ตอนที่ 274 ราชวงศ์
ตอนที่ 274 ราชวงศ์
เซี่ยเฟยหันศีรษะไปทางต้นเสียงก่อนจะได้เห็นไป๋เย่กับหลี่โม่ที่เดินเข้ามาด้วยกัน โดยในขณะนี้ไป๋เย่กำลังมองมาทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาไม่พอใจ เพราะหลังจากที่เซี่ยเฟยได้บอกว่าเยว่เกอเป็นของเขาไป๋เย่ก็มองชายคนนี้เป็นศัตรู
ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยไม่ได้รู้สึกสนใจในตัวของเยว่เกอเลย เพียงแต่เขาได้พูดแบบนั้นเพื่อยั่วยุอีกฝ่าย และยิ่งไป๋เย่รู้สึกโกรธมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากเท่านั้น
“พวกคุณ 2 คนก็เป็นศัตรูกับฉันเหมือนกันสินะ?” คอนสแตนตินพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ศัตรู? คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นศัตรูของฉันหรอก!” หลี่โม่กล่าวขึ้นมาอย่างเหยียดหยาม
แคว๊ก!
ทันใดนั้นกระดุมเม็ดบนของเสื้อเชิ้ตคอนสแตนตินก็กระเด็นหลุดออกไป เผยให้เห็นปานสีแดงขนาดใหญ่ตรงบริเวณลำคอของชายหนุ่ม ซึ่งปานสีแดงนี้มีขนาดที่ใหญ่มากจนทำให้ร่างกายของเขาคล้ายกับถูกย้อมไปด้วยเลือด
คำดูถูกจากหลี่โม่ทำให้ใบหน้าของคอนสแตนตินเปลี่ยนเป็นสีแดง และเมื่อแอวริลได้เห็นปานสีแดงเลือดเธอก็กุมมือเข้าหากันด้วยความหวาดกลัว
“ความบกพร่องทางร่างกายของผมไม่สามารถปกปิดจิตวิญญาณแห่งนักรบของผมได้ แต่ถ้าหากว่าคุณยอมรับรักจากผม ผมก็พร้อมที่จะตายเพื่อปกป้องคุณทุกเมื่อ” คอนสแตนตินกล่าวกับแอวริลด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะมองไปยังหลี่โม่กับไป๋เย่ด้วยแววตาที่เย็นชา
“ยอมตายเพื่อผู้หญิง? ไป๋เย่นี่พวกเราต้องมาเจอไอ้บ้าอีกคนแล้วงั้นเหรอ? มันคงจะมีเพียงแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะยอมตายเพื่อผู้หญิงคนเดียว”
“อ๋อฉันลืมไป ว่าพวกคุณสองคนคงจะไม่มีของมีค่าอะไรแล้วสินะ นอกจากการเสียสละชีวิตของตัวเอง”
หลี่โม่หันไปพูดกับลูกพี่ลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่เหยียดหยาม ก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับว่าที่ตรงนั้นมีพวกเขาอยู่เพียงแค่สองคน
“พวกแกมาดวลกับฉันเดี๋ยวนี้! ในเมื่อแกกล้าดูถูกฉันกับผู้หญิงที่ฉันรัก ฉันจะเอาเลือดของพวกแกไปสักการะเทพธิดาดีทริชผู้ยิ่งใหญ่!!” คอนสแตนตินพูดขึ้นมาพร้อมกับเส้นเลือดที่ปูดโปนไปทั่วทั้งใบหน้า จากนั้นเขาก็ถกแขนเสื้อขึ้นมาเผยให้เห็นปานสีแดงที่ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย
“ดวล? นี่แกหลุดออกมาจากสมัยดึกดำบรรพ์หรือยังไง อย่าลืมนะว่าที่นี่คือเขตดาวนครหลวงไม่ใช่ดาวบ้านนอกที่แกอาศัยอยู่ จะทำอะไรก็หัดเจียมกะลาหัวตัวเองเอาไว้บ้าง!” หลี่โม่กล่าวขึ้นมาอย่างเหยียดหยาม
ถึงแม้ร่างของคอนสแตนตินจะค่อนข้างผอมและผิวหนังของเขาจะค่อนข้างเป็นสีเข้ม แต่ออร่าที่เขาได้ปลดปล่อยออกมากลับดูคล้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังกระหายเลือด!
คลื่นพลังงานอันรุนแรงปะทุออกมาจากร่างชายคนนี้อย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดลมพายุหมุนทำให้แว่นที่เขาสวมไว้กระเด็นหลุดออกมา เผยให้เห็นดวงตาสีแดงคู่หนึ่งและผมยาวอันยุ่งเหยิงที่กำลังปลิวไสวไปตามสายลม
“ออกมาดวลเดี๋ยวนี้!” คอนสแตนตินตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงที่บ้าคลั่ง
“แกเป็นคนทำตัวเองนะ!” หลี่โม่กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยาม ก่อนที่เขาจะโบกมือเป็นสัญญาณให้ใครบางคน
ทันทีที่เขาพูดจบมันก็มีตาข่ายไฟฟ้าตกลงมาจากท้องฟ้าคุมตัวคอนสแตนตินเอาไว้ และในพริบตาต่อมาตำรวจนอกเครื่องแบบก็พุ่งตัวออกมาท่ามกลางฝูงชน เพื่อพยายามเข้าควบคุมตัวคอนสแตนติน
ชายหนุ่มร่างผอมส่งเสียงร้องคำรามออกมาเหมือนกับสัตว์ร้าย ขณะที่สายตาของเขายังคงจ้องมองไปยังหลี่โม่อย่างไม่วางตา และถึงแม้ว่าตาข่ายไฟฟ้าจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด แต่เขาก็ยังคงพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีนิสัยที่ดื้อรั้นมากแค่ไหน
เมื่อได้เห็นคอนสแตนตินพยายามฉีกตาข่ายไฟฟ้าออกมา พวกตำรวจก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องเพิ่มแรงดันไฟฟ้า ก่อนจะลากร่างของคอนสแตนตินออกไปจากฝูงชน
นี่คือการแข่งขันระดับจักรวาล มันจึงมีกองกำลังของตำรวจซ่อนอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างมากมาย เพื่อคอยเข้าควบคุมสถานการณ์ที่ไม่สงบ คอนสแตนตินจึงถูกจับกุมในข้อหาสร้างความไม่สงบในพื้นที่
เซี่ยเฟยรับชมละครตรงหน้าด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนที่เขาจะพาแอวริลเดินออกไปราวกับเรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขาเลย
ท่าทางของเซี่ยเฟยทำให้หลี่โม่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะเดินนำไป๋เย่ออกไปยังทิศทางตรงกันข้าม
—
หลังจากเรื่องตลกในตอนเที่ยงเซี่ยเฟยก็เริ่มให้ความสนใจคอนสแตนตินมากยิ่งขึ้น เพราะชายคนนี้คล้ายกับหลุดออกมาจากยุโรปในยุคกลาง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าชายคนนี้เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน มันถึงหล่อหลอมให้เขาได้กลายเป็นคนแบบนี้
เซี่ยเฟยพาแอวริลเข้าไปรับประทานอาหารก่อนที่จะพาเธอไปส่งยังหอพัก และเนื่องจากแอวริลตื่นมาเชียร์เซี่ยเฟยตั้งแต่เช้า เธอจึงนอนหลับลงไปด้วยความอ่อนล้า
ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็ได้เปิดไมโครคอมพิวเตอร์พร้อมกับค้นหาชื่อคอนสแตนติน ซึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่นานข้อมูลที่เขาต้องการก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
ข้อมูลเกี่ยวกับคอนสแตนตินมีน้อยมากคล้ายกับว่าเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยได้อ่านข้อมูลทั้งหมดแล้วเขาก็ยกขาขึ้นมาพาดกับโต๊ะเอาไว้ แต่ในขณะที่เขากำลังจะจุดบุหรี่เขาก็หันไปมองหญิงสาวที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง เขาจึงเลือกที่จะเก็บบุหรี่เข้าไปไว้ในซองตามเดิม
“ฉันไม่คิดเลยว่าคอนสแตนตินจะเป็นเจ้าชาย ตอนแรกฉันคิดว่าเขาเป็นนักเลงจากดาวที่ล้าหลังบางดวงเสียอีก” เซี่ยเฟยกล่าวกับอันธ
“ถึงเขาจะดูอ่อนแอ แต่นายก็ไม่ควรจะประมาทเขา” อันธกล่าว
“เขามาจากอาณาจักรเทียนโลหิตงั้นเหรอ? ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้น ๆ ชื่ออาณาจักรนี้จังเลย?” เซี่ยเฟยพึมพำก่อนที่จะทำการป้อนคำว่าอาณาจักรเทียนโลหิตลงไปในช่องค้นหา
บันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ร้อยหน้า ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอาณาจักรอื่น ๆ ในจักรวาล
หลังจากอ่านข้อมูลจนจบเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าอาณาจักรแห่งนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคดาวเหวทมิฬ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคดาวของเขตทุ่งดาวแห่งความตาย เช่นเดียวกับภูมิภาคดาวมฤตยูที่เขาเคยเดินทางไปค้นหาลุงพอตเตอร์
หากจะให้ระบุอย่างชัดเจนกว่านั้นอาณาจักรแห่งนี้ก็ถือว่าตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางภูมิภาคดาวทั้งสามของทุ่งดาวแห่งความตาย เพียงแต่มันตั้งอยู่ใกล้กับภูมิภาคดาวเหวทมิฬมากที่สุด แต่ระยะทางก็อยู่ห่างจากภูมิภาคดาวทั้งสองน้อยกว่า 20,000 ปีแสง
ภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่ความแตกต่างเพียงแค่ 20,000 ปีแสงถือว่าเป็นระยะทางเพียงแค่สั้น ๆ เพราะมันเป็นระยะทางที่จำเป็นจะต้องใช้การวาร์ปเพียงแค่สองครั้งก็สามารถจะร่นระยะทางเพียงแค่นี้ได้แล้ว
อย่างไรก็ตามเส้นทางระหว่างอาณาจักรเทียนโลหิตกับภูมิภาคดาวเหวทมิฬก็ถูกคั่นเอาไว้ด้วยหินอุกกาบาต ทำให้การวาร์ปเสี่ยงที่จะพุ่งไปเข้าชนกับพายุอุกกาบาตที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่ายานรบจะทรงพลังเพียงใดพวกมันก็ไม่สามารถต้านรับปรากฏการณ์พายุอุกกาบาตได้ ดังนั้นการเดินทางไปยังอาณาจักรเทียนโลหิตจึงจำเป็นจะต้องเดินทางด้วยวิธีปกติเป็นระยะทางประมาณ 400,000 ปีแสง และด้วยสถานที่ตั้งของภูมิศาสตร์ที่เข้าถึงยากเช่นนี้นี่เอง มันจึงทำให้มีคนที่รู้จักอาณาจักรเทียนโลหิตอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน
ย้อนกลับไปในสมัยอดีตมนุษย์โบราณได้ยกเลิกโทษประหารตามคำเรียกร้องของนักจริยธรรมแล้ว อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าโทษประหารจะหายไปแต่อาชญากรกลับไม่ลดลงเลย ซึ่งในความเป็นจริงการยกเลิกโทษประหารทำให้คนผิดอาละวาดขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์ในสมัยโบราณจึงคิดหาวิธีในการกำจัดอาชญากรเหล่านี้โดยวิธีการเนรเทศ
ตำนานได้เล่าขานกันเอาไว้ว่าอาณาจักรเทียนโลหิตคือดินแดนของนักโทษเนรเทศ ซึ่งในตอนที่นักโทษเหล่านี้ถูกนำมาทิ้งพวกเขาก็พยายามเอาชีวิตรอด ก่อนที่จะก่อตั้งอาณาจักรเทียนโลหิตขึ้นมาได้
“ที่แท้คอนสแตนตินก็เป็นลูกหลานของอาชญากรในสมัยโบราณนี่เอง ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาถึงมีนิสัยแบบนั้น ไม่อย่างนั้นราชวงศ์ของเขาก็คงจะไม่สามารถปกครองอาณาจักรที่สร้างขึ้นมาจากนักโทษได้” เซี่ยเฟยอุทานออกมาหลังจากที่ได้อ่านข้อมูล
“ถึงแม้ว่าคำพูดคำจาของเขาจะคล้ายกับชนชั้นสูง แต่สายเลือดของเขาก็ยังคงเป็นสายเลือดของนักโทษอยู่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาแสดงออกมามันจึงไม่ต่างไปจากภาพลวงตา” อันธกล่าว
จากข้อมูลที่พวกเขาได้รับอาณาจักรเทียนโลหิตถูกรู้จักอีกชื่อหนึ่งในนามอาณาจักรต้องสาป เพราะอัตราการรอดชีวิตของทารกแรกเกิดในอาณาจักรแห่งนี้มีอยู่น้อยกว่า 50% และถึงแม้ว่าทารกเกิดใหม่จะมีชีวิตรอดมาได้ แต่มันก็จำเป็นจะต้องแลกมาด้วยบาดแผลหรือความพิการบนร่างกายกันทุกคน
มีข่าวลือในอินเตอร์เน็ตว่าสาเหตุที่พวกเขาต้องเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคืออาชญากรที่ทำความชั่วเอาไว้อย่างมากมาย ผลกรรมจึงตกลงมายังลูกหลานของพวกเขาอีกหลายชั่วอายุคน
อย่างไรก็ตามอัตราการเปิดใช้งานพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของผู้คนในอาณาจักรเทียนโลหิตก็อยู่ในระดับที่สูงมาก ซึ่งมันถือว่าเป็นการตอบแทนที่ทำให้อวัยวะส่วนหนึ่งของพวกเขาได้พิการหายไป
ไม่ว่าจะมองยังไงข่าวลือเกี่ยวกับอาณาจักรเทียนโลหิตก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดไม่ต่างไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยาย แต่อย่างไรก็ตามความสามารถในการต่อสู้ของผู้คนในอาณาจักรนี้ก็เป็นของจริง เพราะมันมีคนที่ไม่สามารถพัฒนาพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ภายในอาณาจักรอยู่น้อยมาก และพลังพิเศษที่พวกเขาได้รับมากกว่า 99% ก็เป็นพลังพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้
โดยเฉลี่ยเด็กในอาณาจักรเทียนโลหิตจะสามารถเปิดใช้งานพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ก่อน 5 ขวบ และพวกเขาจะสามารถพัฒนาพลังจนถึงระดับสตาร์ฟิลด์ขั้นต้นได้ก่อนอายุ 18 ปี ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกเขามีอายุ 30 ปี พวกเขาก็จะสามารถพัฒนาระดับพลังได้จนถึงระดับสตาร์ริเวอร์ขั้นกลาง
อย่าลืมว่าข้อมูลชุดนี้เป็นเพียงข้อมูลค่าเฉลี่ยของนักรบภายในอาณาจักรเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่าอาณาจักรของพวกเขาไม่ได้ตั้งอยู่ในสถานที่อันห่างไกล พวกเขาก็คงจะเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่มีอำนาจสูงสุดในพันธมิตรได้เลยทีเดียว
แต่น่าเสียดายที่อายุไขโดยเฉลี่ยของผู้คนในอาณาจักรเทียนโลหิตอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เพราะเมื่อพวกเขามีอายุเพียงแค่ประมาณ 35 ปี พวกเขาก็จะเสียชีวิตลง ดังนั้นถึงแม้ว่านักรบในอาณาจักรจะสามารถพัฒนาพลังขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่มีนักรบระดับสูงถือกำเนิดขึ้นภายในอาณาจักรของพวกเขาอยู่ดี
เวลาก่อนการแข่งขันในรอบบ่ายเหลืออีกไม่มากแล้ว เซี่ยเฟยจึงจำเป็นจะต้องปิดหน้าจอค้นหาลงไปก่อน ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็คิดว่าการอ่านข้อมูลของอาณาจักรเทียนโลหิตเป็นเหมือนกับการอ่านนิยาย ซึ่งมันช่วยดึงดูดความสนใจของเขาได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
“ช่างเป็นอาณาจักรที่น่าสนใจจริง ๆ เดี๋ยวคืนนี้ฉันค่อยกลับมาหาข้อมูลของพวกเขาต่อแล้วกัน” เซี่ยเฟยกล่าว
“ว่าแต่คอนสแตนตินจะเป็นยังไงบ้าง? ก่อนหน้านี้เขาโดนตำรวจลากตัวไปแล้วนี่” อันธกล่าว
“ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก ถึงยังไงเขาก็เป็นเจ้าชายเชียวนะ เมื่อไหร่ก็ตามที่ตำรวจรู้ถึงตัวตนของเขา เขาก็คงจะถูกปล่อยตัวออกมาเอง นอกจากนี้อาณาจักรเทียนโลหิตยังถูกมองว่าเป็นพวกอันธพาล ฉันว่าไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องกับพวกเขาหรอก” เซี่ยเฟยกล่าว
อันธพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ซึ่งในเวลาเดียวกันเสียงนาฬิกาปลุกของแอวริลก็ดังขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าการแข่งขันของเซี่ยเฟยใกล้ที่จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
หญิงสาวลุกขึ้นมาจากที่นอนด้วยท่าทางอันงัวเงีย ซึ่งเธอก็พยายามหารองเท้าบนพื้นพร้อมกับอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“ต้องรีบแล้ว! ไม่งั้นฉันจะไปเชียร์เซี่ยเฟยไม่ทัน!”
เซี่ยเฟยเดินไปกอดเธอด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะพูดปลอบใจเธอขึ้นมาว่า
“ใจเย็น ๆ มันยังมีเวลาอยู่ ถ้าเธอง่วงก็นอนต่อเถอะ”
แน่นอนว่าแอวริลย่อมปฏิเสธ เธอจึงรีบสวมรองเท้าและวิ่งไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว จากนั้นเธอก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเซี่ยเฟย และได้มาเจอกับกลุ่มบอดี้การ์ดที่ยืนรออยู่นอกประตู
เมื่อได้เห็นแอวริลกับเซี่ยเฟย ผางชิงก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เพราะการได้อยู่แบบสองต่อสองกับหญิงสาวผู้สวยงามขนาดนี้ก็คงจะเป็นความฝันของชายจำนวนนับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยผางชิงจึงดักฟังเสียงที่เกิดภายในห้องตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ระหว่างชายหญิงก่อนเวลาอันควร
สนามแข่งจัดอยู่ที่เดียวกันกับการแข่งขันเมื่อตอนเช้า เซี่ยเฟยจึงเดินไปยังสนามแข่งพร้อมกับแอวริล แต่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในตัวอาคารเขากลับได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคย
“โอ้คุณผู้หญิง! ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น ได้โปรดช่วยยอมรับความรักอันบริสุทธิ์ของผมไปด้วย ผมยินดีจะสละชีวิตนี้เพื่อคุณ”
เมื่อเซี่ยเฟยกับแอวริลมองตามเสียงไป พวกเขาก็ได้พบกับเจ้าชายคอนสแตนตินที่กำลังคุกเข่าสารภาพรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง
เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เพราะมันคงจะไม่มีใครได้คาดคิดว่าชายหนุ่มร่างผอมคนนี้คือเจ้าชายในอาณาจักรเทียนโลหิตจริง ๆ และเมื่อเซี่ยเฟยกับแอวริลได้สบตากัน พวกเขาก็ต้องเอามือมาปิดปากพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
หญิงสาวที่ถูกสารภาพรักรีบหลบไปอยู่ข้างหลังชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้าง ๆ เธอ
“ไอ้บ้าถอยไปซะ!” ชายคนนั้นตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ พร้อมกับผลักร่างของคอนสแตนตินออกไป
“เทพธิดาดีทริชบอกกับพวกเราว่ามีเพียงแค่เลือดที่ช่วยล้างความอัปยศของพวกเราได้ ฉันขอท้าดวลกับคุณ!” คอนสแตนตินพูดขึ้นมาด้วยท่าทางอันจริงจัง
เหตุการณ์ต่อมาก็คล้ายกับภาพก่อนหน้าได้ฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าเขาลืมไปว่าที่นี่คือกลุ่มดาวนครหลวงที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และเมื่อเขาได้ก่อปัญหาขึ้นมาเขาก็อาจจะถูกเชิญไปดื่มน้ำชาในสถานีตำรวจ
เห็นได้ชัดว่าชายหญิงคู่นี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ชายฉกรรจ์คนนั้นจึงก้าวเท้าถอยหลังออกไปด้วยความหวาดกลัว ขณะเดียวกันหญิงสาวตัวเล็กก็รู้สึกหวาดกลัวมาก เธอจึงกอดเอวของชายฉกรรจ์เอาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พ่อ พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
คอนสแตนตินคิดไม่ถึงเลยว่าสองคนนี้จะเป็นพ่อลูกกัน เพราะอายุของพวกเขาห่างกันไม่มากนัก ชายร่างผอมจึงเข้าใจว่าชายหญิงคู่นี้คือคู่รักกัน
ทันใดนั้นคอนสแตนตินก็เปลี่ยนท่าทางกลายเป็นท่าทางสบาย ๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม
“อ่า ขอโทษครับคุณพ่อ พอดีว่าผมสนใจลูกสาวของคุณพ่อมาก แต่คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ หลังจากนี้ผมจะเป็นคนดูแลเธอเองและผมจะคอยปกป้องเธอด้วยชีวิตของผม”
หลังกล่าวจบคอนสแตนตินก็ก้มศีรษะของเขาเพื่อคำนับด้วยท่าทางของชนชั้นสูง
น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้เขาได้ทำเสียเรื่องไปแล้ว และมันก็คงจะไม่มีพ่อคนไหนอยากได้ลูกเขยเป็นอันธพาล ซึ่งแน่นอนว่าคนพวกนี้ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคอนสแตนตินว่าเป็นเจ้าชาย ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็อาจจะถูกความโลภเข้าครอบงำและยกลูกสาวให้กับคอนสแตนตินก็ได้
“ถอยไปซะไอ้บ้า!” ชายฉกรรจ์กระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างแรง ก่อนที่จะจูงมือลูกสาวออกจากพื้นที่บริเวณนั้นไป
คอนสแตนตินหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางอันเศร้าสร้อย และเขาก็มองไปทางหญิงสาวที่ถูกจูงมือออกไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโหยหา
“ผมว่าเจ้าชายคอนสแตนตินควรจะไปเข้าโรงเรียนการแสดงนะครับ ทำไมคุณถึงต้องมาเข้าร่วมการแข่งขันของเหล่าช่างกลด้วย ทั้ง ๆ ที่คุณมีความสามารถในการเป็นนักแสดงชั้นยอด” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
คอนสแตนตินรีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากเพื่อเป็นท่าทางบอกให้เซี่ยเฟยเงียบเสียงลง ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็สอดส่องไปยังพื้นที่โดยรอบคล้ายกับว่าเขากำลังระแวงอะไรบางอย่าง
“นายรู้จักฉันได้ยังไง?” คอนสแตนตินถามขึ้นมาอย่างประหม่า
“ในจักรวาลนี้มีสิ่งที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ตนะครับเจ้าชาย ผมคิดว่าในอาณาจักรเทียนโลหิตก็น่าจะมีระบบอินเตอร์เน็ตด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“อาณาจักรของพวกเราเชื่อมต่อกับสตาร์เน็ตเวิร์กได้ทุก ๆ 2-3 ปีเท่านั้น การมีเครือข่ายกระจอก ๆ แบบนั้นมันก็เหมือนกับไม่มีนั่นแหละ” คอนสแตนตินกล่าวพร้อมกับเบะริมฝีปาก
คำตอบนี้ทำให้แอวริลรู้สึกอับอายอยู่เล็กน้อย เพราะสตาร์เน็ตเวิร์กคือธุรกิจประจำตระกูลของเธอ
ท้ายที่สุดทุ่งดาวแห่งความตายก็อยู่ห่างจากพันธมิตรมนุษย์มาก ทำให้สัญญาณในทุ่งดาวแห่งความตายเกิดความไม่เสถียรและไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้หลาย ๆ ครั้ง
ขณะเดียวกันจากทุ่งดาวแห่งความตายไปยังอาณาจักรเทียนโลหิตก็มีอุปสรรคคอยขัดขวางอยู่อย่างมากมาย มันจึงทำให้สตาร์เน็ตเวิร์กแทบที่จะไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังอาณาจักรแห่งนี้ได้เลย
“เฮ้อ! ผู้หญิงที่ฉันรักจากไปอีกคนแล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตของฉันจะถูกกำหนดไว้ให้ต้องเผชิญกับความเหงาสินะ” คอนสแตนตินพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ
เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เพราะท้ายที่สุดชายหนุ่มตรงหน้าก็ตกลุมรักผู้หญิงเกือบทุกคนตั้งแต่ที่เขาได้พบหน้า และมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะต้องถูกผู้หญิงปฏิเสธ
“ฉันก็ไม่รู้ว่านะว่าคุณคิดยังไง แต่ฉันคิดว่าคุณไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้หญิงที่คุณสนใจถึงไม่ชอบคุณ” เซี่ยเฟยกล่าว
เมื่อเห็นคอนสแตนตินแสดงสีหน้าออกมาอย่างไม่เข้าใจ เซี่ยเฟยก็ตัดสินใจเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายคนหนึ่งตกหลุมรักหญิงสาว เขาจึงเดินทางไปสารภาพรักกับเธอที่บ้านอย่างกล้าหาญ ซึ่งในขณะนั้นหญิงสาวได้ยืนอยู่บนระเบียงพร้อมกับก้มหน้าลงมาพูดกับชายหนุ่มคนนั้นว่า ถ้าหากว่าเขาสามารถรอเธออยู่ที่ชั้นล่างได้ครบ 100 วัน เธอก็สัญญาว่าเธอจะแต่งงานกับชายหนุ่มคนนี้”
“ชายหนุ่มเฝ้าอดทนรอหญิงสาวอยู่ที่ชั้นล่างวันแล้ววันเล่า และถึงแม้ว่าฝนจะกระหน่ำลงมาแต่เขาก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ซึ่งถ้าหากว่าวันไหนมีแสงสว่างอันเจิดจ้า ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มคนนี้ก็จะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่หลั่งไหลลงมาราวกับสายฝน”
“หญิงสาวมองไปยังชายหนุ่มที่ซื่อสัตย์อย่างซึ้งใจ และสัญญากับตัวเองว่าถ้าเขาสามารถทนได้ 100 วันจริง ๆ เธอจะยอมแต่งงานกับเขา”
“เมื่อกาลเวลาได้ผ่านพ้นไปหญิงสาวก็ตกหลุมรักชายหนุ่มผู้เด็ดเดี่ยวคนนี้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งในระหว่างที่เธอกำลังรอคอยเธอก็เพ้อฝันถึงคืนวันที่พวกเขาจะได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา”
“แต่เมื่อเช้าวันที่ 100 ได้มาถึงหญิงสาวก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะชายหนุ่มที่ยืนรอเธอมานานถึง 99 วันกลับหายไปทิ้งเอาไว้เพียงแค่จดหมายฉบับเดียว”
“พวกเขากำลังจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมผู้ชายถึงรอแค่ 99 วันแบบนี้?” แอวริลถามขึ้นมาอย่างสงสัยราวกับว่าเธอเป็นคนสนใจนิทานเรื่องนี้มากที่สุด
***************