ตอนที่แล้วบทที่ 13
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15

บทที่ 14


บทที่ 14

“พื้นที่หวงห้ามของตระกูลสวี่? มันคือสถานที่แบบไหนกัน?” ในความทรงจำของสวี่ล่าย ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน

“ฟุฟฟ ไม่แปลกที่นายน้อยจะไม่รู้ เพราะก่อนหน้านี้นายน้อยเคยเป็น ‘คนไร้ประโยชน์’ ฮี่ ฮี่ ฮี่” สวี่เปาว่าจบ ก็รีบวิ่งหนีไปพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

“เจ้าน่ะสิไร้ประโยชน์” สวี่ล่ายมุ่ยปาก สาวเท้ายาวๆตามไป

เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่สวี่เปาต้องการจะสื่อ คือสวี่ล่ายคนก่อนหน้านี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รู้

“ดูเหมือนไอ้ที่เรียกว่าพื้นที่หวงห้ามของตระกูลสวี่ สมควรมีไว้ฝึกฝนชนชั้นยอดสินะ”

“สมแล้วที่เป็นนายน้อย หลักแหลมยิ่ง!” สวี่เปายกนิ้วให้

“หยุดเลย เมื่อครู่เจ้ายังแกล้งข้าอยู่ชัดๆ ...” สวี่ล่ายหน้ามุ่ย แสร้งทำเป็นโกรธ

“บริวารมิกล้า! หากท่านไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หอจูเซียนครั้งก่อน เกรงว่าพวกเราสามพี่น้องคงถูกหลี่อวี้ถิงผู้นั้นฆ่าตายแล้ว” สวี่เปารีบสลัดความขี้เล่นออกไป กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง

“ฮึ่ม! ยังจะพูดแบบนี้อีก ตอนนี้ทั่วเมืองมีแต่เรื่องขี้โม้ของข้า บอกมา! นี่เป็นฝีมือพวกเจ้าใช่ไหม?” สวี่ล่ายกลอกตา ใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อสวี่เปา

“นายน้อยสงบใจก่อน! นายน้อยโปรดสงบใจ! สวี่เปาหดคอด้วยความกลัว จากนั้นอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฮี่ ฮี่ ที่พวกเราทำแบบนั้นก็เพื่อประโยชน์ของนายน้อยเช่นกัน เพราะยังไงซะ เมื่อก่อนนายน้อยก็เคยเป็น​คนไร้ ... เอ่อ เป็นคนที่ยังไม่เก่ง ใช่ยังไม่เก่ง!”

สวี่ล่ายพอได้ยินแบบนั้นก็ปล่อยมือ

สวี่เปาเห็นว่าโอกาสมาถึงแล้ว ก็สำแดงทักษะพลิกลิ้นของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฮี่ ฮี่ คนนอกมักคิดว่านายน้อยง่ายที่จะรังแก ดังนั้นพวกเราสามพี่น้องเลยบอกต่อเรื่องราวที่ท่านสู้กับหลี่อวี้ถิงในหอจูเซียน ต่อไปมาดูกันว่ายังมีใครกล้าเรียกนายน้อยว่าขยะอยู่อีกรึเปล่า!”

“อืม ถ้าแค่เฉพาะเรื่องจริงมันก็แล้วไป แต่ไอ้เรื่องผายลมอย่างได้กินสมุนไพรเซียนอมตะนี่ออกจะขี้โม้เกินไปหน่อยไหม?”สวี่ล่ายจ้อง

“เอ่อ~ เรื่องนั้น ... เรื่องนั้นก็ช่วยไม่ได้ พวกเราแค่ใส่น้ำมันเติมน้ำส้มสายชู ใครจะรู้ว่ามันจะลงเอยแบบนี้ ...” สวี่เปายิ้มยิงฟันอย่างกระอักกระอ่วน

“นายน้อย พวกเรามาถึงแล้ว” สวี่เปารีบเปลี่ยนเรื่อง ชี้ไปทางบริเวณที่มีหมอกหนาไม่ไกล

“หือ? เขตค่ายกล?” สวี่ล่ายผงะเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเบื้องหลังคฤหาสน์ตระกูลสวี่ แท้จริงแล้วจะเขตค่ายกลติดตั้งไว้

“ฮี่ ฮี่ ตอนนี้นายน้อยไม่ใช่แค่มีฐานบำเพ็ญเพียรก้าวกระโดด แต่ยังมีความรู้เพิ่มขึ้นมาก ...”

“หยุดยอได้แล้ว!”สวี่ล่ายกลอกตา สีหน้าดูไม่เป็นที่พอใจ แต่ภายในใจกลับยินดีเป็นอย่างยิ่ง

สวี่เปาเดินไปหน้าเขตค่ายกล หยิบตราบางอย่างออกจากอกเสื้อ เขย่ามันเล็กน้อยหน้าหมอกหนา บังเกิดแสงสว่างวาบ หมอกหนาแยกออกเป็นสองส่วนเปิดทางให้พวกเขาในทันที

“นายน้อย เชิญ!”

“อืม” สวี่ล่ายพยักหน้า นำทางเขาเข้าไปในหมอกหนา

สวี่ล่ายสีหน้าดูเยือกเย็นมาก แต่ภายในรู้สึกประหลาดใจ แม้ตัวเองจะเข้าใจข้อมูลคร่าวๆของค่ายกล แต่เมื่อได้เห็นความมหัศจรรย์ของมันตรงหน้า ก็ไม่อาจปกปิดความตกใจได้

ใช้เวลาไม่นาน วิสัยทัศน์ก็เปลี่ยนไป ดวงตาเขาเบิกโพลงขึ้นทันที

เมื่อสวี่ล่ายเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงในป่าไผ่ทึบที่อยู่ไม่ไกลมีแสงระยิบระยับ พร้อมเสียงต่อสู้แว่วเข้ามาเบาๆ

“เอ๊ะ? ข้างในเป็นแบบนี้เองหรือ?”สวี่ล่ายอึ้งไปพักหนึ่ง ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ฮี่ ฮี่  นายน้อย นี่คือพื้นที่หวงห้ามของตระกูลสวี่” สวี่เปาหรี่ตา พาสวี่ล่ายเข้าไปในป่าไผ่

เมื่อเข้ามาในป่าไผ่ สวี่ล่ายเห็นสมาชิกรุ่นเยาว์มากกว่า 30 คนที่สวมเครื่องแต่งกายของตระกูลสวี่ แต่ละคนต่างไล่ล่าต่อสู้กัน

ระดับฐานบำเพ็ญเพียรของสมาชิกเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้วล้วนอยู่เหนือขั้น 7 ขอบเขตรวมปราณ และเก่งสุดไปถึงขั้น 9 แล้ว ดูท่าพวกเขาควรเป็นกองกำลังชั้นยอดที่ได้รับการฝึกฝนอย่างลับๆโดยตระกูลสวี่

“ล่ายเอ๋อ เจ้ามาแล้ว”

เมื่อสวี่ล่ายเงยหน้าขึ้น ก็บังเอิญเห็นสวี่เหยาวหู่กำลังมองมาทางเขาด้วยรอยยิ้ม

“คารวะลุงสอง เอ่อ ... แล้วบิดาข้าเล่า?” สวี่ล่ายมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นร่างของบิดา

“พี่ใหญ่อยู่ในโถงบรรพชน แต่เจ้ายังตามเข้าไปไม่ได้ .... เหอ เหอ” จู่ๆ สวี่เหยาหวู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ยังตามเข้าไปไม่ได้ ... ทำไมกัน ...?” สวี่ล่ายเริ่มวิเคราะห์เจตนาของสวี่เหยาหวู่ในทันที

“ทุกคนหยุด!” สวี่เหยาหวู่โบกมือ สมาชิกตระกูลสวี่ในป่าไผ่ทั้งหมดหยุดการต่อสู้ทันที เดินเข้ามารอรับคำสั่งอย่างเป็นระเบียบ

“สาวกทั้งหลายจงฟัง สวี่ล่าย! ผู้สืบทอดประมุขตระกูลสวี่คนต่อไปกำลังจะเข้าร่วมการทดสอบผู้สืบทอด หลังเริ่มทดสอบ พวกเจ้าทุกคนต้องโจมตีเขาอย่างสุดกำลัง ห้ามออมมือเด็ดขาด! การทดสอบนี้เกี่ยวพันกับตำแหน่งผู้สืบทอดในอนาคตของตระกูลสวี่ นั่นหมายความว่ามันมีความสำคัญอย่างยิ่ง ...”

สวี่เหยาหวู่ไม่พูดมากมาย ประกาศเริ่มการทดสอบทันที

“เดี๋ยวๆ! นี่ท่านจริงจัง?” สวี่ล่ายเริ่มฟูมฟาย ไม่คาดหวังว่าเมื่อเข้ามาในพื้นที่หวงห้ามของตระกูล มันจะกลายเป็นการทดสอบพลังรบของเขา อีกทั้งยังต้องสู้กับคนอีกกว่า 30 คน

[ติ๊ง!]

[ภารกิจเสริม : ทดสอบผู้สืบทอดตระกูลสวี่]

[รางวัลความสำเร็จ: สมบัติลับของตระกูลสวี่ , หน่วยอารักขาส่วนตัว ,​ ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลสวี่ , 20 ค่าปราณสังหาร และ 500 แต้มสะสม”

“อะไรนะ? ค่าปราณสังหารก็รวมอยู่ในรางวัลด้วย?” สวี่ล่ายตะลึง นึกไม่ถึงว่าจู่ๆภารกิจเสริมจะเด้งเตือนขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เพียงเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นครั้งแรกที่มีค่าปราณสังหารเป็นรางวัล

“เอาล่ะ ล่ายเอ๋อ ต่อไปนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ลุงสองหวังไว้เสมอว่าวันหนึ่งหลานชายจะประสบความสำเร็จเหมือนพี่ใหญ่ พวกเรารอวันนี้มานานแล้ว มาดูกันว่าผลลัพธ์ของการฝึกฝนในป่าหมอกของเจ้าเป็นอย่างไร?” สวี่เหยาหวู่จ้องมองสวี่ล่ายด้วยใบหน้าตื่นเต้น

“ลุง ... ลุงสอง! เหตุใดถึงกะทันหันเช่นนี้? ใจ ..ใจข้ายังไม่พร้อม” สวี่ล่ายอ้าปากเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน

“ลูกผู้ชายใจต้องแกร่ง การทดสอบนี้มีไว้เพื่อกำหนดตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูล เพื่อวันนี้ ข้ารอมานานจนใจทรมานยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”

สวี่เหยาหวู่สายตาที่จ้องเขม็ง พูดอย่างหมดความอดทน

“เอ่อ ...” สวี่ล่ายยิ้มอย่างขมขื่น ในใจลอบคิดว่า ‘ท่านเตรียมการมานาน แต่ไม่คิดให้ข้าเตรียมใจเลยหรือ?’

สวี่เหยาหวู่ตบไหล่สวี่ล่ายเบาๆ พูดอย่างจริงจัง “ล่ายเอ๋อ เจ้าก็รู้ ลุงสองไม่มีทายาท ดังนั้นในสายตรงของตระกูลสวี่เราจึงเหลือเจ้าเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว พี่ใหญ่และข้าฝากความหวังไว้กับเจ้า”

“แต่อนิจจา! ตอนแรกความสามารถในการบำเพ็ญเพียรเจ้าอยู่ในระดับต่ำ พี่ใหญ่และข้ารู้สึกผิดหวังอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วพี่ใหญ่ก็ทำใจได้ บางทีอาจเป็นความตั้งใจของพระเจ้า บางทีพระเจ้าอาจต้องการให้เจ้าได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติธรรมดา ...”

“ลุงสอง ...” หัวใจของสวี่ล่ายตื้นตัน

“เหอะ เหอะ เหอะ! แต่ใครจะคิด ด้วยความเสียใจที่ถูกตระกูลเย่ถอนหมั้น มันกลับจุดประกายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในใจเจ้า ในที่สุดก็กระตุ้นศักยภาพภายในตัวออกมา และตอนนี้ ... ถึงเวลาที่เจ้าต้องแสดงความทะเยอทะยานของตัวเองแล้ว! จงสำแดงความสามารถที่มีให้มากที่สุด ให้ลูกหลานตระกูลสวี่พิสูจน์ด้วยตาตัวเอง ช่วยให้ความฝันหลายปีของลุงสองและพ่อเจ้ากลายเป็นจริงสักที”

เหม่อมองสวี่เหยาหวู่ที่เต็มไปด้วยความหวัง และสลับไปมองดวงตาของสมาชิกตระกูลสวี่ทุกคนในที่นี้ สวี่ล่ายรู้ว่าเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงการทดสอบนี้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ

“เฮะ เฮะ ในเมื่อท่านพ่อและลุงสองตั้งหน้าตั้งตารอมันมาก เช่นนั้นข้าสวี่ล่ายคงต้องลองทำดู”

สวี่ล่ายกล่าว เขาค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมออก ดวงตาที่เฉียบคมเปล่งประกาย กลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งที่ไม่อาจอธิบายแพร่กระจายออกมา

สวี่เหยาหวู่เห็นมันในสายตา ก็ต้องลอบตกใจ แต่ก็ออกคำสั่งแก่เหล่ารุ่นเยาว์ “ลูกหลานตระกูลสวี่รับคำสั่ง! จงเตรียมตัวให้พร้อม การทดสอบผู้สืบทอดตระกูลสวี่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”

“ขอรับ!”

“ขอรับ!”

เสียงตอบรับดังก้องไปทั่วพื้นที่หวงห้าม สมาชิกตระกูลสวี่ล้วนมีกำลังใจเพิ่มสูง ช่วงเวลาที่รอคอยมานานกำลังจะมาถึงแล้ว!

นับตั้งแต่สามพี่น้องสวี่หู เปา เปียวเล่าใส่สีตีไข่เรื่องเหตุการณ์ในหอจูเซียน ลูกหลานตระกูลสวี่ต่างกำหมัดแน่นเตรียมพร้อมมานานแล้ว และหวังว่าจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ด้วยตัวเอง

แม้แต่สวี่เหยาเหวิน สวี่เหยาหวู่ ก็หวังจะได้เห็นกับตาเช่นกัน ว่าสวี่ล่ายแก่กล้าเพียงใด

ตามความคิดของสวี่เหยาหวู่ เนื่องจาก สวี่ล่ายสามารถเอาชนะ ‘กระบี่ลมกรดหลี่อวี้ถิง’ ในหอจูเซียนได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นพลังรบของเขาน่าจะเหนือจินตนาการของทุกคนไปแล้ว

“ล่ายเอ๋อ ตราบใดที่เจ้าสามารถอยู่รอดจากการปิดล้อมของลูกหลานตระกูลสวี่ ยืนหยัดไม่ล้มลงในเวลาหนึ่งเค่อ เจ้าก็จะผ่านการทดสอบ” เสียงของสวี่เหยาหวู่ดังขึ้นข้างหลังเขา

“หนึ่งเค่อ?” สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย พยักหน้ารับ

ระยะเวลาหนึ่งเค่อ ( 15 นาที) ไม่ได้นานนัก แต่ถ้าในการต่อสู้ก็ถือว่าไม่สั้นเช่นกัน ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลสวี่ การยืนหยัดท่ามกลางการปิดล้อมของชนชั้นยอดกว่า 30 คนจากตระกูล มันไม่ใช่งานง่ายเลย

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

สมาชิกตระกูลสวี่มากกว่า 30 คนกรูกันเข้ามาข้างหน้า เหยียบพื้นส่งเสียง กราว กราว ล้อมรอบสวี่ล่ายไว้

อย่างไรก็ตาม ...

“เพ้ย! พวกเจ้ามัวยืนจ้องอะไรกันอยู่? รีบลงมือซะ!”

สวี่เหยาหวู่ข้างๆโกรธมาก คนกว่า 30 คนข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า ไม่มีใครกล้าเป็นผู้นำ

อันที่จริงไม่ใช่ว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้หวาดกลัวศิลปะการต่อสู้ของสวี่ล่ายจนไม่กล้าบุก แต่ตรกันข้าม พวกเขากลัวว่าศิลปะการต่อสู้ของสวี่ล่ายจะอยู่แค่ระดับกลางๆ และเผลอทำร้ายเขา แม้สามพี่น้องจะใส่สีตีไข่เรื่องเหตุการณ์ในหอจูเซียนจนเว่อร์วัง แต่ในสายตาชนชั้นยอดตระกูลสวี่เหล่านี้ สวี่ล่ายยังคงเป็นนายน้อยที่มีทักษะฝึกตนต่ำ

แต่ในตอนนั้นเอง เงามนุษย์ร่างหนึ่งพุ่งจากฝูงชนอย่างไม่ลังเล

“สงครามโลหิตแปดทิศ!”

“หือ?” สวี่ล่ายตกใจ ชักดาบกระหายเลือดจากแหวนมิติอย่างไม่ลังเล

“เมฆาเปิดหมอก!”

บรึ้ม——!

อาวุธทั้งสองปะทะกัน คลื่นอัดอากาศกระเซ็น

“แข็งแกร่งมาก! สวี่ล่ายต้องตกใจอีกครั้ง เพราะรู้สึกได้ถึงอาการด้านชาบนแขนเขา

เจ้าตัวเงยหน้าขึ้น เพ่งมองชัดๆ และพบกับใบหน้าคุ้นเคยกำลังมองมาด้วยรอยยิ้ม

“สวี่หู?” เห็นแบบนี้สวี่ล่ายเกิดอาการสับสนทันที

ก็ใครมันจะไปคิด ว่าสวี่หูซึ่งถูกหลี่อวี้ถิงรังแกบนในหอจูเซียน จะมีพลังรบแก่กล้าเช่นนี้

“เฮะ เฮะ นายน้อย” สวี่หูยิ้ม ถีบร่างย่นระยะถอยหลัง

“เพลงดาบเมื่อครู่ ...” สวี่ล่ายค้นพบอีกเรื่อง ว่าไม่เคยเห็นเพลงดาบนี้ของสวี่หูมาก่อนเลย

ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกต้องมากขึ้น เพลงดาบนี้นี้ไม่ใช่ของลอกเลียนแบบเหมือนเพลงกระบี่ทระนงสังหารอย่างแน่นอน

“นายน้อย เพลงดาบนี้เป็นศิลปะการต่อสู้ของตระกูลสวี่ เพียงแต่ตระกูลสวี่มีกฏเข้มงวด สมาชิกในตระกูลไม่ได้รับอนุญาตให้สำแดงมันตามอำเภอใจ ... เฮะ เฮะ ที่ท่านไม่เคยเห็นมันจึงเป็นเรื่องปกติ” สวี่หูยิ้ม

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมนัก! ดูท่าในหอจูเซียนวันนั้น เจ้าอดทนต่อความอัปยศได้ยอดเยี่ยมยิ่ง!” สวี่ล่ายชมเชย ชูนิ้วโป้งให้

สามารถเห็นได้เลยจากการโจมตีนี้ ว่าหากสวี่หูสำแดงพลังรบที่แท้จริงของเขาในวันนั้น เกรงว่าเจ้าตัวคงแกร่งไม่แพ้ ‘กระบี่ลมกรดหลี่อวี้ถิง’

“พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าก็เห็นแล้ว นายน้อยเรามิใช่นายน้อยไร้ประโยชน์เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ด้วยพลังรบของนายน้อยตอนนี้ เขาสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้อย่างแน่นอน! ทุกคนจงแสดงพลังที่แท้จริงของพวกเจ้าออกมา ให้ผู้สืบทอดคนต่อไปได้เห็นกับตา ถึงพลังรบที่แท้จริงของกองทัพตระกูลสวี่!”

“โอ้ว!”

“โอ้ว!!”

“โอ้ว!!!”

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด