสบการณ์’ ในย่านโคมแดงดีหรือไม่?” สวี่เปาขยิบตาด้วยใบหน้ายิ้มชั่วร้าย
“นี่สรุปพวกเจ้าจะไม่ยอมหยุดกันใช่ไหม ...” สวี่หู ยกกำปั้นขึ้นและกำลังจะตี
สวี่เปา เปียวเห็นท่าไม่มีก็หมุนตัวกลับและวิ่งหนีไป
เพียงแต่ในเวลานั้นเอง สวี่ล่ายเปิดประตูแล้วเดินออกมา
“หือ? นั่นพวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?”
“ไม่มีอะไร! ไม่มีอะไรนายน้อย!”
“ใช่ ใช่ ไม่มีอะไรทั้งนั้นนายน้อย!”
สวี่เปา เมื่อเห็นสวี่ล่ายเดินออกมา ก็รีบวิ่งเข้าไปหลบข้างหลังเขา
“อ้องั้นหรือ ยังไงก็เถอะ ข้ามีบางอย่างให้พวกเจ้าทำ”
“เรื่องอะไรหรือนายน้อย!”
“อีกสักพักพวกเจ้าช่วยไปทําธงขนาดใหญ่ซัก 30 ผืนมาหน่อย รูปในธงก็แบบนี้ ... แบบนี้ ....”
สวี่ล่ายเรียกสวี่หูและคนอื่นๆ บอกสิ่งที่เขาคิดออกไปในคราเดียว
“เอ๊ะ? นายน้อย นี่ท่านตั้งใจจะทําอะไร--”
ก่อนที่สวี่เปียวจะทันได้ถาม ดวงตาของสวี่หูจ้องเขม็งจากด้านข้าง พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คำสั่งของนายน้อยพวกเรามีหน้าที่แค่ทำตาม อย่าถามเยอะ!”
“ขอรับ ขอรับ ......” สวี่เปียวรีบแวบไปด้านข้าง
เพียงแต่ในจังหวะนั้นเอง สวี่เปา ยิ้มและเอนตัวเข้ามา “เฮะ เฮ่ นายน้อย ถ้าท่านมีเวลา พวกเราสองคนยินดีพาท่านไปเที่ยวย่านโคมแดง ...”
ป้าง!
“มันเจ็บ!!”
“เจ้ากำลังหาเรื่องตาย?”
“ไม่...... ข้าไม่กล้า!” สวี่เปากลัวมากจนวิ่งหนีไป
“หืม? เมื่อครู่สวี่เปาว่าอะไรนะ?” สวี่ล่ายกระพริบตา คล้ายได้ยินสิ่งที่น่าสนใจ
“นายน้อยอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของพวกเขา สถานที่แบบนี้ไม่ใช่สถานที่ให้นายน้อยต้องลดตัวลงไป” สวี่หูรีบก้มศีรษะลงและตอบกลับ
“อ่าๆ เอาหล่ะ พวกเจ้าก็ไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยง เรียกระดมหน่วยอารักขาทั้งหมด แล้วตามข้าไปยังศาลาสิบลี้”
“ขอรับ!”
“ขอรับ!”
“ขอรับ!”
สวี่หูและคนอื่นๆก้มศีรษะตอบรับ หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเตรียมธงสำหรับการประลองในวันพรุ่งนี้
หลังจากทุกคนออกไปนานพอสมควร มุมปากของสวี่ล่ายยกขึ้นเล็กน้อย “นั่นสินะ! ลืมไปเลยว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าย่านโคมแดง หอกลิ่นหอม หรือสถานที่ดีๆอื่นๆอยู่”
ในชาติก่อน สวี่ล่าย เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ เขามักไปเที่ยวบาร์ ดื่มเหล้าและหิ้วเหล่าดอกไม้งามกลับห้อง
แต่พอได้ข้ามมิติมายังโลกนี้ เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าที่นี่ก็มีสถานที่สำหรับร่ำสุราและเชยชมดอกไม้งามอยู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อจินตนาการถึงจุดนี้ อีกความคิดหนึ่งแวบเข้ามา
“เฮ้อ แต่ด้วยฐานะนายน้อยรุ่นเยาว์ ถ้ามีคนเห็นข้าไปในสถานที่แบบนั้นล่ะก็ ... เกรงว่าคงเสื่อมเสียชื่อเสียงแน่ๆ ช่างเถอะ เอาไว้ว่างๆเดี๋ยวปลอมตัวแล้วแอบไปเที่ยวคนเดียวก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้ ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีไปก่อน”
คิดได้แบบนี้ สวี่ล่ายก็รีบกลับห้องของเขา เพื่อเตรียมพร้อมสู้ศึกในวันพรุ่งนี้
...
ณ ศาลาสิบลี้
“เฮ้ย ใกล้จะถึงเวลาแล้ว พวกเจ้าว่านายน้อยขยะของตระกูลสวี่จะมาไหม?”
“ข้าเดาว่าเจ้าขยะนั่นต้องกลัวหัวหดแน่ๆ เขาไม่กล้ามาหรอก!”
“ข้าบอกเจ้าแล้ว! นายน้อยขยะจะเอาชนะกระบี่ลมกรดหลี่อวี้ถิงได้อย่างไร? นั่นต้องเป็นแค่ข่าวลืออย่างแน่นอน”
“อย่างไรก็ตาม ข้าหวังว่านายน้อยขยะผู้นี้จะมา เพราะนี่จะได้เป็นการขจัดข่าวลือที่แพร่ไปทั่วเมืองด้วย”
“ฮ่าฮ่า! ถูกตัอง ถูกต้อง”
ศาลาสิบลี้ เดิมมีขนาดเล็ก แต่ตอนนี้มันแออัดไปด้วยผู้คน มีอย่างน้อย 5 - 6 พันคนมารวมตัวกันที่นี่
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลใหญ่และชนชั้นสูงของนิกาย
มีหลายคนที่เป็นยอดฝีมือที่ตั้งใจจะเข้าร่วมการประลองคัดเลือกคู่ในเดือนหน้า แต่พอได้ยินว่ามีการดวลชี้เป็นชี้ตายที่นี่ ระหว่างกระบี่ลมกรดหลี่อวี้ถิงผู้มีชื่อเสียงในเมืองหรันเถียน และสวี่ล่ายนายน้อยขยะของตระกูลสวี่ จึงตั้งใจมารับชมความสนุก
และเนื่องจากข่าวนี้เพียงชั่วข้ามคืนก็ได้กระจายไปทั่วถนนในเมืองหรันเถียน ทำให้มีพ่อค้าแม่ขายมาตั้งแผงลอยขายของกันอย่างคึกคัก
แน่นอน คนส่วนใหญ่ต้องการเห็นว่าสวี่ล่ายนายน้อยขยะจะถูกหลี่อวี้ถิงทุบตีอย่างไร
ณ เวลานี้ บริเวณกลางศาลาสิบลี้ ได้มีการสร้างสังเวียนรูปวงแหวนที่สูงสามศอก และมีความกว้างความยาวกว่า 20 อิงฉื่อขึ้น อีกทั้งยังมีอักขระยันต์เปล่งประกายเหนือลานประลอง เห็นได้ชัดว่ามีการวางค่ายกลป้องกันไว้ด้านบน
บนอัฒจันทร์ทางเหนือของลานประลอง มีตระกูลหลี่ ตระกูลเย่ ตระกูลราชวงศ์ต้าหยาน และคุณหนูจากพันธมิตรการค้าว่านตง—— เหยาว่านซิน
ส่วนอัฒจันทร์สองแห่งทางตะวันออกและตะวันตก มีตัวแทนจากตระกูลและชนชั้นสูงของนิกายที่เดินทางไกลมานั่งกระจัดกระจายกัน
“ฮึ เราองค์หญิงรู้อยู่แล้ว ว่านายน้อยขยะตระกูลสวี่นั่นไม่กล้ามาหรอก!”หลิวเฟยเยี่ยนตะคอก พ่นลมหายใจเย็นชาออกจากจมูก สีหน้าท่าทีแสดงถึงความดูแคลน หันไปคุยกับเหยาว่านซินที่อยู่ข้างๆเธอ
“พี่สาวหลิว อย่ารีบร้อน ข้ากลับรู้สึกว่าสวี่ล่ายคนนี้ เขาจะมาแน่นอน” เหยาว่านซินยิ้มบาง ตอบกลับด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“อะไรนะ? น้องเหยาคิดว่าไอ้ขยะจะเอาชนะคู่หมั้นของข้าได้จริงๆเหรอ” หลิวเฟยเยี่ยนกลอกตา กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ
“คุณหนูหลิว ข้าหลี่อวี้ถิงคืออัจฉริยะ แล้วจะพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าขยะนั่นได้อย่างไร?” หลี่อวี้ถิงเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเขาเอนตัวไปด้านข้างหลิวเฟยเยี่ยน ด้วยรอยยิ้มที่ประจบสอพลอ
“ขยับออกไปซะเจ้าคนไร้ประโยชน์! แค่ขยะจากตระกูลสวี่เจ้าก็ไม่สามารถโค่นเขาในการโจมตีเดียวได้ ยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นอัจฉริยะอีก!” หลิวเฟยเยี่ยนถลึงตา ไม่คำนึงถึงใบหน้าของหลี่อวี้ถิงแม้แต่น้อย
“เอ่อ ในเวลานั้น ...... ในเวลานั้นข้าแค่ประมาท ...” สีหน้าของหลี่อวี้ถิงเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมม่วงในทันใด แต่ก็ยอมถอยไปด้านข้างอย่างกระอักกระอ่วน
“ฮึ! เจ้าคนไร้ประโยชน์!” หลิวเฟยเยี่ยนตะคอกอย่างเย็นชาและเลิกสนใจเขา
‘สตรีที่น่าชัง! หากมิใช่เพราะเจ้าคือองค์หญิง ข้าจะทุบตีเจ้าทุกวันอย่างแน่นอน’ หลี่อวี้ถิงกัดฟัน ลอบก่นด่าในใจ
“พี่สาวสงบใจก่อนเถิด วันนั้นในหอจูเซียน แม้ข้าจะไม่เห็นกับตาตัวเองว่าคุณชายหลี่พ่ายแพ้ แต่เห็นได้ชัดว่านายน้อยของตระกูลสวี่คนนี้ มิใช่ขยะอย่างที่ทุกคนกล่าวอ้างอีกต่อไปแล้ว”
เหยาว่านซินยิ้มอย่างอ่อนโยน ดึงหลิวเฟยเยี่ยนมาข้างๆเธอ เพื่อคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด
“ข้าไม่สนว่าเขาจะเป็นขยะหรือไม่ แต่เรื่องนี้ไม่อาจละเลย มิฉะนั้นข้าจะรักษาหน้าของราชวงศ์เราไว้ได้อย่างไร?” หลิวเฟยเยี่ยนชำเลืองมองหลี่อวี้ถิงที่อยู่ถัดไป เมื่อนึกย้อนถึงความคับข้องใจที่เธอได้รับจากตระกูลสวี่ในวันก่อน ก็เริ่มโกรธขึ้นมาอีกรอบ
“องค์หญิง ใกล้จะถึงกลางยามอู่ (ช่วงเที่ยง) แล้ว ข้าเกรงว่าสวี่ล่ายจะไม่มา”
ณ ขณะนี้ คนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ โน้มตัวมารายงาน
“ฮึ ช่างน่าชังนัก! ดูท่าขยะตระกูลสวี่จะไม่กล้ามาจริงๆ” หลิวเฟยเยี่ยนตะคอกอย่างเย็นชา แต่ยังมีความผิดหวังเล็กๆ ในใจ
จากนั้น หลิวเฟยเยี่ยนก็ลุกขึ้นและเสนอกับผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลข้างๆเธอ “เหล่าผู้อาวุโส น้องเหยา ตอนนี้เราสามารถประกาศตัดสิทธิ์ไม่ให้ตระกูลสวี่ เข้าร่วมการประลองเลือกคู่ครองได้แล้วกระมัง”
“แน่นอนอยู่แล้ว ในฐานะตัวแทนของตระกูลเย่ พวกเราเห็นด้วยกับการตัดสิทธิ์ตระกูลสวี่จากการเข้าร่วม ยังไงซะการปล่อยให้ขยะมีส่วนร่วมในการประลอง มันก็ถือเป็นการดูถูกตระกูลเย่ของพวกเราจริงๆ”
ตัวแทนผู้อาวุโสวัยกลางคนคนหนึ่งของตระกูลเย่ลุกขึ้นแสดงท่าทีก่อน
“ใช่ ใช่ ใช่ ตระกูลสวี่มีทายาทเช่นนี้ ช่างน่าเป็นห่วงต่อการพัฒนาในอนาคต ข้าว่าตระกูลที่มีทายาทตกต่ำเช่นนี้ ไม่สมควรครอบครองทรัพยากรในเมืองจำนวนมากเช่นปัจจุบัน”
ผู้ปกครองหลี่ตัดสินใจเอาเองอย่างจริงจัง
“ถูกต้อง ตอนนี้ตระกูลสวี่ไม่ได้โดดเด่นเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว ควรสละทรัพยากรบางอย่างที่ครอบครองแก่ตระกูลอื่นเพื่อเปิดช่องว่างให้พวกเขาพัฒนาบ้าง”
ไม่ไกลนัก ประมุขตระกูลซุนก็เอ่ยผสมโรง
“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเรา...” หลิวเฟยเยี่ยนกำลังเอ่ยปากประกาศแต่เธอกลับถูกเหยาว่านซินที่อยู่ด้านข้างดึงไว้
“พี่สาว ทำไมรีบร้อนนัก ก่อนเที่ยงยังมีเวลาอีกนิดหน่อย เพื่อความเป็นธรรม ข้าคิดว่าเราควรรอจนถึงหลังเที่ยงก่อนเราจึงจะเริ่มประกาศ”
เหยาว่านซินเพิ่งพูดจบ ฝูงชนที่มุงอยู่รอบลานประลองก็เกิดความชุลมุนวุ่นวาย
“มาแล้ว! นายนายขยะของตระกูลสวี่มันมาจริงๆ!”