บทที่ 214 – อาหารเลิศรสของเผ่าปีศาจ
ทั้งสองคนประสานสายตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะปล่อยพลังที่ได้รวบรวมเอาไว้ออกไปเกือบจะพร้อมกัน บอลแสงสีทอง และคมดาบโปร่งแสงที่มีประกายสีทองปะทะกันที่กลางอากาศตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งคู่ พลังทั้งหมดดูเหมือนจะบรรจบกันอยู่ที่จุดเดียว มันทำให้เวลาแทบจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งทันที
และพลังก็ปะทุออกอย่างรุนแรงโดยมีจุดประทะนั่นเป็นศูนย์กลาง ทั้งจ้านหู่และวอลเลซถูกแรงระเบิดที่มหาศาลผลักจนกระเด็นออกมาทั้งคู่ ผมตะโกนเตือนออกมา “ระวังตัว!” พร้อมกับร่ายเวทย์ป้องกันขึ้นที่หน้ากลุ่มเพื่อทำการป้องกันแรงระเบิดนั่นเอาไว้ทันที
หลังจากผ่านไปชั่วขณะ ผืนดินที่สั่นอย่างรุนแรงเริ่มสงบลง แรงระเบิดอันรุนแรงจากการประทะนั่นทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่อยู่ที่พื้น ทั้งวอลเลซแล้วจ้านหู่กำลังทรุดตัวอยู่ที่ขอบของหลุมนั่นคนละข้าง แต่ทั้งคู่กำลังหอบหายใจถี่
กองทหารอสูรกายที่ยืนอยู่โดยรอบต่างล้มกลิ้งอยู่บนพื้น เศษดินเศษฝุ่นที่เกิดจากการประทะที่รุนแรงนั่นปกคลุมตัวพวกเขาจนทั่วไปหมดแล้ว
ส่วนซูเหอที่ยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มของพวกเรานั้นในสายตามีแต่ความคลั่งไคล้ ดูเหมือนว่าเขาจะหลงใหลในการประลองที่ทรงพลังนี้เป็นที่สุด
เสียงหัวเราะกึกก้องดังออกมาจากปากของวอลเลซ “นี่มันน่ายินดีมากจริง ๆ ข้าไม่ได้สมใจขนาดนี้มาก่อนเลย”
ส่วนจ้านหู่แค่ยิ้ม ๆ “เจ้าอยากจะสมใจต่ออีกหรือไม่ล่ะ?”
วอลเลซส่ายหน้า “พอแล้ว! สะใจพอแล้ว แต่ข้าไม่เคยนึกเลยจริง ๆ ว่าเผ่าปีศาจของพวกเจ้าจะมียอดฝีมือระดับนี้อยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ายังออมฝีมือเอาไว้อยู่ ถูกต้องหรือไม่ล่ะ? ถ้าในอนาคตเจ้ามีโอกาส น่าจะลองประมือกับราชาอสูรยักษ์ของข้าดู เขาน่าจะตื่นเต้นไม่เบาแน่!”
ท่าทีที่เปิดเผยจริงใจของเขา ทำให้จ้านหู่ประทับใจมากขึ้นอีกไม่น้อย และได้ตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา “ได้อย่างแน่นอน! ถ้าวันหนึ่งข้ามีโอกาส ข้าจะขอลองรับทราบพลังอันแข็งแกร่งของราชาอสูรยักษ์ดูสักครั้งให้ได้”
วอลเลซประสานมือให้กับจ้านหู่ ก่อนจะกล่าวลาทันที “น้องชาย ข้าคิดว่าเราคงจะได้พบกันอีกในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน! สหายศึก พวกเราไป!!” โดยไม่รอช้า พูดจบแล้วเขาก็ก้าวยาว ๆ จากไปทันที ความเร็วของเขาราวกับดาวตกเลยทีเดียว
ผมเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ด้านข้างของพี่ใหญ่จ้านหู่ “นับว่าเป็นคนที่น่าสนใจคนหนึ่ง”
จ้านหู่หันมาตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว! ช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาจนดูน่าสนใจมาก การมีเขาเป็นคู่ต่อสู้ มันไม่น่าจะทำให้ข้ารู้สึกเดียวดายแล้ว”
ตงรื่อ เจี้ยนซาน และนักรบคนอื่น ๆ ของหมู่บ้านเทพเจ้า ต่างพากันมารุมล้อมมองจ้านหู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือ จนจ้านหู่ต้องออกปาก “เลิกมองข้าแบบนั้นได้แล้ว! มันทำให้ข้าขนลุก แล้วไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจะอ่อนแอกว่าเจ้าหมีนั่นเสียเมื่อไหร่”
แต่ซูเหอก็ยังเอ่ยปากออกมา “หวา!! หัวหน้าใหญ่ ข้านี่บูชาท่านเลยนะ ความศรัทราในตัวท่านของข้าตอนนี้กำลังไหลหลั่งเหมือนกับสายน้ำที่ไม่มีวันหยุดแล้ว”
จ้านหูคำรามใส่เขา “ถ้าเจ้าเพิ่มความสามารถในการฝึกฝนได้เท่ากับการประจบผู้คน ตอนนี้เจ้าก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าข้าแล้ว”
“ข้า..ข้า..ข้า” ซูเหอพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ผมตัดบทพวกเขา “เลิกพูดกันได้แล้ว ไปเตรียมตัวเดินทางกันต่อเถอะ”
ซูเหอได้ยินถึงกับอึ้ง เขาถามอย่างแปลกใจ “จะไม่ต้องให้หัวหน้าจ้านหูได้พักผ่อนสักหน่อยก่อนหรือ? ทำไมจะต้องรีบออกเดินทางด้วย?”
“เจ้าคิดว่าเขาต้องการพักหรืออย่างไร? จะดูถูกเขาไปแล้ว!” ผมตอบกลับยิ้ม ๆ “นี่เป็นแค่การอุ่นเครื่องของพี่ใหญ่จ้านหู่เท่านั้นเอง”
นั่นทำให้จ้านหู่หัวเราะ “ยังไงเสียจางกงก็รู้จักข้ามากที่สุดจริง ๆ พวกเรา! ไปเตรียมตัว ได้เวลาออกเดินทางกันต่อแล้ว”
หลังจากนั้นอีกสองวัน พวกเราก็ได้ลิ้มรสชาติของอาหารจานเด็ดของเผ่าปีศาจเป็นครั้งแรก นั่นทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมมู่จือ อ้อ! รวมทั้งซูเหอที่อยู่ตรงหน้านี้ด้วย ถึงได้ชื่นชอบการกินอาหารของเผ่ามนุษย์มากนัก อาหารของเผ่าปีศาจถ้าจะให้พูดแล้วมันเป็นแค่เนื้อที่ทำให้สุกเท่านั้น แม้ว่าร้านอาหารที่เราเข้าไปลองกินจะเป็นร้านที่มีระดับสูงที่สุดของเมืองนั้นแล้ว แต่อาหารที่ทำออกมายังมีกลิ่นสาบสางมาก แถมยังแห้งและมีแต่กระดูก ทำให้ทุกคนแทบจะคายมันออกมา ในที่สุดพวกเราก็ต้องพึ่งเสบียงที่เตรียมมาไว้เหมือนเดิม
ซูเหอได้ทีกล่าวออกมาอย่างขอความเห็นใจ “เป็นอย่างไรล่ะ พวกท่านได้รับรู้ถึงความทรมานของพวกเราเผ่าปีศาจแล้วใช่หรือไม่?”
แต่ผมไม่มีเวลามาสนใจสิ่งที่เขากำลังโอดครวญเลย เพราะตอนนี้ผมกำลังคำนวนปริมาณอาหารที่เหลืออยู่อย่างตั้งใจ “เผ่าปีศาจไม่กินผักหรือผลไม้กันบ้างหรือยังไง?”
สีหน้าของซูเหอมืดมน “ดินแดนของเผ่าปีศาจส่วนใหญ่แห้งแล้ง ไม่มีความอุดมสมบูรณ์ พวกเราได้แต่เพาะปลูกพวกหญ้าบางอย่างเอาไว้เลี้ยงสัตว์เท่านั้น แล้วใช้สัตว์พวกนั้นมาเป็นอาหารแทน ผักและผลไม้ที่ท่านพูดถึง ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่บางทีในวังของจักรพรรดิปีศาจอาจจะมีพวกมันอยู่ก็ได้”
พวกเราที่เหลือมองหน้ากันเมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าวออกมา ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตของเผ่าปีศาจจะยากลำบากไม่น้อย ผมได้แต่ถอนหายใจ “แม้ว่าการใช้ชีวิตของพวกเจ้าจะไม่สบายนัก แต่ถ้าโลกนี้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข พวกเจ้าสามารถแลกเปลี่ยนเนื้อสัตว์กับอาหารอื่นกับเผ่ามนุษย์ได้นี่นา”
แววตาของซูเหอเป็นประกาย “ท่านหมายความตามที่พูดจริง ๆ หรือ? ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก” แต่หลังจากพูดจบ เขาก็ถอนหายใจยาว “แต่ข้าคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก อย่างแรกเลย พวกท่านไม่สามารถตัดสินใจแทนเผ่ามนุษย์ทั้งหมดได้ และข้าก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนเผ่าปีศาจได้เหมือนกัน แล้วยังมีเรื่องความเกลียดชังที่สะสมมานานนับพันปีนี่อีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างความสัมพันธ์ต่อกันให้ดีขึ้น”
ผมจ้องไปที่เขาอย่างไม่วางตา ก่อนจะเอ่ย “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ใช่เจ้าชายที่ไร้ประโยชน์ธรรมดาเสียแล้ว แต่เป็นนักปกครองที่เจ้าวางแผน และคิดการณ์ไกลบางอย่างอยู่แน่ ๆ”
เหมือนว่าเขาจะรู้ตัวว่าหลุดปากอะไรบางอย่างออกมา จึงรีบแก้ตัวทันที “มันเป็นแค่การคิดขึ้นมาเพียงชั่ววูบเท่านั้นเอง ท่านก็คงคิดเหมือนกัน ใครบ้างไม่อยากให้โลกนี้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข สถานการณ์ต่าง ๆ มั่นคง? มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะกับคนอย่างข้า พวกเราสามารถเที่ยวเล่นกับเผ่ามนุษย์ได้ มีอาหารรสเลิศให้ได้ชิม ใช่มั้ย? ฮ่าฮ่า!”
ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั่นเป็นความจริงในใจของเขาหรือไม่ แต่มันก็ทำให้ความประทับใจที่ผมเคยมีต่อเขาลดลงไม่น้อย ผมกระชับคทาเวทย์ในมือ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด “พอเถอะ พูดกับคนอย่างเจ้าไปก็เป็นการเสียน้ำลายเปล่า ไปกันเถอะ! ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว”
ซูเหอสะอึก แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก แค่ยืนขึ้นและเดินตามออกมาจากร้านอาหาร
ตอนที่กำลังจะไปขึ้นม้า ผมเอ่ยกับทุกคน “ต่อจากนี้ไป พวกเราต้องลดปริมาณอาหารในแต่ละมือลงบ้างแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเราต้องฝืนกินอาหารของเผ่าปีศาจกันตายแน่ ๆ”
จ้านหู่กระแอมออกมา “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อาหารที่พวกเขาทำออกมากินไม่ได้เลยก็จริง แต่มันก็เป็นเพราะฝีมือทำอาหารเสียมากกว่า”
ผมได้แต่หันไปมองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ “พี่ใหญ่! อย่าบอกนะว่าพี่มีฝีมือในด้านการทำอาหารด้วยน่ะ?”
เขาตบหน้าอกตัวเอง “อะไรกัน? ไม่เชื่อมือข้าหรือยังไง? ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นโจรนะ! จะไม่มีทักษะในการเอาตัวรอดไว้บ้างได้ยังไง? เจ้าแค่รอชิมฝีมือข้ามื้อต่อไปก็แล้วกัน แต่ว่า ใครจะเป็นคนออกไปล่าสัตว์...”
โดยไม่ต้องรอให้ผมตอบ เจี้ยนซานเสนอตัวทันที “ข้า..ข้า..ข้าเอง ถ้าท่านรู้วิธีปรุงอาหาร ข้าอาสาไปเป็นคนจับมาให้เอง”
ผมหันหน้าไปที่ซูเหอ “มันมีพวกสัตว์อสูรปกติอยู่บ้างหรือไม่?”
เขาพยักหน้ารับ “มีแน่นอนอยู่แล้ว ในเขตป่าขนาดใหญ่ใกล้ภูเขาจะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน โดยปกติแล้วพวกมันจะดุร้ายมาก แต่ก็คงจะไม่ได้เกินฝีมือพวกท่านหรอก”
ผมรีบหยิบแผนที่ออกมาดูทันที “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามุ่งหน้าไปที่ป่าติดภูเขากันก่อนก็แล้วกัน เติมเสบียงกันก่อน พี่ใหญ่! คราวนี้ต้องหวังพึ่งฝีมือของพี่แล้ว”
เขายังยืนยันในฝีมือของตัวเอง “ไม่ต้องกังวลน่า เจ้าแค่ต้องระวังจะกัดลิ้นตัวเองตอนกินอาหารฝีมือของข้าเท่านั้น”