(ฟรี) บทที่ 520 ชะตากรรมของหลี่หราน หัวใจของเซินฉิน
“มันจะเป็นไปได้ยังไง!?”
หลี่อู๋เซียงกลืนน้ำลาย รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ต่อให้เป็นตัวตนระดับจักรพรรดิ ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ ชะตากรรมของพวกเขาจะสามารถติดตามได้
ไม่ว่าจะคำนวณได้หรือไม่ก็ต้องเจออะไรบางอย่าง ต่อให้เป็นคนตายก็ต้องมีศพ!
แต่ชะตากรรมของหลี่หรานกลับหายไปราวกับว่าเขาไม่เคยปรากฏบนโลกใบนี้!
หลี่อู๋เซียงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ตลอดทั้งชีวิตเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน!
“เป็นไปได้ไหมว่า… เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่มนุษย์? เต้าหยวนปกปิดข้าและแอบเล่นกับสัตว์อสูร?”
“นั่นไม่ถูกต้อง ต่อให้เป็นสัตว์อสูรก็ต้องมีชะตากรรม…”
“นอกจากนี้เขายังมีสายเลือดของบรรพบุรุษตระกูลหลี่ ข้าไม่ได้เข้าใจผิด หลี่หรานต้องเป็นทายาทสายเลือดบริสุทธิ์ของตระกูลหลี่ข้า”
หลี่อู๋เซียงหยิกเคราของเขาอย่างงุนงง
หากชะตากรรมถูกปกปิดโดยผู้เชี่ยวชาญ มันจะต้องออกมาเลือนราง เป็นไปไม่ได้ที่จะหายไปในอากาศ
เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ใช่ความผิดพลาดของเขา หลี่อู๋เซียงจึงกระทำซ้ำหลายครั้งติดต่อกัน และเขาไม่หยุดจนกระทั่งจิตสำนึกเหือดแห้งและศีรษะกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“คนอื่นสามารถมองเห็นได้ มีเพียงหลี่หราน…” เขาขมวดคิ้วลึกยิ่งขึ้น
หลังจากสงบลง เขาคิดอย่างรอบคอบและรู้สึกว่าปัญหาอาจอยู่ในสองสิ่งนี้
อย่างแรกคือปัญหาที่ตัวหลี่หราน
จากข้อมูลของเซิงเชียน หลี่หรานได้ดูดซับปราณมังกรของดินแดนอันกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นกระแสแห่งสวรรค์และโลกที่ไม่อาจหยุดยั้ง
หากเป็นเพราะเหตุนี้ที่ชะตากรรมของเขาถูกปกปิดไว้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
และอย่างที่สองคือปัญหาจากหลี่อู๋เซียงเอง
ท้ายที่สุด “ศิลปะศักดิ์สิทธิ์ไท่อี่” นั้นลึกซึ้งเกินไป แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประสบการณ์เก่าก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นการข้ามแม่น้ำด้วยก้อนหินเท่านั้น และเขายังห่างไกลจากความเชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ เวลาในการศึกษาของเขาสั้นเกินไป จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดข้อผิดพลาด
นี่เป็นเพียงสองเหตุผลที่เขาคิดได้
หลี่อู๋เซียงครุ่นคิดเป็นเวลานาน
ในทางตรงกันข้าม เขายังคงคิดว่าสาเหตุแรกเป็นไปได้มากกว่า
ท้ายที่สุดแล้วปราณมังกรนั้นลึกลับมาก ไม่มีใครควบคุมมันได้ตั้งแต่สมัยโบราณ และไม่มีใครรู้ว่ามันจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดหลังจากดูดซับ
บางทีมันอาจจะปกปิดชะตากรรมไว้ได้จริงๆ
“ถึงยังไงเจ้าเด็กนั่นก็ซ่อนเรื่องว่าเขาสามารถดูดซับปราณมังกรได้…” หลี่อู๋เซียงส่ายหัวและยิ้มเหยเก
มันเป็นลักษณะทั่วไปของหลี่หราน ไม่ว่าจะอุกอาจเพียงใด อะไรก็เกิดขึ้นได้กับเด็กคนนี้
แต่เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของหลี่หรานเช่นกัน
โดยมีจักรพรรดินีสามคน เหลิงอู่เหยียน อวี้ชิงหลัน และฉู่หลิงฉวนคอยปกป้อง แม้ว่าเต๋าและโลกจะพลังทลาย ปลายผมของหลี่หรานก็คงไม่เสียหายแม้แต่เส้นเดียว
“รอให้ชายชราค้นคว้าและศึกษามากกว่านี้ก่อน มันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็ได้”
หลี่อู๋เซียงพึมพำเสียงต่ำ “เจ้าเด็กนั่นสามารถปล้นพลังงานแห่งสวรรค์และโลกได้ เขาจะมีชะตากรรมแบบใดกัน”
“ช่างน่าค้นหาจริงๆ!”
—
ดินแดนทางเหนือ เทือกเขาซวนหลิง
แตกต่างจากความวุ่นวายในโลกภายนอก วิหารโหยวหลัวเงียบสงบ ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะหรือชีวิตประจำวันล้วนไม่ต่างจากปกติ
ท้ายที่สุดมีเรื่องน่าอัศจรรย์มากมายเกี่ยวกับหลี่หราน และพวกเขาก็เริ่มชินชา...
หากมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ สายตาของเหล่าศิษย์ที่มองหลี่หรานก็มีเพียงชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ
—
ยอดเขาหิมะโปรย ที่พักของบุตรศักดิ์สิทธิ์
หลี่หรานนั่งไขว่ห้างบนเตียง ค่อยๆลืมตาขึ้น ออร่าสีม่วงเปล่งประกายผ่านดวงตาของเขา
เขาไม่ได้บ่มเพาะ มันเป็นเพียง “การตรวจร่างกาย” ประจำวัน
“ปราณมังกรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…”
ตอนที่ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์แห่งพระราชวังตู้เทียนหลิงก่อตัวขึ้น ความเร็วในการดูดซับปราณมังกรยังไม่เร็วมากนัก
แต่นับแต่วันที่ทะลวงระดับ ปราณมังกรขนาดใหญ่เข้ามาเติมเต็มอย่างกะทันหัน เปิดใช้งานค่ายกลราวกับตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้ความเร็วในการหมุนเวียนปัจจุบันเร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
เกือบทุกวัน เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงใหม่ใน “อาณาจักร” ในตันเถียน
“ช่างเถอะ ถึงยังไงก็เป็นเรื่องดี”
เขาไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปราณมังกรและเพลิงสวรรค์เป็นตัวกระตุ้นที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของค่ายกล
การดูดซับปราณมังกรมากขึ้น ค่ายกลแข็งแกร่งขึ้น และฐานการบ่มเพาะก็ย่อมพัฒนาได้ไวขึ้นตามธรรมชาติ
“เอาล่ะ ข้าอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตเทวะแปรผันแล้ว และหากข้าทำงานหนักขึ้น ข้าจะสามารถหลอมรวมเต๋าได้ จากนั้น… แค่กๆๆ!”
หลี่หรานแสดงรอยยิ้มออกมา
คิดเกี่ยวกับมัน เขาตั้งตารอคอยมันจริงๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลี่หรานกลับมามีสติและพูดว่า “เข้ามา”
ประตูถูกผลักเปิด และเซินฉินก็ค่อยๆเดินเข้ามา “นายท่าน ข้ารบกวนการบ่มเพาะของท่านหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“ไม่เลย” หลี่หรานส่ายหัว “เจ้าน่าจะรู้จักข้าดี เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะบ่มเพาะในชีวิตนี้ อาศัยพรสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้”
“อุ๊บ~” เซินฉินปิดปากของนางและยิ้มเบาๆ ดวงตาที่สดใสของนางโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว
บุตรศักดิ์สิทธิ์มักพูดคำแปลกๆเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยังทำให้ผู้คนหัวเราะได้
“นายท่านเป็นคนมีอารมณ์ขันจริงๆ” นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
หลี่หรานยักไหล่ “ข้าพูดความจริงทั้งนั้น”
เซินฉินคิดอย่างรอบคอบแล้วพยักหน้าเห็นด้วยราวกับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
หลี่หรานลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ทันใดนั้นก็นึกถึงบางอย่างและถามว่า “แล้วหนิงเอ๋อร์ล่ะ? ทำไมข้าไม่เห็นนางเลย”
เซินฉินตอบว่า “หนิงเอ๋อร์ไปบ่มเพาะหลังจากรับประทานอาหาร ตอนนี้นางควรจะอยู่ในห้องซ้อมเจ้าค่ะ”
“บ่มเพาะ?” หลี่หรานผงะไปครู่หนึ่ง “ท่านอาจารย์ปล่อยให้นางพักผ่อนสองสามวันนี้ ทำไมนางถึงไปฝึกฝนล่ะ?”
มันไม่ขยันขันแข็งเกินไปหน่อยเหรอ?
เรื่องนี้ทำให้หลี่หรานผู้เกียจคร้านรู้สึกละอายใจ...
เซินฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “หนิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น นางบอกว่านางต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อปกป้องพี่ชายของนางในอนาคต”
“……” หลี่หรานส่ายหัว ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ดูเหมือนว่านางจะจริงจังจริงๆ”
เซินหนิงได้รับความทุกข์ทรมานและการกดขี่ตั้งแต่ยังเด็ก และหลี่หรานเป็นแสงแรกที่สาดส่องเข้ามาในชีวิตของนาง ปัดเป่าความหนาวเย็นและความมืดมิดทั้งหมด ทำให้นางเห็นความหวังเป็นครั้งแรกและยังรู้สึกถึงความสุขของชีวิต
ดังนั้นนางจึงสาบานอย่างลับๆตั้งแต่แรกเริ่มว่านางจะปกป้องพี่ชายของนางในอนาคต เหมือนกับที่พี่ชายปกป้องนาง
หลี่หรานกล่าวว่า “เป็นเรื่องดีที่จะฝึกฝนอย่างหนัก แต่มากเกินไปอาจส่งผลเสีย เจ้าต้องเตือนนางให้มากขึ้นเรื่องการปรับสมดุลระหว่างทำงานและพักผ่อน”
ตึงหรือหย่อนยานเกินไปไม่ใช่เรื่องดี
หากความหลงใหลนั้นแข็งแกร่งเกินไป หัวใจของเต๋าจะเจือด้วยสิ่งสกปรก และมันง่ายที่จะพบทางตัน
เซินฉินไม่ตอบ แต่ก้มหน้าพึมพำบางอย่าง
หลี่หรานถามอย่างสงสัย “เจ้าพึมพำอะไร”
“ข้าบอกว่า…”
เซินฉินลังเลอยู่นานก่อนจะรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าบอกว่า... นายท่าน ข้าก็จริงจังเช่นกัน!”
“อา?” หลี่หรานตกตะลึง และพูดพร้อมกับเกาหัว “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร”
แก้มของนางเป็นสีแดงสดราวกับพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า และนางพูดตะกุกตะกัก “ข้าเคยพูดมาก่อนว่าไขกระดูกวิญญาณในร่างกายของข้าจะเป็นของนายท่านตลอดไป แต่มันผ่านมานานแล้ว... ทะ-ท่านวางแผนจะรับมันไปหรือยัง?”
หลังจากพูดจบนางก็ก้มหัวลงอีกครั้ง ใบหน้าสวยร้อนจนแทบไหม้
“......”
หลี่หรานมองท่าทางเขินอายของนาง ลำคอของเขาอดไม่ได้ที่จะแห้งผาก
“ข้า…”
/////