บทที่ 13
บทที่ 13
“มี ย่อมมีอยู่แล้ว! หากพันธมิตรการค้าว่านตงของเราไม่มี เช่นนั้นร้านอื่นก็คงไม่มีแล้ว!” เถ้าแก่วัยกลางคนทำสีหน้าประจบสอพลอทันที
สวี่ล่ายกลอกตา เหลือบมองกาน้ำชาบนโต๊ะ เอ่ยปากว่า “งั้นก็แล้วไป ว่าแต่ ... พันธมิตรการค้าของพวกเจ้าไม่มีชาดีๆสักกาเลยหรือ?”
“ฮี่ ฮี่ .... พันธมิตรการค้าของเราจะไม่มีชาได้อย่างไร? แค่ข้ากำลังตะลึงกับวัสดุที่คุณชายต้องการ ... เสี่ยวหู่! รีบนำชาเฉียนหลิงฉูมา(ไผ่พันวิญญาณ)ให้คุณชายเร็วเข้า!” เถ้าแก่วัยกลางคนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าประจบสอพอล “เหอ เหอ โปรดยกโทษให้ข้าที่ดูแลไม่ดี เพียงแต่ข้าสงสัย ไม่ทราบคุณชายมีแซ่ใด? ทำงานให้ตระกูลไหน?”
“ข้า ... แซ่มิได้สูงส่ง(Bù gāoบู้เกา) ... ใดๆ” สวี่ล่ายยกขาไขว่ห้าง ท่าทางดูสบายๆ
“หือ? แซ่บู้เกา?” เถ้าแก่วัยกลางคนกลอกตาคิด และพบว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดจนโตที่เขาได้ยินแซ่นี้
“ไม่ใช่ว่าข้าแซ่บู้เกา แต่แซ่ข้าไม่ได้สูงส่งอะไรมากมาย เจ้าเข้าใจไหมเนี่ย?”
“อ๋า? อา ... เข้าใจ พอเข้าใจแล้ว ...”
สวี่ล่ายหงุดหงิด แต่เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจแจ่มแจ้ง เขากระแอมเบาๆ “ข้าสกุลสวี่ นามสวี่ล่ายล่ายจากอักษรที่แปลว่า ...”
ไม่รอใสวี่ล่ายพูดจบ เถ้าแก่วัยกลางคนสะดุ้งโหยง ถอยห่างออกมาทันที “อะไรนะ? เจ้าคือนายน้อยขยะของตระกูลสวี่?”
“ให้ตายเถอะ! เจ้าดูข้านี่! หน้าข้าเหมือนขยะตรงไหน?” สวี่ล่ายเลิกคิ้วขึ้น โทสะใกล้เดือดปุดๆ
“คุณชายสวี่โปรดสงบสติอารมณ์ก่อน สงบสติอารมณ์ .... ทุกวันนี้ยังมีใครกล้าเรียกท่านขยะอีก คนที่พูดแบบนั้น เท่ากับแส่หาที่ตายอย่างแท้จริง!” เถ้าแก่วัยกลางคนพลิกลิ้น กลับมาชื่นชมทันที “ตอนนี้ท่านคือยอดฝีมือที่เอาชนะ ‘ดาบลมกรดหลี่อวี้ถิง’ ชื่อเสียงท่านเลื่องลือไปทั่วเมืองหรันเถึยนแล้ว”
“เห~ ข่าวไปไวขนาดนี้เชียว?” สวี่ล่ายอึ้ง คาดไม่ถึงว่าการต่อสู้ในหอจูเซียนเมื่อไม่กี่วันก่อน มันจะทำให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตก
“คุณชายสวี่ไม่รู้หรือ มีข่าวลือเล่าต่อๆกันมาว่า เพื่อคว้าชัยชนะงานประลองหาคู่ของตระกูลเย่ ท่านได้เดินทางเข้าไปฝึกฝนในป่าหมอกเพียงลำพัง ได้กินสมุนไพรเซียนอมตะโดยบังเอิญ ส่งผลให้ฐานบำเพ็ญเพียรเพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังได้รับมรดกจากชายลึกลับอีกด้วย”
“หลังจากกลับมาที่เมืองหรันเถียน ท่านก็ได้เป็นฝ่ายเข้าท้าทาย ‘กระบี่ลมกรดหลี่อวี้ถิง’ และคว้าชัยชนะจากการต่อสู้ จากนั้นเข้าท้าทายสาวกนิกายเทียนเยว่ที่ตามมาภายหลัง ...”
“หยุด หยุด หยุดเลย!” สวี่ล่ายพอได้ยินก็รีบห้าม แต่ในใจลอบยิ้มเยาะ ‘ดูท่าข่าวซุบซิบนินทาไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกก่อนก็เชื่อถือไม่ได้จริงๆ หมายความว่ายังไงกันที่บอกว่าข้ากินสมุนไพรเซียนอมตะเข้าไป? ขี้โม้โคตรๆ ดูท่าคงต้องรีบสะสางงานให้เสร็จซะแล้ว ไม่งั้นคงได้ยินข่าวลือเพ้อเจ้อยิ่งกว่านี้แน่ๆ’
สวี่ล่ายพอคิดได้ก็รีบกำชับเถ้าแก่ร้านวัยกลางคนให้เร่งมือนำวัสดุที่เข้าต้องการมา “บอกเถ้าแก่ตามตรง ผู้แซ่สวี่มีเวลาจำกัด รบกวนเตรียมของให้ไวขึ้นหน่อย”
“คุณชายสวี่โปรดวางใจ ร้านเราเป็นร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหรันเถียน ประสิทธิภาพการทำงานย่อมไม่เชื่องช้า”
และในตอนนั้นเอง เสมียนคนหนึ่งนำชาเฉียนหลิงฉูเข้ามากาหนึ่ง
“เหอ เหอ คุณชายสวี่โปรดลองชิมผลิตภัณฑ์พิเศษของร้านเรา นี่คือชาเฉียนหลิงฉูคุณภาพสูง ชานี้มีกลิ่นหอม ให้รสหวาน ดื่มแล้วสดชื่นในปาก เมื่อลงสู่ช่องท้องยังมีสรรพคุณช่วยในการฟื้นฟูสภาพจิตใจและเพิ่มปราณบริสุทธิ์ ...”
อึก อึก ...
“อืม? ชาดี!” สวี่ล่ายอึ้งไปพักหนึ่ง ไม่นึกว่าแค่ชาจะอร่อยขนาดนี้ ไม่เพียงแค่นั้น แต่ทันทีที่ชาเข้าสู่ช่องท้อง คลื่นปราณบริสุทธิ์ยังค่อยๆเพิ่มขึ้นและเคลื่อนไปมาระหว่างตันเถียน มีผลให้ทำรู้สึกสดชื่นแจ่มใส และเติมเต็มปราณบริสุทธิ์จริงๆ
“ชานี้ ... ไม่คิดเงินใช่ไหม?”
“ไม่คิดเงิน ชานี้ไม่คิดเงิน! ขอคุณชายเพลิดเพลินไปกับมัน” เถ้าแก่ร้านวัยกลางคนโค้งศีรษะคำนับ แต่ไม่ได้เห็นสายตาโลภของสวี่ล่ายเลย
“ไม่คิดเงินก็ดี! ไปบอกเสมียนให้ช่วยห่อเพิ่มให้ข้า 2 จิน ข้าจะเอามันกลับไปด้วย”
สวี่ล่ายว่าจบ ก็ไม่สนอะไรอีก ยกชาเฉียนหลิงฉูดื่มต่อจนหมดกา
“ท่านว่ากระไร! สอง ... สองจิน!?” เถ้าแก่วัยกลางคนตกใจแทบจะทรุดนั่งกับพื้น
“ถูกต้อง เจ้าสิ่งที่เรียกว่าชาเฉียนหลิงฉูนี่มันอร่อยจริงๆ รีบห่อมันให้ข้าสองจินเร็วเข้า” สวี่ล่ายเช็ดปาก วางกาน้ำชาเปล่าไว้ข้างๆ
“ไม่!” สีหน้าของเถ้าแก่กลายเป็นเย็นชาทันที ส่ายหัวซ้ำๆ
“ไม่? หมายความว่าเยอะไปใช่ไหม งั้นเอาแค่จินเดียวก็ได้” สวี่ล่ายอึ้งไปพักหนึ่ง และรู้สึกตัวว่าขอเยอะไป เลยยกนิ้วชี้ยื่นขึ้นมา
“ไม่!”
“เช่นนั้นห่อให้แค่ครึ่งจินก็พอ แบบนี้ยุติธรรมดีแล้วใช่ไหม?”
“ไม่เกี่ยวว่าจะสองจินหรือครึ่งจิน แต่ชานั่นมีแค่กาเดียว และท่านได้ดื่มมันไปหมดแล้ว” เถ้าแก่ร้านชี้ไปที่กาน้ำชาเปล่าบนโต๊ะ กล่าวอย่างไม่พอใจ
“เชอะ! ขี้เหนียวจริงๆ” สวี่ล่ายกลอกตา เขาทราบดีว่าที่ตนดื่มชาหมดกา มันคงทำให้เถ้าแก่ร้านปวดใจไม่น้อย
เพียงแต่ในขณะนั้นเอง เสมียนอีกคนเดินเข้ามาพร้อมแหวนมิติ
“เอาล่ะ นี่คือวัสดุทั้งหมดที่คุณชายสวี่ต้องการ ทั้งหมดราคารวม 1,072 หินดวงดาวขั้นต้น เชิญตรวจสอบและนับจำนวนพวกมันได้”
เถ้าแก่วัยกลางคนกวาดจิตสำนึกเข้าตรวจสอบในแหวน จากนั้นยื่นให้สวี่ล่ายเบื้องหน้า
“เจ้าว่าอะไรนะ ... หิน ... หินดวงดาวขั้นต้นพันก้อน?” สวี่ล่ายเกือบทรุดนั่งลงพื้นเมื่อได้ยินจำนวนนี้
ตอนสวี่ล่ายได้รับมรดกของซือถูเหยาสู่ เขาได้รับหินดวงดาวขั้นกลางมา 10 ก้อน และหินดวงดาวขั้นต้นมา 50 ก้อนเท่านั้น ซึ่งรวมๆกันแล้วตีเป็นจำนวนแค่ 1,050 หินดวงดาวขั้นต้นเท่านั้น
ไม่นึกฝันเลยว่า แค่เขาซื้อวัสดุเพียงเล็กน้อย จะต้องจ่ายออกทั้งหมดในคราเดียว
“คุณชายสวี่ซื้อวัสดุมากมายในครั้งนี้ อีกทั้งยังระบุว่าแต่ละวัสดุต้องมี 100 ชุด นี่ทำให้มูลค่ารวมของมันสูงเกินพันหินดวงดาว แต่เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า ทางร้านเรายินดีมอบส่วนลดแก่คุณชายสวี่ หักเศษที่เหลือ ราคาแค่ 1,000 หินดวงดาวขั้นต้นก็พอ”
“คุณชายสวี่โปรดตรวจสอบด้วย”
“ข้า ... ข้า ...” สวี่ล่ายมีหินดวงดาวพันนิดๆในมือ ตอนนี้ถ้าต้องให้จ่ายมันจนเกือบหมดในคราเดียว เขาทำใจไม่ได้จริงๆ
“อืม ... พอดีข้ารู้จักคุณหนูเหยาของพวกเจ้า ฉะนั้น เห็นแก่หน้านาง ช่วยแปะหนี้ไว้ก่อนได้ไหม?”
“อะไรนะ!? แปะหนี้? ข้าว่าคุณชายสวี่คงล้อเล่นแล้ว ตระกูลสวี่ของท่านคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองหรันเถียน ข้าไม่คิดว่าตระกูลท่านจะยอมเสียศักดิ์ศรีแปะหนี้กันแบบนี้หรอก ...”
“เชอะ!” สวี่ล่ายกลอกตา เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่ร้านเอ่ยวาจาสวมหัวโขนให้เขา หากยังดึงดันแปะหนี้ เกรงว่าตนคงต้องทำให้ตระกูลสวี่เสื่อมเสียชื่อเสียง
“ฮี่ ฮี่ ไม่นึกว่าเจ้าจะรู้ทัน ใช่แล้ว ข้าแค่ล้อเล่น ข้าถ่อมาซื้อของให้ตระกูลสวี่คราวนี้ แล้วจะไม่มีเงินติดตัวได้อย่างไร? เจ้าสิ่งนี้มีมูลค่าเทียบเท่าหินดวงดาวพันก้อน ลองนับดูว่าครบไหม”
สวี่ล่ายยิ้มบาง ใช้มือข้างหนึ่งลูบแหวนมิติ ประกายแสงสว่างวาบ หินดวงดาวขั้นกลางสิบก้อนวางอยู่บนโต๊ะ
“ฮ่า ฮ่า อ่า คุณชายสวี่ช่างน่าทึ่งสมคำร่ำลือ เมื่อครู่ข้าเกือบจะเชื่อแล้วจริงๆ เอาเถิด เช่นนั้นมาดื่มฉลองที่บรรลุการซื้อขายของพวกเรา ... เอ๊ะ?”
กล่าวถึงจุดนี้ เถ้าแก่ร้านค่อยนึกขึ้นได้ ว่าสวี่ล่ายดื่มชาทั้งกาจนแห้งหมดแล้ว
“เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน ข้าคุณชายขอตัวกลับก่อน หวังว่าจะได้มีโอกาสชิมชาเฉียนหลิงฉูของร้านเจ้าอีก” สวี่ล่ายยืนขึ้นด้วยสีหน้าเสียดาย หยิบแหวนมิติจากถาดเงินและเตรียมจากไป
“ขอบพระคุณคุณชายสวี่ ...”
“อ้อจริงสิ ครั้งนี้อย่าลืมตุนชาเอาไว้เยอะๆด้วย ครั้งต่อไปอย่าได้ตระหนี่เตรียมไว้กาเดียวเช่นนี้อีก ...” พูดจบสวี่ล่ายก็หมุนตัวจากไป
โดยไม่รู้เลยว่าเถ้าแก่ร้านที่อยู่เบื้องหลังเวลานี้โกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวสลับม่วง
เมื่อสวี่ล่ายออกไป เถ้าแก่ร้านก้มลงมองแผ่นไม้ไผ่ในมือ แล้วหันขวับรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน
“คุณหนู สวี่ล่ายนายน้อยขยะของตระกูลสวี่เพิ่งมาที่นี่เพื่อซื้อวัสดุจำนวนมากให้แก่ตระกูลสวี่ นี่คือรายการสินค้าของเขา เชิญตรวจสอบดู” เถ้าแก่ร้านวัยกลางคนยื่นใบไผ่ในมือให้หญิงสาวที่กำลังจิบชาตรงหน้าอย่างเคารพ
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นบุตรสาวของผู้นำพันธมิตรการค้าว่านตง และเคยเจอกับสวี่ล่ายมาแล้วครับหนึ่ง ——เหยาว่านซิน
“หืม? ขอข้าดูหน่อย” เหยาว่านซินรับใบไผ่ นาบลงบนหน้าผากเบาๆเพื่อใช้จิตสำนึกตรวจสอบดู
หลังจากใช้เวลานานพอสมควร เหยาว่านซินลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ เอ่ยช้าๆว่า “เถ้าแก่อู๋ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“ตัดสินจากประสบการณ์ของข้าบริวาร ตระกูลสวี่ซื้อวัสดุจำนวนมากเช่นนี้ สมควรนำไปกลั่นโอสถและหลอมอาวุธสำหรับงานประลองหาคู่ของตระกูลเย่”
เถ้าแก่อู๋คิดทบทวนพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากช้าๆ
“ไม่ใช่” เหยาว่านซินส่ายหัวเบา ๆ
“อา? เช่นนั้นคุณหนูพอจะทราบหรือไม่ว่าวัสดุพวกนี้นำไปใช้ทำอะไร?”
“หากข้าเดาไม่ผิด เกรงว่าตระกูลสวี่อาจว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล วัสดุเหล่านี้มีไว้สำหรับการหลอมหินค่ายกลโดยเฉพาะ”
“อะไรนะ? ผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล? นี่ ... เป็นไปไม่ได้หรอก ทั่วทั้งเมืองหรันเถียนไม่มีผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลแม้แต่คนเดียว แล้วตระกูลสวี่ว่าจะจ้างวานพวกเขาได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่า ...”
“ถูกต้อง สมควรถูกจ้างวานจากที่ไหนสักแห่งด้วยเงินจำนวนมาก ดูท่าครั้งนี้ตระกูลสวี่จะลงทุนไปไม่น้อยเพื่อสนับสนุนสวี่ล่ายให้ชนะการประลอง คราวนี้เกรงว่าจะเป็นศึกระหว่างมังกรกับพยัคฆ์เสียแล้ว อนิจจา ... แต่ต่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะแล้วมันอย่างไร?”
ในที่สุดเหยาว่านซินก็ส่ายหัวและถอนหายใจเบา ๆ
“ยังไงก็เถอะ หลังจากนี้เขาได้พูดอะไรอีกไหม?” เหยาว่านซินวางใบไผ่ในมือของเธอลง ถามอย่างเป็นกันเอง
“เขาพูด ... แต่เอ่อเรื่องนั้น ...” เถ้าแก่อู๋เอ่ยปาก แต่ก็ลังเลที่จะบอก
“หืม? มีอะไรที่ท่านไม่สามารถบอกได้หรือ?”เหยาว่านซินชะงักเล็กน้อย ก่อนถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นคุณหนู แต่ความจริงแล้ว ... ความจริงแล้วตอนจ่ายเงิน สวี่ล่ายผู้นี้อ้างว่ารู้จักมักคุ้นกับคุณหนูเหยา และบอกให้ข้าแปะหนี้เพื่อเห็นแก่หน้าท่าน”
เถ้าแก่อู๋ยอมเล่าเรื่องของสวี่ล่ายออกมาอย่างว่าง่าย
“ฟุฟฟฟฟ! ขอแปะหนี้เพื่อเห็นแก่หน้าข้า? สวี่ล่ายผู้นี้ เรื่องแบบนี้คงมีแต่เขาที่คิดได้ กระนั้น ...” เหยาว่านซินพลันนึกได้ถึงบางสิ่ง พึมพำออกมา “คราวหน้าหากเขามาซื้อวัสดุอีก แต่มีหินค่ายกลสำเร็จรูปอยู่ในมือแล้ว เรื่องแปะหนี้ไว้ก่อนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ...”
“อะไรนะ!? คุณหนู หรือว่าท่านตั้งใจจะ ...”เถ้าแก่อู๋ผงะเล็กน้อย แต่ไม่ช้าก็คิดออกอย่างรวดเร็ว
“อืม ยังไงก็ทำตามที่ข้าบอกแล้วกัน”
“ขอรับ”
สวี่ล่ายไม่รู้เรื่องเลย ว่าเพียงเพราะการเดินทางมาซื้อวัสดุของตัวเอง มันได้ทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของคุณหนูแห่งตระกูลเหยาผู้นี้แล้ว!
...
สวี่ล่ายนั่งอยู่บนตั่ง ในหัวกำลังคิดเรื่องสำคัญ
“ไอ้หย๋า ชักลำบากซะแล้วสิ การกลั่นวัสดุต้องใช้ไฟอำพัน แต่ตระกูลสวี่ของข้าดูเหมือนจะไม่มีของสิ่งนั้น รู้งี้ตอนอยู่ในพันธมิตรการค้าว่านตง ข้าควรสอบถามเถ้าแก่ร้านให้ชัดเจนก็ดี ดูท่าคงได้วิ่งเต้นหาของอีกแล้ว เฮ้อ ...”
สวี่ล่ายลุกขึ้นยืนอย่างช่วยไม่ได้ เตรียมออกนอกบ้านอีกครั้ง
แต่ในตอนนั้นเอง
“นายน้อย ... นายน้อย ...”
สวี่เปาวิ่งเข้ามาอย่างร่าเริง
“สวี่เปา มีเรื่องอะไรทำไมถึงมีความสุขนัก แล้วพี่ชายเจ้าเล่า?”
“นายน้อย ข้ามีข่าวดี ประมุขส่งข้ามาแจ้งแก่ท่าน ว่าต้องการพบท่าน” สวี่เปามีรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้า แสร้งทำเป็นลึกลับและขยิบตาให้สวี่ล่าย
“บิดาข้าต้องการพบข้า? แล้วเรื่องนี้มันแปลกตรงไหน?”สวี่ล่ายกรอกตา
“ข้าได้ยินมาว่าประมุขตั้งใจจะพานายน้อยเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามของตระกูลสวี่”
“อะไรนะ? พื้นที่หวงห้าม ... ของตระกูลสวี่!?”