บทที่ 204 – ความปรารถนาสุดท้าย
เว่ยป๋อหลี่ตุ้นกล่าว “มันไม่มีเหตุผลอื่นไปได้หรอก แน่นอนว่าเพื่อก่อสงครามให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เท่านั้น เมื่อราชามารฟื้นคืน เผ่าปีศาจจะเป็นตัวหมากชั้นดีของเขาในการรุกรานโลกใบนี้อีกครั้ง” หลังจากกล่าวจบ เขาเริ่มไอออกมาอย่างหนัก สีหน้าของเขาเริ่มกลับมาซีดอีกครั้ง นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย เขาไม่น่าจะทนได้อีกนานเท่าไรแล้ว
พี่ใหญ่จ้านหู่ส่งพลังเข้าไปประคองอาการของเขาไว้อีก แต่เว่ยป๋อหลี่ตุ้นส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวอย่างหมดหวัง “ไม่ต้องสิ้นเปลืองจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของท่านแล้ว มันไม่มีประโยชน์”
ผมถามเขาออกมาอีกครั้ง “เจ้ายังมีสิ่งใดที่ต้องการจะทำหรือไม่? ถ้าไม่ยากลำบากเกินไป พวกเราจะช่วยทำให้เจ้าสมหวัง”
เว่ยป๋อหลี่ตุ้นที่ตอนนี้หน้าซีดเหมือนคนตายเนื่องจากพลังของเวทย์ฟื้นฟูที่ผมร่ายให้เขาก่อนหน้านี้หมดลงแล้ว พยายามพูดพร้อมกับสูดลมหายใจไปด้วย “ข้ามีลูกสาวอยู่ที่เมืองหลวงของอาณาจักรต้าลู่คนหนึ่ง เธอเป็นสมาชิกในครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้า เมื่อแปดปีที่แล้วที่ข้าจากมา เธอมีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ตอนนี้เธอน่าจะอายุพอ ๆ กันท่านนี่แหละ ข้าไม่รู้ว่าสภาขุนนางจะยังสืบทอดบรรดาศักดิ์ของข้าให้แก่เธอหรือไม่ ข้าได้แต่หวังว่าท่านจะช่วยข้าดูแลเธอด้วย”
เขายื่นมือเข้าไปหยิบถุงผ้าขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อของตัวเอง ระหว่างที่กำลังอธิบายเรื่องราวนี้อยู่ เมื่อเปิดถุงออกมาก็พบว่าในนั้นมีแผ่นหยก และชิ้นส่วนของผลึกสีม่วงอยู่ด้านใน เขากล่าวต่อ “หยกแผ่นนี้เป็นเครื่องหมายยืนยันตัวตนของข้า ส่วนผลึกสีม่วงพวกนี้ถูกสร้างมาสำหรับการปลอมตัวเข้าไปในเผ่าปีศาจ มันน่าจะมีประโยชน์ต่อท่านอยู่บ้าง ได้โปรดช่วยดูแลลูกสาวของข้าให้ด้วย หลังว่าเธอจะยอมยกโทษ...” แต่ก่อนที่เขาจะได้กล่าวจนจบประโยค เลือดจำนวนมากทะลักออกมาจากปากของเขาเสียก่อน และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้ว
ผมหยิบข้าวของออกมาจากมือของเขา ก่อนจะก้มหัวทำความเคารพเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ต้องขอบคุณท่านที่ให้ข้อมูลแก่พวกเรามากมายเกี่ยวกับราชามาร ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้นับว่าเป็นคนดีนัก แต่ก็ยังน่าจะถือได้ว่าเป็นพ่อที่รักลูกคนหนึ่ง จากไปให้สงบเถิด พวกเราจะช่วยทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริงให้ได้”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวออกมา “ทิวทัศน์ที่นี่ก็ไม่เลว ฝังเขาเอาไว้ที่นี่เลยก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบ เขาก็สะบัดไม้เท้าในมือออกมาอย่างง่าย ๆ แต่มันกลับส่งสำแสงสีทองที่ค่อนข้างรุนแรงสู่พื้นดินเบื้องหน้าเขา หลุมลึกปรากฏขึ้นหลังจากแสงสีทองนั้นหายไป จ้านหู่นำร่างของเว่ยป๋อหลี่ตุ้นวางลงไปในหลุมนั้น แล้วพวกเขาก็ช่วยกันกลบหลุมด้วยเดินที่อยู่ในบริเวณรอบ ๆ นั้นนั่นเอง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่เสนอออกมา “พวกเราน่าจะต้องเดินทางกลับไปที่หุบเขากันแล้ว ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรบ้าตอนนี้” แล้วเขาก็เป็นคนแบกผมขึ้นหลังของตัวเอง ก่อนที่พวกเราจะพากันเหาะกลับไปยังที่ ๆ พวกเราจากมา
เมื่อกลับมาที่หุบเขาที่ชาวหมู่บ้านโจรของจ้านหู่ใช้เป็นที่หลบภัย การต่อสู้ก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เหลือแต่ซากศพของสัตว์อสูรหลากหลายชนิดตายอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยสีแดงของเลือด ผู้อาวุโสรีบเข้าไปตรวจสอบสมาชิกของหมู่บ้านเทพเจ้า ปล่อยให้ผมที่พอจะมีแรงยืนเองได้เกาหัวอยู่คนเดียว มองหาตงรื่อ ก่อนจะกล่าวถามเขา “ทำไมการต่อสู้ถึงได้จบลงเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
เขาก็มีสีหน้าไม่แน่ใจนัก “ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้ จากทางที่พวกนายเพิ่งเหาะกลับมานั่นแหละ เหมือนจะมีแสงสว่างจ้าขึ้นมาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องลั่นมา แล้วพวกสัตว์อสูรก็เริมที่จะตายไปเองทีละตัว ๆ พวกเราแค่คอยตามเก็บกวาดให้การต่อสู้จบเร็วขึ้นเท่านั้น”
ใบหน้าของพี่ใหญ่จ้านหู่ตอนนี้มีแต่ความอาฆาต “รออีกไม่นานหรอก ข้าจะต้องจัดการกับเจ้าราชามารตัวดีนั่นให้ได้! มันทำให้ที่นี่มีสภาพเหมือนอยู่ในนรกเลย แล้วต่อไปข้าจะให้ชาวบ้านไปอยู่ที่ไหนกันดี?”
ผมได้แต่ยิ้มออกมา “ก็แค่ย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้แล้วนี่ ป่าเขาแห่งนี้ออกจะกว้างใหญ่ไพศาล พี่ก็แค่หาพื้นที่กว้าง ๆ สักแห่งก็พอแล้ว อ้อ! ใช่แล้วพี่ใหญ่ ทำไมดูเหมือนว่าลูกน้องของพี่จะมากขึ้นเยอะเลยล่ะ ตอนนั้นมันยังไม่ได้เยอะขนาดนี้นี่นา”
จ้านหู่เกาจมูกของตัวเอง “ตั้งแต่ที่ข้าได้รับมอบหมายภารกิจมาจากราชาเทพ ข้าก็เดินทางกลับไปที่อาณาจักรซิวต้าเพื่อเยี่ยมท่านพ่อ และก็คนในครอบครัวคนอื่น ๆ พวกเขาอยากให้ข้าอยู่ในเมืองหลวงต่อไปนั่นแหละ แต่ข้าติดใจการใช้ชีวิตข้างนอกแบบนี้เสียแล้ว ข้าเลยแอบหนีพวกเขาออกมาอีก แต่ตอนที่ยังอยู่ในเมืองหลวง ซิวซือเคยบอกให้ข้าพยายามสร้างกองกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเราขึ้นมา ดังนั้นพอออกมาข้าเลยข้าเลยหาคนเพิ่ม เริ่มสะสมอาวุธและม้าศึก แล้วก็ฝึกฝนพวกเขาให้สามารถสู้รบได้ ตอนนี้น่าจะมีสมาชิกอยู่ทั้งหมดประมาณพันคนได้แล้วมั้ง”
“พี่นี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ตอนนี้กองกำลังของพี่แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก” ผมชมเขาด้วยรอยยิ้ม
“จางกง!”
เสียงเรียกมาแต่ไกลจากผู้อาวุโสสามของเผ่าเอลฟ์ธรรมชาติ ผมรีบเดินออกไปรับหน้าเขา ก่อนจะทักทายอย่างเป็นกันเอง “ผู้อาวุโส! พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ครั้งนี้ต้องขอบคุณพวกท่านจริง ๆ ถ้าไม่ได้พวกท่านช่วยเอาไว้ ข้าเกรงว่าพี่ใหญ่คงจะไม่สามารถยื้อสถานการณ์รอให้ข้ามาช่วยได้ทันแน่”
เอลฟ์ชรากระแอมออกมา “ทำไมท่านถึงได้กล่าวเช่นนั้นล่ะ? ทำเหมือนว่าพวกเราเป็นคนนอกอย่างนั้นแหละ? ไม่ใช่เป็นพวกท่านหรอกหรือที่ช่วยเหลือพวกเราในยามยากลำบากมาก่อน?”
ผมกล่าวปรึกษาเขา “ไม่ต้องกล่าวเกรงใจกันไปมาแล้ว! ตอนนี้สภาพที่นี่มีแต่ซากศพเต็มไปหมด ไม่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยอีกต่อไป พี่ใหญ่จ้านหู่กับข้ากำลังปรึกษากันเรื่องหาสถานที่ใหม่สำหรับย้ายไปตั้งหลักกันอยู่น่ะ”
“พวกท่านคิดจะย้ายไปยังสถานที่ใด?” เขาถามกลับมา
จ้านหู่ยังไม่ได้ตัดสินใจ “ก็คงจะไม่ต้องไกลจากที่นี่นัก ข้าจะไปรวบรวมผู้คนก่อน พวกท่านสองคนค่อย ๆ ปรึกษากันนะ”
มองตามจ้านหู่เดินจากไป ผมหันกลับมาคุยกับเอลฟ์เฒ่า “ราชามารกำลังเคลื่อนไหวไปทั่ว ต่อไปคืนวันของพวกเราคงจะไม่ง่ายแล้ว”
เขาตอบกลับมาอย่างคนที่เชื่อมันในความถูกต้อง ด้วยท่าทางที่น่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง “พวกเราก็แค่ต้องสู้ด้วยทุกอย่างที่เรามี มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเราซึ่งมีกันหลากหลายเผ่าพันธุ์บนโลกนี้ จะกลัวกับแค่ราชามารคนเดียว ใช่หรือไม่? เอาอย่างนี้เป็นอย่างไร ข้าจะกลับไปจัดคนของเผ่าเอลฟ์ธรรมชาติให้สักกลุ่ม ส่งพวกเขาออกไปช่วยสำรวจบริเวณรอบ ๆ นี้ดู ว่ามันมีสถานที่ตรงไหนเหมาะสมสำหรับจะการอยู่อาศัยในระยะยาวบ้างหรือไม่”
“ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” ผมยิ้มให้เขาบาง ๆ
ผู้อาวุโสสามกล่าวกับผมอย่างจริงจัง “ท่านไม่ต้องเกรงใจพวกข้ามากนักหรอก แค่ท่านไม่ขอสุราผลไม้มากเกินไปตอนที่กลับไปเยี่ยมเผ่าเอลฟ์ธรรมชาติของพวกข้าก็เพียงพอแล้ว ฮ่าฮ่า!!” ดูเหมือนว่าเขาจะยังจำอิทธิฤทธิ์ของพวกเราเกี่ยวกับสุราผลไม้นั่นได้ มันน่าอายจริง ๆ
หลังจากนั้นสองสามชั่วโมง สมาชิกทั้งหมดจากสามกลุ่มที่แตกต่างกัน ชาวหมู่บ้านของพี่ใหญ่จ้านหู่ เผ่าเอลฟ์ธรรมชาติ และนักรบจากหมู่บ้านเทพเจ้า ก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ผู้อาวุโสสามชาวเอลฟ์เป็นคนกล่าวออกมา “สมาชิกของเผ่าข้าที่ออกไปสำรวจเพิ่งรายงานกลับมา มีสถานที่ไม่ไกลจากที่นี่นักไปทางเหนือ เป็นแอ่งกระทะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ มีต้นไม้ และพืชที่ใช้ประโยชน์ได้กระจายอยู่ไม่น้อย แล้วยังมีลำธารไหลผ่านอยู่หลายสาย น่าจะเป็นที่ ๆ เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยระยะยาวได้”
จ้านหู่ดีใจที่ได้ยินข่าวดีนี้ “นั่นเป็นข่าวที่ยอดเยี่ยมมาก พวกเราเคลื่อนย้ายไปที่นั่นกันได้เลย จำนวนคนของพวกเรานั้นมีกันไม่น้อย รีบจัดการเรื่องที่พักอาศัยให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”
ส่วนผมถามออกไปก่อน “ตอนนี้พวกเรามีเสบียงอาหารอยู่มากน้อยเพียงไร?”
เขาตอบกลับมา “ไม่มากนัก น่าจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 วันเท่านั้น”
“ไม่เลวร้ายนัก! เอาล่ะพวกเราเดินทางไปที่แอ่งกระทะนั่นก่อนเถอะ” ผมเอ่ยออกมา “หลังจากที่เราจัดการสถานที่ได้เรียบร้อยแล้ว ยังจะต้องจัดหาอาหาร และของใช้ที่จำเป็นอีกมาก”
หน่วยลาดตะเวนของเผ่าเอลฟ์ธรรมชาติหาสถานที่ได้เหมาะสมมากจริง ๆ มันมีพื้นที่ว่างกว้างขวาง และรายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่อายุนับพันปีอยู่ทั่วบริเวณ ผู้อาวุโสใหญ่จากหมู่บ้านเทพเจ้าพอใจกับสถานที่ไม่น้อย “พวกเราควรจะจัดการเรื่องที่พักของคืนนี้กันก่อน แล้วจะได้สร้างที่นี่ให้เป็นฐานของพวกเราต่อไปในอนาคต”
“ตกลงตามนั้นได้เลย ให้เผ่าเอลฟ์ธรรมชาติคอยเป็นยามเฝ้าระวังรอบ ๆ เอาไว้ แล้วให้คนที่เหลือจัดการเรื่องการสร้างที่พักได้เลย” ผมเห็นด้วยกันเขา ก่อนจะหันไปถามจ้านหู่ “อ้า! ใช่แล้วพี่ใหญ่ เกาเต๋อกับซิงโอวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เขาตอบกลับมา “ตอนนี้กำลังพักอยู่ด้านหลังพวกเรานี่แหละ ซิวซือที่ใช้พลังเวทย์เพื่อรักษาพวกเขาไปไม่น้อย ก็พักอยู่กับพวกเขาด้วย”