ตำนานเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 333 ชื่อเสียงแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน (อ่านฟรี)
ตำนานเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 333 ชื่อเสียงแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน (อ่านฟรี)
แปลโดย iPAT
แม้เวลาจะค่อนข้างกระชั้นชิด แต่ซุนชูผิงภายใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ยังเดินอย่างไม่เร่งรีบ เขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและกระฉับกระเฉงซึ่งแตกต่างจากนักเล่านิทานชราผู้ยากไร้ในอดีตเป็นอย่างมาก
งานของเขาในตอนนี้คือการฝึกนักเล่าเรื่องรุ่นเยาว์ให้กับสมาคมหลอมรวมเมฆา มันทำเงินได้ค่อนข้างดี
แม้เขาจะไม่ต้องขึ้นเวทีอีกต่อไป แต่บ่อยครั้งที่เขาไม่สามารถอดทนและต้องขึ้นไปอธิบายบางส่วนของเรื่องราวซึ่งนำไปสู่เสียงปรบมือ เงินที่เขาได้รับจากการเรื่องเล่า สมาคมหลอมรวมเมฆาจะไม่แตะต้องมัน
ซุนชูผิงรู้สึกละอายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายของเขารับเงินบางส่วนโดยคำนึงถึงสถานการณ์ในระยะยาว เขาเริ่มปฏิบัติต่อสมาคมหลอมรวมเมฆาเหมือนบ้าน ดังนั้นเขาจึงคาดหวังว่าสมาคมจะสามารถดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรืองต่อไปอีกนานเพื่อให้นักแสดงและศิลปินที่ต่ำต้อยเช่นเขาสามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ได้
เมื่อกลับมาที่ห้องของเขา เขาพบว่าศิษย์ของเขา เสี่ยวสือโถว นอนอยู่บนพื้นและหมกมุ่นอยู่กับหนังสือภาพ เขาขมวดคิ้ว “เสี่ยวสือโถว เหตุใดเจ้าไม่ทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาและเตรียมตัวขึ้นเวทีแต่กลับอ่านสิ่งนี้?” เดิมทีซุนชูผิงไม่ต้องการให้ศิษย์ของเขาดำเนินรอยตามเขา แต่หลังจากเข้าร่วมสมาคมหลอมรวมเมฆา เขาก็เปลี่ยนใจ เขาต้องการฝึกเด็กคนนี้อย่างเหมาะสม
เสี่ยวสือโถวเงยหน้าขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้าต้องการเล่าเรื่องนี้!”
ก่อนหน้านี้ซุนชูผิงเคยดูหนังสือภาพของหลี่ฉิงซานเช่นกัน มันน่าสนใจแต่มันก็เป็นเพียงนิทานสำหรับเด็ก โดยพื้นฐานแล้วบทพูดและคำบรรยายของมันน้อยเกินไป มันไม่เหมาะสำหรับการเล่าเรื่อง
แต่เมื่อเสี่ยวสือโถวชอบเรื่องนี้ การแสดงสั้นๆก็ไม่ใช่ความคิดที่เลวร้าย มันสมบูรณ์แบบสำหรับเสี่ยวสือโถวที่จะขึ้นเวทีและฝึกฝนตนเอง
หลิวฉวนเฟิงและซุนฝูไป่รู้เรื่องหนังสือภาพเช่นกัน ทั้งหมดต้องขอบคุณซุนฝูไป่ที่ช่วยเผยแพร่มันออกไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามพวกเขายังรู้สึกว่ามันเป็นเพียงหนังสือภาพที่ไร้นัยสำคัญและไม่ใช่มาตรฐานของสำนักวรรณกรรม มันไม่สามารถใช้ต่อกรกับสำนักจิตรกรรม ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงลืมมันไปและให้ความสำคัญกับการแก้ไขนิยายของหลี่ฉิงซานเท่านั้น
หลังจากแก้ไขบทที่หนึ่งเสร็จ พวกเขาก็เผยแพร่มันไปทั่วแผ่นดินผ่านนักเล่าเรื่องทันที มันมีประสิทธิภาพมากเช่นกัน แม้แต่สมาชิกสมาคมหลอมรวมเมฆาก็มีชื่อเสียงเพราะสิ่งนี้ซึ่งทำให้พวกเขาทั้งสองมีความมั่นใจมากขึ้น
หลี่ฉิงซานนั่งสมาธิอยู่ในห้องของเขา เขาตรวจสอบร่างกายของตนและพบพลังแห่งความเชื่อส่องประกายอยู่ในยันต์ศักดิ์สิทธิ์นักประพันธ์ของเขา
นิยายและหนังสือภาพของเขาแพร่กระจายออกไปยังผู้เสพสองกลุ่มที่แตกต่างกันและมอบพลังแห่งความเชื่อให้เขาอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝนหมัดปีศาจวัว เขากินเม็ดยาเกือบครึ่งที่เขาซื้อมาแล้ว ในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า เขาจะบรรลุระดับใหม่
เขามองท้องฟ้าที่มืดลงและคิดว่าถึงเวลาที่นางจะกลับมาแล้ว เขารออีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เสี่ยวอันจะปรากฏตัวและกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเขา อย่างไรก็ตามใบหน้าของนางกลับเดือดดาล
“ผู้ใดทำให้เสี่ยวอันของเราโกรธถึงเพียงนี้?” หลี่ฉิงซานลูบผมของนางและเผยรอยยิ้ม
ช่วงที่ผ่านมาเสี่ยวอันยุ่งมากเช่นกัน นักบวชรวมจิตเชิญพระอาจารย์จากที่ต่างๆมาขณะที่เสี่ยวอันต้องไปเยี่ยมและสนทนาธรรมกับพวกเขา
พระอาจารย์เหล่านั้นนำศิษย์สองสามคนมาด้วยซึ่งพยายามทำให้เสี่ยวอันพบความยากลำบาก
ด้วยความสามารถของเสี่ยวอัน นักบวชรวมจิตจึงได้รับชัยชนะและได้รับความเคารพอย่างล้นหลาม เขามีความสุขมากแต่เสี่ยวอันกลับรู้สึกหงุดหงิด สิ่งนี้ทำให้นางมีเวลาอยู่กับหลี่ฉิงซานน้อยลง
นางเอนกายพิงหน้าอกของหลี่ฉิงซานอย่างสงบ
จากนั้นนางก็กล่าวว่า “เส้นทางแห่งกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด นักบวชหัวโล้นพวกนั้นควรถูกเผาตายให้หมด! วันนี้แม่ชีสาวที่แม่ชีชรานำมาไม่สามารถเอาชนะข้าแต่นางยืนยันว่าข้าต้องผนวช มิฉะนั้นข้าจะยังติดอยู่ในกามราคะทั้งหก สุดท้ายข้าลงเอยด้วยความพ่ายแพ้”
หลี่ฉิงซานหัวเราะ เขาบีบจมูกของนาง “ดูเหมือนความเข้าใจบนเส้นทางแห่งกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ของเจ้าจะยกระดับขึ้นอีกครั้ง”
“แน่นอน” เสี่ยวอันจับมือของเขาและตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ดวงตากลมโตของนางกระพริบสองสามครั้งก่อนที่นางจะกล่าวว่า “ปิดประตูบ่มเพาะกันเถอะ!”
นับตั้งแต่ครั้งก่อน การปิดประตูบ่มเพาะกลายเป็นสิ่งที่นางโปรดปราน พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันโดยไม่ถูกรบกวนจากภายนอก
หลี่ฉิงซานกล่าว “งานประชุมธรรมกำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หากเราปิดประตูบ่มเพาะตอนนี้ นักบวชรวมจิตจะต้องฉีกคอข้า เจ้าเพียงต้องทำความเข้าใจเส้นทางแห่งกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ต่อไปเท่านั้น”
เสี่ยวอันแสร้งฉุนเฉียว
หลี่ฉิงซานกล่าว “ตอนนี้มีเพียงเราสองคนบนเกาะ ดังนั้นถือว่ามันเป็นการปิดประตูบ่มเพาะ เราจะปิดประตูบ่มเพาะสองสามชั่วโมง!”
เสี่ยวอันเห็นด้วย “ตกลง!”
เช้าวันต่อมากลิ่นไม้จันทร์ก็จางหายไป เสี่ยวอันจากไปแล้ว ตั้งแต่พระอาจารย์คนแรกมาถึง ในฐานะศิษย์เอกของวัดโพธิสัตย์ นางต้องทำวัตรเช้าเพื่อให้เกียรติแขกซึ่งทำให้นางลำบากใจเล็กน้อย
นักบวชรวมจิตรู้ว่าศิษย์ของเขาดื้อรั้น เขากลัวว่านางจะทำตามใจตัวเองและทำให้เขาถูกเย้ยหยัน ดังนั้นเขาจึงสัญญาว่าจะมอบเม็ดยาหลายเม็ดให้นาง สิ่งนี้ทำให้นางยอมรับความรับผิดชอบในฐานะศิษย์เอกอย่างจริงจัง แน่นอนว่านางต้องการมอบเม็ดยาให้หลี่ฉิงซาน ตราบเท่าที่นางสามารถช่วยเขา นางก็จะอดทนต่อการพลัดพรากชั่วคราว
หลี่ฉิงซานถือเม็ดยาที่นางมอบให้ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เขาส่ายศีรษะและสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป
เขาไม่ได้บอกเสี่ยวอันเกี่ยวกับสมบัติที่เฉียนหรงจื่อทิ้งไว้ ในฐานะผู้ปกครอง เขาไม่ต้องการให้เสี่ยวอันมีความสัมพันธ์ใดๆกับหญิงผู้นั้น
แน่นอนว่าหากเฉียนหรงจื่อตายอยู่ข้างนอกจริงๆ เขาจะบอกเสี่ยวอันเกี่ยวกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยได้ยินข่าวนี้เลย
ทั้งหมดที่เขาเรียนรู้จากอันฉงจื่อคือหลังจากกลับมาจากภารกิจหนึ่ง เฉียนหรงจื่อก็รับภารกิจที่สองทันที ที่ตั้งของภารกิจอยู่ห่างจากเมืองชิงเหอมากขึ้น มันดูเหมือนนางกำลังพยายามฆ่าตัวตาย
แต่หลี่ฉิงซานรู้สึกว่านางจะไม่ตายอย่างง่ายดายเช่นนั้น หากนางไม่มีความมั่นใจ นางจะไม่เข้าใกล้เรื่องดังกล่าว
อย่างไรก็ตามชะตากรรมของนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
หลี่ฉิงซานเดินเข้าไปในป่าไผ่และเริ่มฝึกฝน เสี่ยวอันทำงานหนักเพื่อเขา แล้วเขาจะขี้เกียจได้อย่างไร
ทันใดนั้นหลี่ฉิงซานพลันได้ยินเสียงผิดธรรมชาติ เขาหันกลับไปมองและส่งหมัดออกไปทันที
มันปะทะกับบางสิ่งที่เหมือนฝ่ามือ
หลี่ฉิงซานกล่าว “เตียอี้ สิ่งใดนำเจ้ามาที่นี่?”
“ข้ามาทวงหนี้!” อันเตียอี้รู้สึกประหลาดใจ หมัดของหลี่ฉิงซานทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
“ข้าเกือบลืมไปแล้ว เจ้ายังติดหนี้ข้าอีกสองหมัด” หลี่ฉิงซานชูกำปั้นของเขาขึ้นขณะที่อันเตียอี้ถอยกลับอย่างรวดเร็วและหายเข้าไปในป่าไผ่
“มาที่สนามประลองของสำนักการทหาร อย่าลืมว่าเจ้ามีหนี้ที่ต้องจ่ายเช่นกัน”
“น่าเสียดายที่ข้าไม่ชอบสะสมหนี้และข้าก็เกลียดการทวงหนี้!” หลี่ฉิงซานพุ่งออกไปเหมือนลูกศรเพื่อไล่ล่า