ตอนที่ 278 ติดเบ็ด
ตอนที่ 278 ติดเบ็ด
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเซี่ยเฟยก็สามารถคาดเดาได้ว่าอีกฟากของประตูมีคนกำลังเดินอยู่ 2 คนอย่างแน่นอน โดยคนหนึ่งมีน้ำเสียงที่ค่อนข้างทุ่ม ขณะที่อีกคนหนึ่งมีเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้ง
“พวกเขากำลังคุยเรื่องแอวริลเหรอ?” เซี่ยเฟยลุกยืนขึ้นเอาหูแนบประตูเพื่อแอบฟัง
“พวกเราต้องจัดการเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง ถึงยังไงตระกูลของแอวริลก็เป็นตระกูลใหญ่อันดับ 11 ในพันธมิตร การทำภารกิจครั้งนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย” คนเสียงทุ้มกล่าว
“ชู่… พูดเบา ๆ เดี๋ยวมีใครมาได้ยิน พวกเราค่อยไปคุยกันข้างนอกดีกว่า” คนเสียงแหบกล่าวแทรกขึ้นมา
“อือ”
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในลิฟต์เพื่อเคลื่อนที่ไปยังชั้นล่าง
“คนพวกนั้นกำลังจะทำอะไรกับแอวริล?” เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ ขณะที่ปีนป่ายออกไปนอกหน้าต่างและรีบลงไปชั้นล่างเพื่อหาร่องรอยของสองคนนั้น
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ได้พบเจ้าของเสียง โดยคนหนึ่งเป็นชายร่างสูง ขณะที่อีกคนเป็นชายร่างอ้วน โดยพวกเขากำลังเดินเคียงข้างกันบนถนนอันเงียบสงบ
เซี่ยเฟยใช้วิชาพรางจิตเคลื่อนตัวไปตามพุ่มไม้แอบตามชายทั้งสองคนนี้ไปตลอดทาง โดยพยายามแอบฟังว่าสองคนนี้กำลังจะลงมือทำอะไร แต่น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งคู่รีบเดินโดยที่ไม่พูดคุยกันเลยในระหว่างทาง
เรื่องของแอวริลก็เหมือนกับเรื่องของเขาเอง และตั้งแต่ที่แอวริลได้ถูกลอบทำร้ายตั้งแต่ครั้งที่แล้ว เซี่ยเฟยก็ตั้งปณิธานในใจอย่างลับ ๆ ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เธอได้เจอกับอันตรายใด ๆ อีก
อย่างไรก็ตามระบบการป้องกันภายในกลุ่มดาวนครหลวงก็เป็นระบบการป้องกันที่หนาแน่น ดังนั้นการพยายามฆ่าใครสักคนในสถานที่แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งเขาก็อาจจะถูกพวกตำรวจตามไล่จับจนกว่าเขาจะถูกจับขังคุก
ชายทั้งสองเดินอย่างรวดเร็วขณะสอดส่องมองข้างทางอย่างระมัดระวัง และทันใดนั้นระบบสื่อสารของชายร่างอ้วนก็ดังขึ้น
“ไปกันเถอะ พี่สามมาแล้ว” ชายร่างอ้วนกล่าว
ชายร่างสูงพยักหน้ารับก่อนที่ทั้งสองจะเร่งความเร็วเดินไปยังลานจอดยาน
บริเวณทางเข้าลานจอดมียามคอยเฝ้าอยู่เพียงแค่สองคน ซึ่งหลังจากที่ชายทั้งสองคนนี้ได้แสดงบัตรประจำตัวของตัวเองพวกเขาก็เดินเข้าไปยังด้านใน
ขณะเดียวกันเซี่ยเฟยก็กำลังเอนตัวพิงรั้วสูงกว่า 6 เมตร ขณะที่สายตาสอดส่องไปยังรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ซึ่งหลังจากที่เขาไม่เห็นอะไรที่น่าสงสัยเขาก็กระโดดข้ามรั้วไปยังพื้นที่ด้านในของลานจอดยาน
บริเวณมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของลานจอดมียานขนส่งขนาดเล็กจอดอยู่ลำหนึ่ง ซึ่งช่องส่งสินค้าของตัวยานกำลังเปิดออกพร้อมกับชายหัวโล้นวัยประมาณ 40 ปีที่กำลังยืนโบกมือให้ชายปริศนาทั้งสองคน
“สวัสดีพี่สาม” ชายอ้วนตะโกนทักทาย
“เดี๋ยวค่อยคุย ขึ้นยานมาก่อน” ชายหัวโล้นพยักหน้ารับพร้อมกับโบกมือให้ทั้งสองขึ้นยานอวกาศมา
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็เดินเข้าไปภายในยานพร้อมกับประตูขนส่งที่ค่อย ๆ ปิดตัวลง
ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือได้ยังไง!
เซี่ยเฟยกัดฟันพร้อมกับพุ่งตัวด้วยความเร็วสูงและกระโดดเข้าไปในยานอวกาศ ก่อนที่ประตูยานจะปิดจนสนิท
หลังจากเข้ามาในห้องเก็บสินค้าชายหนุ่มก็รีบซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากโดยส่วนใหญ่ในห้องเก็บสินค้าจะติดตั้งระบบตรวจสอบเอาไว้ เพื่อคอยสังเกตว่าสินค้าของพวกเขาได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่งหรือไม่
บนเพดานมีกล้องวงจรปิดถูกติดตั้งอยู่ 2 ตัวและกล้องทั้งสองนี้ก็กำลังหมุนอยู่ตลอดเวลา เพื่อสังเกตสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเก็บสินค้าทั้งหมด
เซี่ยเฟยกวาดสายตามองสภาพแวดล้อม ก่อนที่จะได้พบกับประตูบานหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขาไปประมาณ 70 เมตร ขณะเดียวกันช่องว่างระหว่างกล้องวงจรปิดทั้งสองก็มีช่องว่างประมาณ 0.5 วินาที หรือมันก็หมายความว่าเขามีเวลาแค่นี้ในการเคลื่อนที่ผ่านบานประตูบานนั้นเข้าไป
“5, 4, 3, …” ชายหนุ่มนับเวลาถอยหลังและทันทีที่กล้องตัวแรกเข้าสู่จุดบอด เซี่ยเฟยก็พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วเต็มที่โดยมีเป้าหมายคือประตู
ประตูสูญญากาศบานนี้ถูกออกแบบด้วยระบบการหมุนแบบสมัยเก่า ซึ่งเขาจะต้องหมุนพวงมาลัยถึงสามรอบเขาถึงจะสามารถเปิดประตูข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้
คลื่น! คลื่น! คลื่น!
เซี่ยเฟยหมุนพวงมาลัยด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบเคลื่อนตัวไปยังอีกฟากของบานประตู และเมื่อกล้องตัวที่ 2 ได้หมุนผ่านตำแหน่งบริเวณบานประตู ร่างของชายหนุ่มก็ข้ามมายังอีกฟากหนึ่งของประตูได้แล้ว
อีกฟากของประตูเป็นทางเดินยาวที่เต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์เปล่าและกระป๋องอาหารเต็มไปหมด ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าของยานอวกาศลำนี้มีนิสัยไม่ชอบทำความสะอาด
บริเวณทางเดินไม่มีกล้องวงจรปิด เซี่ยเฟยจึงยืดตัวขึ้นพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ในทันใดนั้นยานอวกาศก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรงซึ่งเป็นสัญญาณว่ายานกำลังจะออกตัว!
“พวกเขากำลังจะไปไหน?” อันธอุทานพร้อมกับขมวดคิ้ว
เซี่ยเฟยไม่พูดอะไรและพยายามทรงตัวเอาไว้ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เดินไปทางห้องบัญชาการอย่างระแวดระวัง
“พรุ่งนี้ยังมีงานแข่งอยู่นะ รีบออกไปข้างนอกเร็ว ๆ เข้า” อันธกล่าวเตือน
“นายคิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างชีวิตของแอวริลกับรายการแข่งโกลเดนฟิงเกอร์” เซี่ยเฟยถามกลับพร้อมกับส่ายหัว
“เอ่อ…” อันธพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าการแข่งขันโกลเดนฟิงเกอร์จริง ๆ
—
ในห้องบัญชาการของยานรบ
ชายหัวโล้นกำลังนั่งมองหน้าจอขนาดใหญ่ที่มีร่างชายคนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนทางเดิน ซึ่งถ้าหากผู้เชี่ยวชาญที่มีความคุ้นเคยกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงในพันธมิตรได้มาเห็นภาพในหน้าจอนี้ พวกเขาก็จะสามารถบอกได้ในทันทีว่านี่คือภาพที่เกิดขึ้นมาจากระบบตรวจจับอากาศที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
แน่นอนว่าชายหนุ่มที่อยู่ภายในภาพก็ไม่ใช่ใครอื่นใดนอกเสียจากเซี่ยเฟย
เครื่องตรวจจับอากาศสามารถที่จะตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุลภายในอากาศได้ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีแมลงวันบินผ่าน แต่มันก็ไม่สามารถที่จะหลุดรอดไปจากระบบตรวจจับชนิดนี้ได้เลย
แม้ว่าวิชาพรางจิตจะเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยให้ร่างของเซี่ยเฟยกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ แต่ท้ายที่สุดวิชานี้ก็ไม่ช่วยให้ร่างของเขาหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุลในอากาศได้อยู่ดี และเมื่อเขาต้องเผชิญกับระบบตรวจจับขั้นสูงนี้ เขาจึงไม่สามารถหลบหนีจากการตรวจจับของระบบนี้ไปได้
ว่ากันว่าระบบตรวจจับยังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง มันจึงมีเพียงแค่ลูกค้าระดับสูงเพียงแค่บางกลุ่มที่มีสิทธิ์นำระบบนี้ไปทดลองใช้งาน คนธรรมดาทั่วไปจึงไม่รู้ถึงการคงอยู่ของระบบตรวจจับอากาศชนิดนี้เลย แต่ยานบรรทุกสินค้าที่ทรุดโทรมลำนี้กลับได้มีอุปกรณ์ล้ำหน้าของจักรวาลติดตั้งเอาไว้จริง ๆ!
ทันใดนั้นมันก็มีหน้าจอสื่อสารปรากฏขึ้นในห้องบัญชาการ และภาพของผู้ที่ติดต่อเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกเสียจากคนรับใช้มีหนวดที่หลี่โม่ได้เรียกเข้าไปหาในก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ปลาติดเบ็ดหรือเปล่า?”
“มันเป็นอย่างที่คุณพูดเอาไว้เลย ชายคนนี้เซนซิทีฟกับเรื่องผู้หญิงของเขามากจริง ๆ ทันทีที่พวกเราพูดถึงชื่อของแอวริล เขาก็งับเหยื่อด้วยตัวเอง” ชายหัวโล้นกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับ
“เอาจริง ๆ เขาก็เป็นคนที่นิสัยค่อนข้างดี แต่น่าเสียดายที่เขาเลือกคู่ต่อสู้ผิดไปหน่อย พวกเราเอาปลาไปปล่อยในทะเลทรายตามแผนการเดิมกันเถอะ” ชายมีหนวดกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ฉันได้เตรียมการทุกอย่างรอไว้หมดแล้ว” ชายหัวโล้นกล่าวด้วยรอยยิ้มตอบกลับไป
—
เมื่อถึงเวลาที่เซี่ยเฟยแอบเข้าไปในห้องบัญชาการ ชายหัวโล้นก็ตัดการเชื่อมต่อจากชายมีหนวดเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาทั้งสามคนก็นอนเล่นอยู่บนโต๊ะแคบ ๆ ขณะพูดคุยสังสรรค์กัน
“พี่สามครั้งนี้พี่จะทำเรื่องใหญ่แบบนั้นจริง ๆ เหรอ?” ชายร่างสูงถาม
“ในพันธมิตรไม่มีใครไม่รู้จักความแข็งแกร่งของ ‘ฮุก’ เมื่อเขาได้ออกปากแล้วมันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่แผนการครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น” ชายหัวโล้นกล่าวขณะเทเหล้าเข้าไปในปาก
“โอ้!” ชายอีกสองคนอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
เซี่ยเฟยกำหมัดเอาไว้แน่นและอยากจะพุ่งตัวออกไปจับคนทั้งสามมาทรมานอย่างรุนแรง เพราะเพียงแค่การคาดเดาจากคำพูด เขาก็พอจะรู้แล้วว่าคนพวกนี้กำลังวางแผนอะไรบางอย่างเพื่อทำร้ายแอวริล
“ฉันจะบอกความลับให้พวกนายรู้ เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราคือฐานทัพของฮุก!” ชายหัวโล้นกล่าว
“อะไรนะ! ฐานทัพของฮุก! ฉันเคยได้ยินมาว่าทางกองทัพเคยส่งกองยาน 2 กองออกไปตามล่าพวกฮุก แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาตามหานานกว่า 3 เดือนแต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาฐานทัพของฮุกเจอ แล้วพี่สามรู้จักฐานทัพของฮุกได้ยังไง?”
“นั่นสิ! ปกติฮุกเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก แต่ครั้งนี้ฉันได้ที่อยู่ของเขามาแล้วจริง ๆ ตราบใดก็ตามที่เราเดินทางไปจนถึงจุดหมาย มันก็จะมีคนนำทางพวกเราไปหาเขาอย่างแน่นอน” ชายหัวโล้นกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว อย่างน้อยถ้าฉันได้ไปเยี่ยมฐานของฮุก ฉันก็สามารถนำเรื่องนี้กลับไปโม้ให้คนอื่นฟังได้”
“ฉันเชื่อใจน้องชายทั้งสองคนนะ แต่ถ้าหากว่าพวกนายเอาตำแหน่งฐานทัพของฮุกไปบอกคนอื่น ถึงเวลานั้นฉันนี่แหละจะเป็นคนจัดการพวกนายด้วยมือของฉันเอง” ชายหัวโล้นกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ชายทั้งสองรีบส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็วเพื่อบ่งบอกว่าพวกเขาไม่มีวันจะเปิดเผยความลับในเรื่องนี้ออกไป
เซี่ยเฟยพยายามหักห้ามใจเอาไว้ เพราะดูเหมือนว่าคนพวกนี้เป็นแค่พวกปลายแถวและยังมีปลาตัวใหญ่รออยู่ที่จุดหมายปลายทาง เขาจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ในการจัดการกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
—
ยานบรรทุกสินค้าเคลื่อนที่ในอวกาศอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากที่กาลเวลาได้ผ่านพ้นไป เซี่ยเฟยก็แอบซ่อนตัวอยู่ในยานลำนี้มาเป็นเวลากว่า 10 ชั่วโมงแล้ว
“การบุกเข้าไปในฐานของศัตรูเพียงลำพังมันเสี่ยงมากเกินไป พวกเราควรส่งข่าวให้ทูรามหรือผางชิงเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ด้วยดีกว่าไหม?” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยส่ายหัวพร้อมกับใช้นิ้วชี้ไปยังเครื่องตรวจจับที่กำลังส่องแสงกระพริบในห้องบัญชาการอย่างช้า ๆ
“นั่นมันเครื่องรบกวนสัญญาณ!” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
เครื่องมือชนิดนี้มีเอาไว้สำหรับการตรวจจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์โดยรอบ และใครก็ตามที่พยายามติดต่อไปยังภายนอกสัญญาณก็จะถูกรบกวนโดยอัตโนมัติ
ตราบใดก็ตามที่เครื่องรบกวนสัญญาณยังคงทำงานอยู่ เซี่ยเฟยก็ไม่สามารถที่จะติดต่อกลับไปหาใครยังโลกภายนอกได้เลย หรือมันก็หมายความว่าในคราวนี้เขาจำเป็นจะต้องออกไปลุยด้วยตัวคนเดียวอย่างไม่มีทางเลือกอื่น
“ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นจริง ๆ ฉันจะใช้กระดิ่งนรกส่งสัญญาณไปหาสำนักเงาสังหาร แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะไปรบกวนพวกเขา” เซี่ยเฟยกล่าว
อันธพยักหน้ารับและในฐานะที่เซี่ยเฟยเป็นตัวแทนของสำนัก เขาจึงสามารถใช้กระดิ่งนรกเพื่อขอความช่วยเหลือจากทางสำนักเงาสังหารได้
นอกจากนี้กระดิ่งนรกยังสามารถส่งคลื่นสัญญาณทะลุผ่านสัญญาณรบกวน ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีระบบรบกวนสัญญาณถูกติดตั้งอยู่บนยานลำนี้ แต่ชายหนุ่มก็ยังสามารถใช้กระดิ่งนรกส่งสัญญาณไปยังสำนักเงาสังหารได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามตำแหน่งของพวกเขาในปัจจุบันกับตำแหน่งของสำนักเงาสังหารก็อยู่ค่อนข้างที่จะห่างไกล ซึ่งอันธก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่กำลังเสริมจะเดินทางมาถึง
—
ณ สถานที่จัดการแข่งขันโกลเดนฟิงเกอร์
การแข่งขันในช่วงเช้าของวันนี้จบลงไปแล้ว ซึ่งหลี่โม่ก็สามารถคว้าชัยชนะอันดับ 1 ได้สำเร็จทำให้ช่องว่างระหว่างเขากับเซี่ยเฟยและคอนสแตนตินหดสั้นลดลงไปอีก
เมื่อผู้ชมได้เห็นว่าเซี่ยเฟยไม่ปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาต่างก็พูดคุยกันด้วยความสงสัยว่ามันมีอะไรสำคัญกว่าการแข่งขันโกลเดนฟิงเกอร์อีกหรือเปล่า
เหล่าบรรดานักข่าวย่อมไม่พลาดโอกาสทำข่าวที่น่าสนใจเช่นนี้ไป พวกเขาจึงพยายามถามคณะกรรมการว่าเซี่ยเฟยหายไปไหน และคำตอบที่พวกเขาได้รับคือแม้แต่คณะกรรมการก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มหายไปไหนด้วยเหมือนกัน
แอวริลน่าจะเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันมากที่สุด เพราะการหายตัวถือได้ว่าเป็นทักษะติดตัวที่เซี่ยเฟยได้ใช้อยู่เป็นประจำ แน่นอนว่าหญิงสาวได้ลืมไปจนหมดแล้วว่าเซี่ยเฟยเคยหายตัวไปแล้วกี่ครั้ง และการหายตัวไปทุกครั้งก็เป็นการหายตัวไปอย่างที่ไม่สามารถมีใครติดตามหาชายหนุ่มคนนี้เจอได้
“ไปกันเถอะ” แอวริลลุกยืนขึ้นพร้อมกับเดินออกไปจากสนามแข่งด้วยความผิดหวัง ซึ่งการรอคอยทั้งช่วงเช้าก็มากพอที่จะทำให้เธอเข้าใจว่าเซี่ยเฟยได้หายตัวไปอีกแล้ว
“มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมากแน่ ๆ ครับ ไม่อย่างนั้นเซี่ยเฟยคงไม่มีทางหายตัวไปโดยไม่บอกคุณหนูก่อนแบบนี้” ผางชิงพยายามปลอบใจแอวริล
“อือ หนูรู้” แอวริลพูดขึ้นมาเบา ๆ ราวกับมันเป็นเพียงแค่เสียงกระซิบ
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ผมเชื่อว่าในอีกไม่กี่วันเซี่ยเฟยก็จะกลับมาหาคุณหนูอีกครั้ง” ผางชิงกล่าว
“พวกเรากลับกันเถอะ ช่วงบ่ายหนูยังต้องไปฝึกวิชามารยาทอีก วันเกิดของคุณปู่ใกล้เข้ามาแล้วหนูไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดในวันงาน” แอวริลกล่าว
“ได้ครับ ผมจะสั่งให้คนของเราเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวัน ตราบใดก็ตามที่เซี่ยเฟยกลับมาผมจะรีบแจ้งข่าวให้คุณหนูทราบทันที”
“ไม่ต้องหรอก ทุกครั้งที่เขากลับมาเขาจะโทรหาฉันเป็นคนแรกเสมอ ไม่จำเป็นต้องส่งคนมาคอยจับตาดูเขาเอาไว้หรอก” แอวริลกล่าว
เมื่อได้เห็นท่าทางอันสงบของแอวริลผางชิงก็อดที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนที่รู้ดีว่าเซี่ยเฟยมีความสำคัญกับหญิงสาวมากแค่ไหน
ขณะเดียวกันหลี่โม่ก็เดินเข้ามาหาหญิงสาวพร้อมกับไป๋เย่และชายคนใช้ไว้หนวดที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
แอวริลแสร้งทำเป็นไม่เห็นพวกหลี่โม่ ก่อนที่เธอจะเดินผ่านไปโดยไม่หันมาเหลียวมอง
“ทำไมวันนี้เซี่ยเฟยไม่มาแข่งล่ะ หรือว่าเขาจะกลัวแพ้ฉันจนหนีไปแล้ว?” หลี่โม่พูดเสียงดังขึ้นมาซึ่งมันก็ทำให้ไป๋เย่และชายไว้หนวดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“เซี่ยเฟยมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ” แอวริลกล่าวโดยไม่หันไปมองทางหลี่โม่ด้วยซ้ำ
“เขามีเรื่องสำคัญอะไรถึงขนาดจากไปโดยไม่ได้บอกเธอ เห็นได้ชัดว่าถ้าเขาบอกเธอก่อนเธอก็คงจะไม่ได้มารอเชียร์เขาอยู่แบบนี้ ความจริงเขาก็ไม่ได้รักเธอมากขนาดนั้นแล้วเธอจะยังปกป้องเขาไปอีกทำไม?” หลี่โม่กล่าว
คำพูดของหลี่โม่ทำให้แอวริลรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจจนทำให้ใบหน้าของเธอซีดเซียวลงไปเล็กน้อย ซึ่งสถานการณ์นี้ก็ทำให้ผางชิงไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาจึงเอาตัวเข้ามาขวางระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวเอาไว้พร้อมกับกำหมัดเอาไว้แน่น
“พี่ผางแถวนี้มีคนดูเราอยู่เยอะเลยนะ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับพวกเรา” ชายไว้หนวดรีบเคลื่อนที่มาปกป้องนายน้อยของเขาเอาไว้ พร้อมกับพูดจายียวนกวนประสาทไปทางผางชิง
ผางชิงทำได้เพียงแต่กัดฟันโดยไม่พูดอะไร แต่ภายในใจของเขากลับรู้สึกโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา
“พวกเราไปกันเถอะ คนพวกนี้ไม่สมควรจะได้รู้เรื่องระหว่างฉันกับเซี่ยเฟย” จู่ ๆ แอวริลก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเย้ยหยัน
ผางชิงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและเดินตามหลังแอวริลไป
“ผมคิดว่าคุณหนูเปลี่ยนไปนะครับ ถ้าเป็นเมื่อ 2 ปีก่อนคุณหนูอาจจะแอบกลับไปร้องไห้คนเดียวแล้ว แต่ตอนนี้คุณหนูกลับสามารถเผชิญหน้ากับพวกเขาได้อย่างใจเย็น”
แอวริลยังคงเดินต่อไปโดยไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่คำเดียว
ผางชิงรู้ดีว่าสาเหตุที่คุณหนูของเขาเปลี่ยนไปแบบนี้ เนื่องมาจากว่าเธอได้รับอิทธิพลมากมายจากเซี่ยเฟย เขาจึงแอบตัดสินใจอย่างลับ ๆ ว่าเขาจะพยายามไม่มองเซี่ยเฟยเป็นศัตรู
หากในวันหนึ่งในอนาคตแอวริลจำเป็นต้องแต่งงานกับหลี่โม่จริง ๆ เขาก็ไม่แน่ใจว่าแอวริลจะมีชีวิตแบบไหน แต่ในทางตรงกันข้ามทุกครั้งที่แอวริลอยู่กับเซี่ยเฟย ผางชิงจะรู้สึกสบายใจเพราะอย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าเซี่ยเฟยจะคอยปกป้องแอวริลด้วยชีวิตของตัวเอง
—
เซี่ยเฟยจำเป็นจะต้องซ่อนตัวอยู่ในยานอวกาศเป็นเวลานานกว่า 10 ชั่วโมง ก่อนที่เขาจะเริ่มเห็นดาวเคราะห์ที่ทรุดโทรมผ่านทางช่องหน้าต่าง
หลังจากยานอวกาศได้แล่นลงจอดเขาก็ได้พบว่าดาวดวงนี้เต็มไปด้วยความสกปรก และบนท้องถนนก็มีโสเภณียืนขายบริการด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด นอกจากนี้ใต้ดวงตาของพวกเธอยังเต็มไปด้วยความหมองคล้ำ ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเพราะว่าพวกเธอได้ใช้ยาเสพติดมาเป็นเวลานาน
“เอาล่ะพวกเราไปกันเถอะ แต่หลังจากเจอฮุกช่วยทำตัวดี ๆ ด้วย เขาไม่ใช่คนที่พวกเราจะสามารถรับมือได้” ชายหัวโล้นกล่าว
“พี่สามไม่ต้องห่วง พวกเราจะระวังตัวให้มากที่สุด”
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็เดินออกจากยานอวกาศไป ขณะที่เซี่ยเฟยก็ได้แฝงตัวเข้าไปภายในเมืองที่เต็มไปด้วยความสกปรกเช่นกัน
***************