บทที่ 197 – พลังอำนาจที่เพิ่มขึ้น
แล้วเขาก็ตะโกนออกมาให้ได้ยินโดยทั่วกัน “เหล่านักรบผู้แข็งแกร่งและกล้าหาญของหมู่บ้านเทพเจ้าจงฟัง หลังจากที่พวกเราเฝ้ารอกันมาอย่างยาวนานหลายพันปี ในที่สุดผู้สืบทอดแห่งเทพเจ้าก็ได้มาปรากฏตัวขึ้นแล้ว นั่นก็คือท่านเมธีเวทย์เว่ยจางกง! พวกเจ้าทั้งหมดน่าจะได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้สืบทอดด้วยสายตาของตัวเองแล้ว ในช่วงเวลานี้ มีการเคลื่อนไหวของราชามารที่เคยถูกเผ่าเทพเจ้าผนึกไว้ออกมา ในฐานะลูกหลานของผู้รับใช้แห่งเทพเจ้า พวกเราควรจะต้องใช้พลังและชีวิตของตัวเองเพื่อโลกใบนี้ พวกเจ้าเต็มใจที่จะทำอย่างนั้นหรือไม่? ตอนนี้มันยังไม่สายเกินไปนัก ถ้ามีใครที่ยังคิดเสียใจที่ร่วมในการเดินทางออกมาครั้งนี้ สามารถถอนตัวกลับไปได้ในทันที”
เสียงของผู้คนทั้ง 167 คนตะโกนก้องออกมาพร้อมกัน “พวกเราให้คำสาบานต่อผู้สืบทอดแห่งเทพเจ้า พวกเราจะติดตามท่านไปจนวันตาย! สาบานว่าจะติดตามผู้อาวุโสด้วยชีวิตของพวกเราเอง!”
ผมตะโกนตอบพวกเขา “ข้าขอสาบานว่าข้าไม่ได้มีเจตนาให้พวกท่านติดตามเพื่อรับใช้ความต้องการของตัวเอง ข้าต้องการให้ทุกท่านรับรู้เอาไว้ว่าการเดินทางในครั้งนี้ ก็เพื่อความสงบสุขของโลกทั้งมวล มีเพียงความต้องการของข้าเพียงอย่างเดียวที่จะขอจากพวกท่านเอาไว้ รักษาชีวิตของตัวเองให้ดีที่สุด ชีวิตทุกชีวิตมีค่า ทุกคนต้องถนอมมันเอาไว้ให้ดี!”
ได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งกล่าวออกไป เหล่าผู้อาวุโสต่างหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่ผู้อาวุโสสามจะเป็นคนกล่าวพึมพำออกมา “ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีความคิดที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
อันที่จริงแล้ว หลังจากที่พวกเขารับรู้ว่าผมคือผู้สืบทอดแห่งเทพเจ้า ในขณะที่ผมกำลังหมดสติอยู่นั้น เหล่าผู้อาวุโสได้ปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ผู้อาวุโสที่สามเป็นคนที่เสนอให้ผมจากไปเพียงลำพังตามเจตนาเดิม โดยไม่ต้องมารบกวนความสงบสุขหลายพันปีของพวกเขาอีก แต่ผู้อาวุโสใหญ่แนะนำให้สอบถามข้อมูลจากผมก่อนเพื่อรับรู้สถานการณ์ของโลกภายนอก แล้วค่อยตัดสินใจอีกที และเมื่อพวกเขาได้รับรู้ว่าผมได้รับภารกิจในการกำจัดราชามารมาจากราชาแห่งเทพเจ้า พวกเขาตัดสินใจช่วยเหลือผม เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นคำสั่งที่ตกทอดลงมาในหมู่บ้านเทพเจ้าตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เต็มใจไปเสียทุกอย่าง ไม่มีใครต้องการวางชีวิตของตัวเองไว้ในมือของคนอื่นไม่ใช่หรือ? เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ผมกล่าวกับพวกเขาเมื่อครู่นี้ มันทำให้พวกเขาเต็มใจที่จะติดตามผมมากขึ้นไม่น้อย
ส่วนผมนั้นยังตะโกนต่อไปอีก “เหล่านักรบผู้กล้าทุกท่าน พวกท่านจะตอบสนองต่อคำขอของข้าได้หรือไม่?”
เหล่านักรบของหมู่บ้านเทพเจ้าที่กำลังรวมกลุ่มกันอยู่อย่างเป็นระเบียบนั้น เริ่มมีเสียงอื้ออึงของการปรึกษาและถกเถียงกันดังขึ้นมา ฟังดูแล้วมีความโกลาหลอยู่ไม่น้อย พวกเขาปรึกษากันในเรื่องเดียวกับที่เหล่าผู้อาวุโสเคยถกกันมาก่อนหน้านี้นั่นแหละ ผู้อาวุโสรองพยายามจะเข้าไปรักษาความเรียบร้อยในหมู่พวกเขา แต่ผมห้ามเอาไว้ “มันจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่าถ้าจะปล่อยให้พวกเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง มันจะดีกว่าการบังคับมาก”
ในที่สุดการถกเถียงปรึกษากันก็สงบลง และมีเสียงตะโกนตอบออกมาจากกลุ่มของนักรบทันที “ข้าต้องการจะติดตามท่านตลอดไป ผู้สืบทอดแห่งเทพเจ้า” เสียงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการตอบสนองที่ต่อเนื่องกันของนักรบคนอื่น ๆ พวกเขาเริ่มส่งเสียงว่าจะสนับสนุนผมออกมาทีละคน และไม่มีใครต้องการจะถอนตัวออกไปเลย
ผมหันไปมองที่เหล่าผู้อาวุโสก่อน แล้วจึงหันกลับมากล่าวเสียงดังกับพวกเขา “ขอขอบคุณทุกท่านที่เสียสละตัวเองเพื่อความสงบของโลกใบนี้ การเดินทางครั้งนี้ของพวกเรา ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศ ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง ไม่ใช่ความร่ำรวย หรืออำนาจวาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น พวกเรามีจุดมุ่งหมายเดียวที่ต้องทำให้ประสบความสำเร็จ นั่นคือสิ่งที่เหล่าเทพเจ้าได้มอบหมายให้พวกเราเอาไว้ นั่นคือการต่อสู้กับสิ่งที่ชั่วร้าย การต่อสู้กับเหล่ามาร เพื่อที่จะรักษาความสงบสุขให้เกิดขึ้นแก่ทุกเผ่าพันธุ์บนโลกใบนี้ เมื่อโลกนี้สงบสุข พวกเราก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของพวกเราต่อไปได้”
ผู้อาวุโสใหญ่ส่งเสียงสนับสนุนออกมาได้ถูกจังหวะมาก “ถูกต้องแล้ว! ต่อสู้กับสิ่งที่ชั่วร้าย! ต่อสู้กับเหล่ามารทั้งหลาย! เพี่อให้โลกนี้อยู่ได้อย่างสงบสุข!!”
เสียงตอบสนองของเหล่านักรบดังออกมาพร้อมกัน “ต่อสู้กับสิ่งที่ชั่วร้าย! ต่อสู้กับเหล่ามารทั้งหลาย! เพี่อให้โลกนี้อยู่ได้อย่างสงบสุข!!”
หลังจากปลุกใจเหล่านักรบของหมู่บ้านเทพเจ้าได้แล้ว ผมได้แต่ยินดีอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าเหล่าเทพเจ้าจะมีความสำคัญต่อชาวบ้านในหมู่บ้านนี้มากเหลือเกิน ครั้งนี้ผมอ้างชื่อของเทพเจ้าในการรวบรวมเหล่าผู้มีพรสวรรค์ได้เป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมน่ายินดีเหลือเกินจริง ๆ โอกาสในการกำจัดราชามารของผมตอนนี้ไม่ต่ำเตี้ยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองมีพลังมากพอในการที่จะต่อสู้กับราชามาร เป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้รับภารกิจนี้มาเลยจริง ๆ
แล้วพวกเราทั้ง 168 คนก็เริ่มออกเดินทางจริง ๆ แล้ว
กลุ่มของพวกเราแบ่งออกเป็นสามส่วน เคลื่อนที่ตามกันไปอย่างเป็นระเบียบ กลุ่มที่ล่วงหน้าไปมีอยู่ 50 คน โดยมีผู้อาวุโสคนหนึ่งเป็นผู้ควบคุม ผมอยู่ตรงกลางขบวนกับนักรบอีกส่วนหนึ่ง และยังมีกลุ่มสุดท้ายค่อยเคลื่อนที่ระวังอยู่ด้านหลัง การเดินทางแบบนี้ผ่านไปสามวันเต็ม ๆ ในที่สุดพวกเราก็สามารถออกมาจากป่าทึบ และเข้าสู่เขตการปกครองหลุนต้าแล้ว
หลังจากเดินทางผ่านพื้นที่ราบมาได้ระยะหนึ่ง พวกเราก็เห็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านหน้า ผมกล่าวกับผู้อาวุโสใหญ่ “พวกเราพักกันที่เมืองนี้ก่อน แล้วค่อยเดินทางกันต่อ”
เขาพยักหน้าเห็นด้วย “ได้! พวกเราต้องการพักผ่อนบ้างอยู่แล้ว รวมทั้งต้องหาซื้อสิ่งของที่จำเป็นด้วย”
ผมตะโกนบอกพวกเขา “ทุกคน! เข้าไปในเมืองแล้ว อย่าพยายามแยกตัวออกไปไหน เพื่อป้องกันการพลัดหลงกัน พวกเราจะพักกันอยู่ที่เมืองนี้ก่อน แล้วค่อยเดินทางกันต่อ”
แล้วผมกับเหล่าผู้อาวุโสก็นำพวกเขาเข้าไปในเมือง แต่หลังจากที่เข้าไปได้ไม่นาน ก็พบว่ามีผู้คนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างกันอยู่ พวกเขามีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมรีบแหวกฝูงชนเข้าไปข้างหน้า และก็ได้รับรู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังมุงดูกันอยู่ คือประกาศใบหนึ่งที่เขียนเอาไว้ ...ประกาศจับ! เว่ยจางกง นักศึกษาของสถาบันเวทย์มนต์หลวง ในข้อหาทรยศต่ออาณาจักรและเผ่าพันธุ์มนุษย์ เข้าร่วมกับเผ่าปีศาจ ขอให้ประชาชนของอาณาจักรอ้ายเซี่ยทุกคน.......แล้วก็มีรูปของผมอยู่ใต้ข้อความดังกล่าวนั้น
อ๊าก!!! ผมอยากจะเป็นลม ผมถูกประกาศจับจริง ๆ ผมนึกว่าไหสุ่ยแค่ขู่เล่น ๆ ราชาเคอจานี่ช่างหยาบคายจริง ๆ ผมได้แต่ยิ้มออกมาอย่างหมดหวัง หันกลับไปบอกกับผู้อาวุโสใหญ่ที่แหวกทางเข้ามาพร้อมกัน “ข้ากลายเป็นอาชญากรของอาณาจักรไปแล้ว พวกเรารีบออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังทีหลัง” แล้วผมก็รีบก้มหน้าก้มตาดึงเขาออกมาจากฝูงชนทันที
หลังจากนั้นผมก็วานให้นักรบคนหนึ่งหาซื้อหมวกไม้ไผ่มาให้ เลือกเอาแบบที่มีผ้ามัสลินคลุมหน้าอยู่ด้วยมาใช้ เหล่าผู้อาวุโสยังไม่ได้ซักไซ้อะไรผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นทำให้ผมนึกขอบคุณพวกเขาอยู่ในใจ
หลังจากหาที่พักให้พวกเราทั้งหมดได้ และทำให้นักรบจากขุนเขาเหล่านั้นสงบใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยพบเห็นได้บ้างแล้ว ผมขอให้ผู้อาวุโสทั้งหมดเข้ามาพูดคุยกันในห้อง
ผมถอดหมวกไม้ไผ่บนหัวออก ถอนหายใจและกล่าวขึ้น “ข้านั้นมีบางอย่างที่ไม่ได้บอกให้พวกท่านทราบ เนื่องจากไม่มีเวลา”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้ม ก่อนจะกล่าว “ท่านไม่ต้องอธิบายอะไรให้พวกเราฟังหรอก พวกเราเชื่อใจท่าน”
แต่ผมส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยออกไป “ไม่ได้หรอก เรื่องนี้ข้าต้องอธิบายให้พวกท่านรับรู้เอาไว้ ข้าเองนั้น เดิมทีเป็นนักศึกษาอยู่ที่สถาบันเวทย์มนต์หลวง......ข้าได้ช่วยเหลือเจ้าหญิงของเผ่าปีศาจให้หนีออกไปได้ หลังจากที่เธอถูกจับกุมโดยอาณาจักร หลังจากนั้น อาจารย์ของข้าและเพื่อนของเขา ได้ช่วยเหลือข้าโดยการใช้ผังเวทย์มนต์เคลื่อนย้าย และนั่นทำให้ข้าบังเอิญเดินทางไปยังหมู่บ้านของพวกท่านได้ ข้าต้องขออภัยพวกท่านด้วยที่เพิ่งเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ฟัง” ผมเปิดเผยเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง
แต่ด้วยความที่ชาวหมู่บ้านเทพเจ้านั่นอาศัยอยู่แต่ในป่าเขามาเป็นเวลานานหลายพันปี ทำให้พวกเขาไม่ได้เกลียดชังเผ่าปีศาจอย่างลึกซึ้งนัก พวกเขาเลยไม่ได้สนใจอะไรที่ผมพยายามจะอธิบายเลย ผู้อาวุโสสามกล่าวออกมา “มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ที่มนุษย์ทุกคนจะให้ความสนใจเพศตรงข้าม ท่านไม่ต้องอธิบายตัวเองหรอก อีกอย่าง สิ่งที่ท่านทำไม่ได้มีอะไรผิดนี่นา”
ผมได้แต่เดินไปที่หน้าต่าง เงยหน้ามองฟ้าเพื่อทำใจ ก่อนจะถอนหายใจ และกล่าวกับพวกเขาอีก “ตอนนี้ความเกลียดชังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าปีศาจ และเผ่าอสูรกายในตอนนี้นั้นลึกล้ำมาก และข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้เหมือนกัน ทำไมต้องฆ่าล้างกันด้วย?”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผม “สิ่งที่ท่านกล่าวออกมานั้นถูกต้อง ถ้าพวกเราสามารถสลายความขัดแย้งของพวกเขาได้ นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว”
ด้วยรอยยิ้มอย่างฝืน ๆ บนใบหน้า ผมพูดออกมา “ข้าก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ความเกลียดชังนั้นมันฝังอยู่ลึกเกินไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายความเกลียดชังนั้น เอาล่ะ! พวกท่านผู้อาวุโสพักผ่อนกันก่อนเถอะ ข้าจะออกไปหาซื้ออะไรบางอย่างก่อน”