ตอนที่ 1141 ความจริงใจของผู้คนนั้น.. ก็คือความไม่แน่นอนของโลก
รถ BMW คันหนึ่งได้เข้ามาจอดอยู่นอกคฤหาสน์ตระกูลอู๋ และก็ได้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งสวมสูท และรองเท้าหนัง ..ลงมาจากรถ พร้อมตามมาด้วยเลขาฯ ของเขา
เมื่อมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ พ่อบ้านของตระกูลอู๋ ก็ได้ออกมาต้อนรับ พร้อมกับพูดด้วยความเคารพว่า : “คุณเฉิน คุณมาถึงแล้ว..”
ลุงวัยกลางคนคนนี้ มีแซ่เฉิน เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ บริษัทอู๋ ทั้งเขายังได้ร่วมมือกับตระกูลอู๋ มานานหลายปี ทั้งนี้เขาเองก็มักจะมาเป็นแขกประจำที่บ้านตระกูลอู๋ ถือได้ว่าเป็นคนรู้จักมักคุ้น อยู่ก่อนแล้ว..
เลาเฉิน ได้กล่าวว่า : “เลาอู๋ อยู่บ้านไหม?”
พ่อบ้าน กล่าวว่า : “อยู่.. แต่ตอนนี้นายท่าน กําลังรับแขกอยู่ คุณเฉิน.. เชิญเข้ามาข้างในก่อน ฉันจะไปบอกกล่าวกับนายท่าน”
เลาเฉิน ได้ร้องโอ้ ออกมาอย่างแปลกใจ อู๋ ชางผิง กำลังพบใคร? ตามหลักแล้ว อู๋ ชางผิง น่าจะกำลังปวดหัวอยู่ในเวลานี้ เหมือนกับลูกแกะที่กำลังรอถูกเชือด..
เลาเฉิน ได้มาพร้อมกับภารกิจในวันนี้ เขาจะมอบโอกาสสุดท้ายนี้ให้กับ อู๋ ชางผิง พร้อมกับที่เขาจะได้ชี้ทางสว่างให้กับ อู๋ ชางผิง
เมื่อเข้ามาถึงห้องนั่งเล่นของตระกูลอู๋ เลาเฉิน ก็ได้นั่งลง ทั้งเขาก็ได้มองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่น เมื่อนั้นเขาเองก็ได้มีความรู้สึกเหมือนกับเป็นเจ้านาย ที่ได้มาเยี่ยมบ้านของลูกน้อง พร้อมกับที่ได้มองลงมาอย่างเหยียดหยาม
ตระกูลอู๋ อย่างไรก็ไม่รอดแล้ว ตระกูลอู๋ เองเคยมีความรุ่งเรืองมาก่อนในอดีต แต่ตอนนี้ ..พระอาทิตย์มันได้ตกดินเสียแล้ว (เสื่อมถอย)
ไม่นานนัก ชายชราอู๋ ก็ได้เดินออกมา เขาเองได้สั่งพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ว่า : “ขั้นฉา!” *(เสิร์ฟชา)
พูดพลาง ชายชราอู๋ ก็ได้เดินเข้าไปทักทาย เลาเฉิน เขาได้พูดพร้อมกับหัวเราะไปว่า : “เลาเฉิน ทำไมถึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง ..ได้อย่างไรกัน? มีอะไรก็แค่โทรมาหาฉันก็ได้ ไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อ เลาเฉิน เจอ ชายชราอู๋ ตามมารยาทแล้วก็ต้องลุกขึ้น กล่าวทักทายกัน แต่นี่.. เขากลับไม่แม้แต่จะขยับก้นเลยด้วยซ้ำ
“เรื่องบางเรื่องฉันมาด้วยตัวเองจะดีกว่า ทั้งมันยังเป็นการดีกว่าที่จะได้พูดคุยมันต่อหน้า.. เลาอู๋ คุณนั่งลงก่อนเถอะ” เลาเฉิน ได้ผายมือไปที่โซฟาที่อยู่ตรงข้าม
ชายชราอู๋ เมื่อได้เห็นแบบนี้ก็ได้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย.. เมื่อก่อน เลาเฉิน ไม่มีทัศนคติแบบนี้อย่างแน่นอน จะว่าไปแล้ว.. เลาเฉิน ก็มีความอาวุโสต่ำกว่าเขา และได้ให้ความเคารพเขามาโดยตลอด แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตระกูลอู๋.. จะไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยๆ เลาเฉิน ก็ยังคงรักษามารยาทที่ควรจะมีอยู่
แต่อย่างไร ชายชราอู๋ ก็ไม่คิดเก็บมาใส่ใจ เขาเองก็ได้นั่งลงตรงข้ามกับ เลาเฉิน แล้วพูดว่า : “เลาเฉิน คุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ”
เลาเฉิน กล่าวว่า : “ฉันจะพูดอะไร เลาอู๋ เองก็น่าจะรู้ดี ฉันเองก็ไม่ได้อยากเร่งรีบ ให้พูดตรงๆ ก็คือ ฉันพูดไปทางโทรศัพท์เมื่อวานนี้แล้ว และในวันนี้มันก็เป็นเส้นตายแล้ว ..ตอนนี้ค่าสินค้าของ เลาอู๋ พร้อมจ่ายให้ฉันหรือยัง?”
ชายชราอู๋ ได้หัวเราะ และพูดว่า : “อา.. เลาเฉิน คุณช่วยฉันครั้งนี้ได้ไหม เอาของมาให้ฉันก่อน และเมื่อทางฉันได้เงินจะรีบจ่ายคืนเงิน ฉันสัญญาว่าจะให้เงินคุณเป็นคนแรก ฉันเป็นคนอย่างไร คุณเองก็น่าจะรู้ดี ฉันไม่โกหกคุณหรอกนะ”
เล่าเฉิน ได้หัวเราะ พร้อมกับพูดว่า : “เรื่องนี้ เมื่อวานนี้.. ฉันเองก็บอกกับ เลาอู๋ อย่างชัดเจนไปแล้ว ฉันเองก็มีปัญหาของฉันเหมือนกัน บริษัทของฉันเองก็มีหลายสิบปากที่กำลังรอกินข้าวอยู่ และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะค้างค่าชําระสินค้านี้..”
ชายชราอู๋ ก็ได้ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า : “เลาเฉิน เราทํางานด้วยกันมากี่ปีแล้ว หากพูดให้น้อยลง ต่ำๆ ก็ต้องมีห้าปีได้แล้วมั้ง และห้าปีที่แล้ว คุณยังจําได้ไหม ตอนนั้นบริษัทของคุณก็เพิ่งเริ่มต้น ขนาดหาคนมาช่วยงานก็ยังหาไม่ได้เลย ทั้งยังไม่มีออเดอร์ บริษัทเองก็ใกล้จะเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว แล้วจําได้ไหมว่าในวันนั้นเป็นวันที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้า ประกอบกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก คุณเองที่ได้วิ่งฝ่าลมกระโชกแรงมาแนะนําสินค้าให้กับฉัน นั่นก็เพราะฉันนัดคุณไว้เวลานี้ คุณกลัว กังวลว่าฉันจะโทษคุณที่ไม่ตรงต่อเวลา ดังนั้นคุณเลยเสี่ยงกับสภาพอากาศอันเลวร้ายนี้ เพื่อมาให้ตรงเวลา เพื่อให้ฉันประทับใจในจิตวิญญาณของคุณ ฉันเองเลยได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกับคุณ สั่งซื้อสินค้าเป็นออเดอร์แรกในบริษัทของคุณ และทำให้บริษัทของคุณอยู่รอด ฉันไม่กล้าพูดว่าถ้าไม่มีฉันในเวลานั้นจะไม่มีคุณในวันนี้ แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็ถือว่าได้ช่วยคุณไปในเวลานั้น? วันนี้ถึงตาคุณแล้ว ลุงอู๋ อย่างฉันในตอนนี้กำลังลําบาก ฉันเองอยากจะขอให้คุณช่วยผ่อนปรนสักครั้ง เห็นแก่ปีนั้นเถอะ..”
ชายชราอู๋ รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาคิดว่า เลาเฉิน ก็เป็นคนที่รู้จักความกตัญญูรู้คุณเช่นกัน ในปีนั้นเขาเป็นผู้ให้โอกาสแก่บริษัทของ เลาเฉิน ในการอยู่รอด เลาเฉิน ก็ได้เคารพเขามาก ในวันหยุดปีใหม่ก็จะมีของขวัญมาเยี่ยม ทั้งสองครอบครัวก็เหมือนกับเป็นญาติกัน
ทุกครั้งที่เจอ ชายชราอู๋ เลาเฉิน จะสุภาพมาก ลุกขึ้นพยักหน้า ค้อมศีรษะให้เหมือนกับเจอคนรุ่นพ่อของตัวเอง
แต่วันนี้.. เลาเฉิน ที่ได้เห็นเขา กลับนั่งเฉยๆ เหมือนผู้เป็นนายที่ได้เรียกให้ลูกน้องเข้ามาพบ..
อะไรที่เรียกว่า ‘ความรู้สึกอบอุ่น และเย็นชาของมนุษย์ และความไม่แน่นอนของโลก(1)’ ชายชราอู๋ ได้ร่ำรวยมาทั้งชีวิต แต่มาตอนนี้ครอบครัวกำลังตกต่ำ ก็ถือว่าได้ว่าเขาได้สัมผัส เลาเฉิน ตรงจุดนี้แล้ว..
ใบหน้าของ เลาเฉิน ได้กระตุกเล็กน้อย เขาเองได้หัวเราะ และพูดไปว่า : “เลาอู๋ คุณกำลังคิดจะลักพาตัวทางศีลธรรม? ใช่ คุณเคยช่วยฉันไว้ในปีนั้น แต่นี่มันคนละเรื่องกัน เอาเป็นว่าคุณไม่สามารถมาเรียกร้องฉันด้วยสิ่งนี้ได้?”
ชายชราอู๋ กล่าวว่า : “ลักพาตัวทางศีลธรรม? คุณพูดแบบนั้นก็ได้.. และจริงๆ แล้ว ฉันก็เป็นพวกชอบลักพาตัวทางศีลธรรม แต่ฉันก็ไม่ได้ลักพาตัวคุณโดยไม่มีเหตุผล เลาเฉิน ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด บริษัทของคุณก็กําลังรอเงินค่าสินค้าจากฉันอยู่ คุณถึงกับมีปัญหามาถึงขั้นนี้แล้วหรือ? แต่ฉันกลับแน่ใจมากว่าคุณไม่ได้ลําบาก และฉันเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นมันไม่ใช่ความจริง และด้วยความแข็งแกร่งของบริษัทคุณในปัจจุบัน การให้เครดิตกับฉันนั้น มันแทบที่จะไม่มีปัญหา ดังนั้นฉันจึงขอให้คุณช่วยผ่อนปรนให้หน่อย ช่วยฉันสักครั้ง เพื่อเห็นแก่อดีตที่ฉันเคยช่วยคุณ และฉันไม่ได้ขอจากคุณเปล่าๆ และนี่มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการให้เครดิต และแน่นอนว่าเรื่องเงิน ฉันเองก็ยังจะต้องจ่ายมันให้กับคุณ”
ชายชราอู๋ ได้กางมือออก พร้อมกับได้พูดมันออกไป และนี่มันก็ดูออกจะน่าอายเล็กน้อย
เลาเฉิน ได้ไอแห้งๆ ออกมาถึงสองครั้ง แล้วพูดว่า : “ฮ่าฮ่าๆ เลาอู๋ ..อา สิ่งที่คุณพูดนี้ ไม่เป็นความจริงเลย ความยากลําบากของบริษัทของเรา มีแต่ฉันเองเท่านั้นที่รู้ กล่าวโดยสรุป การให้เครดิตนั้นมันเป็นไปไม่ได้.. ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยคุณ แต่มันไม่ได้จริงๆ ต่อให้คุณคิดลักพาตัวทางศีลธรรมกับฉัน.. มันก็ไร้ประโยชน์”
ชายชราอู๋ ได้เงียบไปแล้ว การขอคนอื่นนี่มันยากเกินไปจริงๆ แม้ว่าเขาจะใช้อุบายลักพาตัวทางศีลธรรมไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังคงปฏิเสธอยู่..
เลาเฉิน ที่ได้เห็นสิ่งนี้ ก็ได้หัวเราะขึ้นมา แล้วพูดว่า : “เลาอู๋ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยคุณ คุณเองถึงกับกัดฟันฝืนใจขอเครดิตจากฉันก่อน มันก็ใช่ว่าจะทําให้ไม่ได้ แต่ฉันจะอดทนปล่อยให้คนของฉันหิวโหยก่อนก็ไม่ได้ ..แต่ ก็โอเค ใครบอกให้คุณช่วยฉันก่อน ได้.. ฉันจะขอตอบแทนคุณก็แล้วกัน แต่ฉันเองก็ต้องมีหลักประกันนะ เผื่อว่าคุณไม่มีเงินมาให้ฉันอย่างเช่นในตอนนี้ ใช่.. เช่นนี้ก็คงจะไม่ได้? ฉันเองก็อาจจะหิวขึ้นมาก่อนก็ได้ แต่ก็คงปล่อยให้ตัวเองอดตายไปเลยก็คงจะไม่ได้ ถูกต้องไหมล่ะ?”
ชายชราอู๋ ได้รีบพูดว่า : “ฉันสัญญาว่าเมื่อฉันได้รับเงินมาแล้ว ฉันจะรีบจ่ายเงินให้กับคุณทันที จ่ายเงินให้คุณเป็นคนแรก คุณยังเชื่อใจฉันอยู่อีกไหม? ตระกูลอู๋ ของฉัน ในเจียงหนาน ก็ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง ทั้งตอนนี้ครอบครัวของฉันก็คงหนีไปไหนไม่ได้”
เลาเฉิน กล่าวว่า : “ถึงกระนั้น แต่ด้วยความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับตระกูลอู๋ ของพวกคุณ ฉันยังไม่สามารถรับประกันได้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรบริษัทอู๋ ของพวกคุณ ก็กำลังเผชิญหน้ากับการล้มละลายลงได้ทุกนาที เจ้าหนี้มากมายเองก็กำลังรอคุณอยู่ คุณจะทำให้ฉันกล้าเชื่อใจคุณได้ยังไง แล้วถ้าเป็นคุณ.. คุณจะกล้าไหมล่ะ?”
ชายชราอู๋ กล่าวว่า : “ฉันสามารถรับประกันได้ด้วยชีวิตของฉัน อู๋ ชางผิง และด้วยชื่อเสียงของตระกูลอู๋ ของฉัน ว่าฉันจะไม่คิดผิดสัญญานี้!”
เลาเฉิน กล่าวว่า : “เฮ้อ.. เลาอู๋ อย่ามาใช้สิ่งลวงตาพวกนี้มาเป็นตัวค้ำประกัน ที่ฉันพูดแบบนี้ มันก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยเห็นไอ้พวกนักต้มตุ๋นมาก่อน และต่อหน้าไอ้พวกนักต้มตุ๋น ฉันเองก็รู้ดีว่าคําสัญญาของพวกนี้นั้นมันก็แค่ผายลม ดังนั้นการที่คุณมาพูดแบบนี้กับฉัน มันใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ”
ชายชราอู๋ พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา : “คุณคิดว่าฉันเป็นนักต้มตุ๋น?”
เลาเฉิน กล่าวว่า : “เฮ้ๆ อย่าได้เข้าใจผิด ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้ต้องการให้ เลาอู๋ กลายมาเป็นนักต้มตุ๋น เลาอู๋ ที่ฉันมาในวันนี้ จริงๆ แล้ว ก็เพื่อมาช่วยคุณแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ”
ชายชราอู๋ ก็ได้ตกตะลึงไปในทันที ทําไมวันนี้ถึงได้มีคนมากมายมาช่วยเขาแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ เว่ย เยว่เอ๋อร์ เองก็ได้พูดแบบนี้เช่นเดียวกัน
“หมายความว่ายังไง?” ชายชราอู๋ ได้ถาม
เลาเฉิน ยิ้ม แล้วพูดว่า : “ฉันแค่จะชี้ทางสว่างให้กับ เลาอู๋ เลาอู๋ ในตอนนี้เองก็กำลังขาดเงิน ทําไมไม่ไปหาตระกูลเว่ย ในเจียงหนานล่ะ?”
(1)[ความรู้สึกอบอุ่น และเย็นชาของมนุษย์ และความไม่แน่นอนของโลก (世态炎凉,人情冷暖)] - หมายถึง ความสนิทสนมหรือความไม่แยแสต่อผู้คน หมายความว่า คนในสังคมมักที่จะชอบคนรวย และคนชั้นสูง จนละเลยคนจน และคนต่ำต้อย