บทที่ 206 – กองทัพของพันธมิตรปีศาจและอสูรกาย
หลังจากได้ยินการตัดสินใจของผม ตงรื่อรีบกล่าว “พวกเราพาเจี้ยนซานไปด้วยกันเถอะ เขาน่าจะอยู่ในระดับอัศวินศักดิ์สิทธิ์แล้ว” ดูเหมือนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ พวกเขาจะสนิทกันมากขึ้นไม่น้อย
แต่ผมกลับตอบไปว่า “การเดินทางไปเผ่าปีศาจครั้งนี้มีอันตรายไม่น้อย ผู้ที่ร่วมเดินทางต้องสมัครใจที่จะไปเองเท่านั้น จะไม่มีการบังคับเป็นอันขาด เพราะว่าฉันไม่สามารถรับประกันให้ได้ว่าทุกคนจะได้กลับมาอย่างปลอดภัย”
ผู้อาวุโสใหญ่เสนอตัวออกมา “เรื่องนี้ไว้ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเอง ข้าจะช่วยเจ้าคัดเลือกผู้ร่วมเดินทางให้ แต่ว่าเจ้าวางแผนจะออกเดินทางเมื่อใด?”
“พวกเราคงจะออกเดินทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ผมหันไปตอบเขา “เรื่องนี้ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด เพราะเราก็ยังไม่รู้ชัดเจนว่าตอนนี้มีข้ารับใช้ของราชามารมากเท่าไรที่แทรกซึมเข้าไปแล้ว” อันที่จริงแล้ว ผมเป็นห่วงความปลอดภัยมู่จือมากกว่า ผมไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอแน่
“ได้! ไม่มีปัญหา เรื่องของที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง” เขาตอบรับ “พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าน่าจะออกเดินทางกันได้เลย วันนี้พวกข้าจะคัดเลือกคนออกมาให้เอง”
........
เช้าวันต่อมา ขบวนของคนจำนวนสิบสองคนได้เริ่มออกเดินทางกันแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ได้คัดเลือกนักรบของพวกเขาออกมาให้ 9 คนนำทีมโดยเจี้ยนซาน พวกเขามีอายุประมาณ 20 ปีเท่านั้น และจากที่เจี้ยนซานกล่าวให้ฟัง พวกเขาเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของหมู่บ้านเช่นกัน
พวกเราใช้วิธีการเดินทางตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ใช้เวลากลางวันในการฟื้นฟูความแข็งแกร่งของร่างกาย ที่ใช้ในการบินในเวลากลางคืน ทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดดำเพื่ออำพรางตัวระหว่างการเดินทางด้วย แม้ว่าการใช้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในการเดินทางบนฟ้า จะทำได้ครั้งละไม่นานเท่าไรนัก แต่การเดินทางครั้งนี้พวกเราก็ทำเวลาได้ไม่เลว ใช้เวลาเพียงแค่ 10 วัน ก็เดินทางมาถึงเมืองอี๋ว่างลู่ที่อยู่ห่างจากป้อมปราการเต๋อหลุนเพียง 70 กิโลเมตรแล้ว
ตอนนี้ในเมืองค่อนข้างที่จะพลุกพล่าน บนถนนสายหลักคราคร่ำไปด้วยทหารจากทั้งสามอาณาจักร ทั้งเดินหาซื้อข้าวของ และกำลังอยู่ในหน้าที่ลาดตะเวน พวกเราเลือกที่จะเข้าไปในโรงแรมเล็ก ๆ สั่งอาหารมากินกันก่อน
ผมกระซิบกับจ้านหู่ “พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะตึงเครียดไม่น้อย เหล่าทหารที่อยู่ด้านนอกน่าจะเป็นกำลังเสริม หรือไม่ก็เป็นพวกขบวนขนส่งเสบียงไปแนวหน้าแน่ ๆ”
เขาพยักหน้าเห็นด้วย “ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะดูตึงเครียด แต่ว่าพวกเขายังไม่ได้เปิดศึกครั้งใหญ่กันเสียทีเดียว แล้วถ้ามีเฉพาะกองทัพพันธมิตรของเผ่าปีศาจกับเผ่าอสูรกาย การจะทะลวงแนวป้องกันของปราการเต๋อหลุนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ในช่วงเวลา 200 กว่าปีมานี้ ทุกอาณาจักรได้สะสมทรัพยากรเอาไว้สำหรับทำสงครามไม่น้อย สามารถรองรับการทำสงครามยืดเยื้อได้อย่างแน่นอน นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าบุกเข้ามาโจมตีอย่างบุ่มบ่าม แค่เฉพาะปืนใหญ่เวทย์มนต์ 200 กระบอกในป้อมปราการ ไม่ว่าเผ่าปีศาจ กับเผ่าอสูรกายจะยกกำลังกันมามากแค่ไหน ก็ไม่สามารถจะรับมือได้ง่าย ๆ หรอก”
ผมถามเขาอย่างสงสัย “ปืนใหญ่เวทย์มนต์ทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ?”
จ้านหู่ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะบ่นผมออกมา “ความรู้พื้นฐานเรื่องทั่ว ๆ ไปของเจ้านี่มันแย่จริง ๆ! แค่ปืนใหญ่เวทย์มนต์โดยทั่วไปก็สามารถกำจัดกองกำลัง 100 คนได้อย่างสบายแล้ว มันยังด้อยกว่าปืนใหญ่เวทย์มนต์ของปราการเต๋อหลุนเป็นอย่างมาก ที่ป้อมนั่นใช้ปืนใหญ่เวทย์มนต์แรงอัดสูงที่มีอำนาจทำลายล้างในวงกว้างกว่าปืนใหญ่เวทย์มนต์ปกติ เจ้าคิดว่ามันจะทรงพลังหรือไม่ล่ะ? ต่อให้เจ้าพวกสารเลวเผ่าปีศาจกับเผ่าอสูรกายนั่นจะมีพลังป้องกันสูงมากขนาดไหน ข้าก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะกล้าเผชิญหน้ากับปืนใหญ่เวทย์มนต์แรงอัดสูง 200 กระบอกโดยตรงหรอก” เขามองมาที่ผมพร้อมกันส่ายหัว ก่อนที่จะกล่าวต่อ “ข้าไม่ได้หมายความถึงเจ้าหญิงของเผ่าปีศาจนั่นนะ ตอนที่บอกว่าพวกสารเลวน่ะ!” ผมล่ะอยากจะเอาหัวมุดดินจริง ๆ เขาไม่น่าจะต้องอธิบายประโยคหลังให้ผมฟังหรอกนะ
เพราะมันทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก “พี่ใหญ่ พี่นี่...”
ตงรื่อที่เห็นบรรยากาศเริ่มไม่ปกติแล้ว รีบขัดจังหวะเข้ามาทันที “เลิกคุยเรื่องนั้นก่อนเถอะ อาหารมาแล้วเริ่มลงมือกันเถอะ ว่าแต่จางกง! นายวางแผนให้พวกเราผ่านปราการเต๋อหลุนออกไปยังไง?”
พูดถึงเรื่องนี้ผมยิ้มออกมาได้ “แน่นอนว่าฉันต้องมีแผนที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว นายลืมไปแล้วหรือยังไงที่ฉันเคยเล่าให้ฟังถึงวิธีที่เผ่าปีศาจข้ามมายังฝั่งทวีปเรา? ทำไมเราจะใช้วิธีเดียวกับพวกมันไม่ได้ล่ะ? ความเร็วในการฟื้นฟูพลังเวทย์ของฉันนั้นสูงมาก ดังนั้นการเคลื่อนย้ายพวกเราทั้งหมดข้ามไปไม่น่าจะใช้เวลานานนัก”
เจี้ยนซานที่ได้ยินก็มีอาการตื่นเต้นขึ้นมา “อา! ถ้าเป็นแบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย ข้าไม่เคยได้ลองใช้ผังเวทย์เคลื่อนย้ายมาก่อน”
ผมได้แต่คำรามใส่เขาอย่างไม่จริงจังนัก “มันจะมีอะไรเยี่ยมนักกับแค่เรื่องนั้นล่ะ เจ้าคิดว่าการเคลื่อนย้ายมันสนุกนักหรือยังไง? ถ้าพวกเราไม่ระวัง บางทีมันอาจจะย้ายเราไปตกในบึงโคลนที่ไหนสักแห่งก็ไม่รู้”
เจี้ยนซานโยนถั่วลิสงเข้าปาก ทำหน้าไม่แยแส “ไม่ต้องมาหรอกให้ข้ากลัวเลย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะทำเรื่องผิดพลาดขนาดนั้นตอนที่ใช้ผังเวทย์น่ะ”
“เลิกพูดเล่นกันได้แล้ว” จ้านหู่ไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระ “หาคนมาสอบถามข้อมูลสถานการณ์แนวหน้ากันดีกว่า ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ตงรื่อได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะในปาก ก่อนจะเรียกพนักงานเข้ามา “พี่ชาย เชิญทางนี้หน่อย”
พนักงานชายรูปร่างผอมรีบวิ่งเขามาหาทันที “ท่านลูกค้า ไม่ทราบว่าต้องการอะไรเพิ่มหรือไม่?”
ผมสอบถามเขาทันที “พี่ชาย พวกข้าขอถามอะไรหน่อย ตอนนี้ไม่รู้ว่าที่แนวหน้าเป็นยังไงบ้างแล้ว เริ่มสู้รบกันหรือยัง?”
พนักงานคนนั้นรีบมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมองมาทางนี้เลย เขาค่อย ๆ กระซิบออกมา “ผู้น้อยได้ยินมาว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก กองทัพของเผ่าปีศาจกับเผ่าอสูรกายยกกันมาคราวนี้มากถึงสองล้านคนเลย”
กองทัพขนาดสองล้านคนเหรอ? ให้ตายสิ! พวกเขาไปหาทหารมาจากไหนได้มากมายขนาดนั้นกัน? หรือว่าทุกคนในเผ่าเป็นทหารกันหมดเลย? ถึงประชากรของทวีปตะวันออกจะมากว่าประชากรของทวีปตะวันตก แต่ก็ไม่ได้มีทหารมากขนาดนั้นเลย ไม่มีใครอยากจะเอาตัวเข้าไปทำหน้าที่เสียงอันตรายหรอก “แล้วทางฝ่ายเราวางแผนจะรับมือกับพวกมันอย่างไร?”
พนักงานร่างผอมรีบตอบ “ได้ยินว่ากองพันมังกรดินทั้งสาม และกองพันทหารม้า 20 กองพันของอาณาจักรซิวต้า ยังมีกองกำลังนักเวทย์อีก 50 กองจากสหพันธ์เวทย์มนต์ของอาณาจักรอ้ายเซี่ยกำลังรีบเดินทางไปเสริมทัพแล้ว แล้วยังมีกำลังเสริมมาจากอาณาจักรต้าลู่ด้วย ฝ่ายของพวกเราน่าจะมีกำลังไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านคนเหมือนกัน มีพวกทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากแนวหน้ากลับมาทางนี้เมื่อ 2-3 วันก่อน พวกเขาบางคนแวะมากินอาหารที่นี่ ผู้น้อยได้ฟังมาจากพวกเขาว่าด้านนอกของปราการเต๋อหลุน มองไปเห็นแต่กองทัพของฝ่ายนั้นสุดลูกหูลูกตาไปหมด ทหารพวกนั้นได้รับบาดเจ็บมาจากการปะทะกันครั้งแรกเลย”
“พวกเขาได้บอกบ้างมั้ยว่า กองทัพฝ่ายตรงข้ามหน้าตาเป็นยังไง?” ตงรื่อถามต่อ
เขารีบอธิบาย “จะไม่บอกได้อย่างไร? พวกนั้นเล่าอย่างละเอียดเลยล่ะ ผู้น้อยยังจำสีหน้าของพวกเขาตอนเล่าได้อยู่เลย พวกเขายังดูกลัวกันมาก เหมือนกับว่าจะเจอเข้ากับพวกยักษ์จากกองกำลังอสูรกายยักษ์เข้าน่ะ ตอนแรกพวกเขาแค่ออกไปลาดตระเวนกันเท่านั้น เป็นกองกำลังทหารม้าเคลื่อนที่เร็วเกือบ 10,000 นายเชียวนะ แต่ก็โดนพวกอสูรยักษ์ซุ่มโจมตีเข้า พวกนั้นสูงมากกว่า 5 เมตรอีก ถึงจะมีกันแค่ประมาณ 500 ตัวแค่นั้น แต่ก็จัดการกับกองทหารม้าไปเยอะมาก จนเหลือหนีกลับมาได้แค่ 2,000 นายเท่านั้น ถ้าไม่ได้ปืนใหญ่ช่วยไว้ อาจจะเหลือกลับมาไม่ถึงขนาดนี้ก็ได้”
500 กับ 10,000 เนี่ยนะ มันจะน่ากลัวเกินไปแล้วหรือไม่? ถ้าเป็นอย่างที่พูดออกมาจริง ๆ อสูรยักษ์ 500 ตัวนั่นต้องมีระดับไม่ต่ำกว่าอัศวินสวรรค์แน่
ผมถามเขาอย่างเริ่มมีอารมณ์หวั่นนิด ๆ “แล้วพี่ชายยังมีเรื่องอื่นจะเล่าอีกหรือไม่?”
คราวนี้เขาส่ายหัว “เรื่องอื่น ๆ ผู้น้อยไม่แน่ใจ อา! มีอยู่เรื่องหนึ่ง ข้าได้ยินมาว่าผู้บัญชาการของกองทัพพันธมิตรปีศาจกับอสูรกาย เป็นราชาปีศาจคนหนึ่งเหมือนกันนะ ดูเหมือนว่าจะเป็นพี่น้องกับราชาปีศาจของเผ่าปีศาจเลย”
ผมโยนให้เขาสองเหรียญเงิน แล้วให้เขากลับไปได้ แล้วหันมากระซิบกันทุกคนในโต๊ะ “ถ้าฟังจากที่เขาเพิ่งเล่าออกมาแล้ว ถ้าสงครามครั้งนี้เป็นไปตามปกติ กองทัพเผ่าปีศาจกับอสูรกายไม่น่าจะเปิดฉากโจมตีอย่างไม่รอบคอบแน่ ถึงแม้ว่าจำนวนของพวกเขาจะได้เปรียบอย่างมาก แต่นักเวทย์ระดับสูงของพวกเขาถูกสังหารไปในการโจมตีวังหลวงของอ้ายเซี่ยไม่น้อย แล้วฝ่ายมนุษย์เรายังมีปราการเต๋อหลุนคอยสนับสนุนอีก ถ้าข้าเป็นผู้บัญชาการของกองกำลังร่วมนี้ ข้าคงจะไม่คิดทำสงครามครั้งนี้แน่ ๆ สนามรบนั้นเสียเปรียบเกินไป ทั้งภูมิประเทศ และจำนวนของทรัพยากรที่ต้องใช้ ถ้าพวกเขาฉลาดพอ ไม่น่าจะทำสงครามยืดเยื้อเพื่อผลาญทรัพยากรฝ่ายตัวเองแน่”
แต่จ้านหู่ค้านขึ้นมา “แต่เหมือนว่าพวกนั้นจะไม่ได้คิดเหมือนเจ้า ไม่มีทีท่าว่าพวกมันจะถอยเลยสักนิด”