บทที่ 11
บทที่ 11
เมื่อสวี่ล่ายเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบชายวัยกลางคนข้างหน้าเขา ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวเองแปดถึงเก้าส่วน เขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้ เหงื่อเริ่มผุดตามหน้าผากและฝ่ามือ แข้งขาอ่อนเปลี้ยไม่อาจก้าวเดิน ไม่ง่ายเลยที่จะเค้นสักคำออกจากลำคอ
“ท่านพ่อ ...”
“เจ้าลูกชาย กลับมาได้เสียที!”
สวี่เหยาเหวินก้าวไปข้างหน้า โอบกอดสวี่ล่ายแน่นในอ้อมแขนเขา
ช่วงเวลานี้ สวี่ล่ายคล้ายรู้สึกล่องลอยอยู่ในอากาศ ในที่สุดก็สามารถปลดความหนักอึ้งในช่วงที่ผ่านมาลงได้เสียที เกิดความปิติอันยากจะอธิบายในใจ
“ท่านพ่อ ลูกอกตัญญูกลับมาแล้ว ...” สวี่ล่ายสะอึกสะอื้นเล็กน้อยในลำคอ กลั้นความสุขข้างในแทบไม่ไหว
“กลับมาก็ดีแล้ว แค่กลับมาได้ก็พอ”ดวงตาของสวี่เหยาเหวินเปียกชื้นเล็กน้อย ตบไหล่ของสวี่ล่าย สำรวจมองลูกชายขึ้นๆลงๆ
เห็นเพียงสวี่ล่ายในปัจจุบัน นอกจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งแล้ว เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ตัวสูงกว่าเดิมมาก ทั้งร่างกายยังกำยำขึ้นไม่น้อย เห็นแบบนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
“เหอ เหอ ล่ายเอ๋อ ในช่วงหลายเดือนมานี้ พ่อเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ เพื่อตามหาเจ้า เขาส่งยอดฝีมือหลายสิบกลุ่มเข้าไปในป่าหมอก แต่น่าเสียดายที่ไม่พบวี่แววใดๆ พวกเรานึกว่าเจ้า ...”
หันไปตามเสียง เห็นเพียงชายวัยกลางคนที่คล้ายสวี่เหยาเหวินอยู่เจ็ดถึงแปดส่วน อีกฝ่ายกำลังกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านลุงสอง” สวี่ล่ายปาดน้ำตาตรงหางตาเขา ก้าวออกมาคารวะ
“ไม่ต้องมากพิธี เป็นเรื่องดีที่เจ้ากลับมา เร็วเข้า รีบไปล้างเนื้อล้างตัว แล้วคืนนี้ให้มาที่บ้านของลุงสอง ข้าจะเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเจ้า” สวี่เหยาหวู่ยิ้ม ชกอกสวี่ล่ายเบาๆ กล่าวอย่างมีความสุข
“ขอรับ ลายเอ๋อขอบคุณท่านลุงสอง” สวี่ล่ายยิ้ม พยักหน้ารับคำ ความกังวลสุดท้ายในใจได้หายไปนานแล้ว
“อื๋อ ... อะไรนะ มีเรื่องแบบนี้ด้วย?”
เพียงแต่ในขณะนี้เอง สวี่เหยาฉ๋าย ผู้อาวุโสสามได้รับรายงานจากสมาชิกที่อยู่ข้างๆเขา เจ้าตัวย่นคิ้วเล็กน้อย
“สวี่หู พวกเจ้าก่อปัญหาอีกแล้ว? ไปทะเลาะวิวาทข้างนอกมาใช่หรือไม่?”
“เอ่อ...”
พวกสวี่หูทั้งสามคนข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า ทุกคนก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไร
“ฮึ่ม! ท่านประมุขสั่งย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าสร้างปัญหา แต่พวกเจ้ากลับทำหูทวนลม วันนี้ข้าจะขอบังคับใช้กฏตระกูล ...” สวี่เหยาฉ๋ายกำลังจะระเบิด แต่ก็ถูกสวี่เหยาหวู่ข้างๆขัดจังหวะ
“อะไรนะ? ไปทะเลาะวิวาทมาอีกแล้ว? พวกเจ้าคิดว่ากฏตระกูลหละหลวมเกินไปหรือเปล่า?” สวี่เหยาหวู่จ้องนิ่ง พวกสวี่หูหวาดกลัวจนตัวสั่น อย่างไรก็ตาม คำพูดต่อมาทำให้ทุกคนในที่นี้ต้องตะลึง
“... แล้วพวกเจ้าชนะไหม?”
“อ๋า?”
“มาอ๋าอะไรอีก ข้าถามว่าชนะไหม?”
“ชนะ .. พวกเราชนะ ...” สวี่เปากลืนน้ำลาย พูดตะกุกตะกักกลับไป
“ถ้าชนะก็ดีแล้ว” สวี่เหยาหวู่หันกลับมา พร้อมอธิบายให้สวี่เหยาเฉินฟัง “พี่ใหญ่ ในเมื่อพวกเขาชนะมา เช่นนั้นก็ลดโทษลงเถิด ...”
“หา?”
“ได้ยังไงกัน!”
ประโยคนี้ไม่ใช่แค่สวี่ล่ายคนเดียวที่รู้สึกประหลาดใจ กระทั่งสวี่เหยาฉ๋ายที่อยู่ข้างๆก็ยังตะลึงอ้าปากขากรรไกรค้าง
“อาวุโสสอง แบบนี้ได้อย่างไร? หากฝ่าฝืนกฏก็สมควรถูกลงโทษ! เราจะตัดสินด้วยการแพ้ชนะได้อย่างไร?” สวี่เหยาฉ๋ายรู้สึกไม่พอใจ ก้าวออกมาพยายามโต้เถียง
“น้องร้อง ...” สวี่เหยาเหวินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เอ่อ ... งั้นก็ได้” ใบหน้าของสวี่เหยาหวู่เปลี่ยนไปทันที ต่อหน้าอาวุโสสาม เขาดุด่าพวกสวี่หูอย่างโกรธเคือง “เด็กน้อยอย่างพวกเจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ กล้าดียังไงออกไปสู้โดยไม่สนใจกฏตระกูล แต่ในเมื่อพวกเจ้ายังรู้สึกสำนึกผิดอยู่บ้าง เช่นนั้นข้าจะลงโทษโดยการกักบริเวณ! ตลอดเวลาหนึ่งเดือนนี้ห้ามออกจากคฤหาสน์ตระกูลสวี่แม้เพียงครึ่งก้าว!”
“ขอรับผู้อาวุโส!”
เมื่อพวกสวี่หูได้ยินแบบนั้น ก็รีบพยักหน้ารับโทษทันที และในใจเอ่อล้นไปด้วยความสุข
แม้ถูกลงโทษ แต่บทลงโทษนี้เป็นเพียงการกักบริเวณ และมันไม่ถึงขั้นโดนเฆี่ยนตี!
ของดีแบบนี้หากไม่รับไว้คงเสียดายแย่!
“เจ้า ... เฮ้อ ....” อาวุโสสามโกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวสลับม่วง สุดท้ายกระทืบเท้า ไม่สนใจอะไรอีก
สวี่เหยาเหวินหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ข้าง ๆ น้องรองเขาช่างใจดีกับพวกเด็กๆนัก
“เอาเถอะ เอาเถอะ เมื่อจบเรื่องจบราวก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว” สวี่เหยาหวู่โบกมือไล่ สมาชิกรอบๆแตกกระเจิง ก่อนหันมาพูดกับสวี่ล่าย “ล่ายเอ๋อ ไปล้างหน้าล้างตาซะ แล้วอย่าลืมแวะมางานเลี้ยงบ้านลุงสองของเจ้า”
“ขอรับท่านลุงสอง” สวี่ล่ายยิ้ม รีบตอบกลับ
“พี่ใหญ่ ท่านก็ไปพร้อมล่ายเอ๋อเถอะ เรื่องอื่นไว้ว่ากันภายหลัง อ้อ อาวุโสสาม เจ้าอยู่ที่นี่ต่อกับข้าอีกสักพัก ...”
“อืม” อาวุโสสามแม้ไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
หลังจากทุกคนแยกย้ายกันกลับ สวี่เหยาเหวินและบุตรชายก็กลับมายังที่พักของพวกเขา ปิดประตูแล้วเริ่มสนทนากัน
“ล่ายเอ๋อ เจ้าหายไปไหนมาตั้งหลายเดือน? เหตุใดเมื่อข้าส่งคนไปค้นหาในป่าหมอกหลายครั้ง ถึงไม่เจอร่องรอยใดๆเลย”
ทันทีที่เข้าประตูไป สวี่เหยาเหวินรอไม่ไหว รีบถามเหตุการณ์ที่สวี่ล่ายประสบพบเจอในช่วงหลายเดือนมานี้
จากในความทรงจำของสวี่ล่าย ตอนแรก ‘นายน้อยสวี่’ ถูกสองพี่น้องสวี่เฉียน สวี่คุนชี้ชวน ช่วยพาเขาออกจากคฤหาสน์สวี่ไปยังป่าหมอกโดยไม่ได้ขออนุญาต
ในตอนแรกเริ่มพี่น้องสองคนนี้อำนวยความสะดวกต่างๆให้เขา ทั้งยังจงใจพาสวี่ล่ายบุกเข้าไปถึงส่วนลึกของป่าหมอก ด้วยเหตุนี้เหล่าสาวกของสวี่เหยาเหวินจึงไม่สามารถค้นพบร่องรอยของสวี่ล่ายได้
สวี่ล่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเขาเข้าไปในป่าหมอก และคราวนี้เลือกที่จะบอกเล่าทั้งหมด
แน่นอน เรื่องที่สองพี่น้องถูกจ้างวานฆ่าเขาก็ไม่ได้ถูกปกปิด
สวี่ล่ายกระจ่างแจ้งแก่ใจ ว่าเรื่องนี้สมควรแจ้งให้บิดาทราบ เพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกตระกูลสวี่ถูกคนนอกซื้อตัวไปอีก
“อะไรนะ!? มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ?” สวี่เหยาเหวินตกใจมากเมื่อได้ยิน จากนั้นเขาก็เดินวนไปวนมาในห้องโถงพลางครุ่นคิด
“ท่านพ่อ ข้าคิดว่าเรื่องนี้สมควรได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม เพราะสุดท้ายมันเกี่ยวข้องกับสัมพันธ์หลายปีระหว่างตระกูลสวี่และตระกูลเย่ ประกอบกับทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดา ลูกยังไม่อาจค้นพบหลักฐานที่แท้จริง”
“อืม ล่ายเอ๋อพูดถูก เรื่องนี้ไม่สมควรเผยแพร่ ประการแรกมันจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลสวี่และตระกูลเย่ ประการที่สองมันจะนำมาซึ่งความหวาดระแวงและอิทธิพลเชิงลบมาสู่ตระกูลสวี่ ข้าจะส่งคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆเอง” สวี่เหยาเหวินหันศีรษะมองสวี่ล่าย เอ่ยอย่างโล่งใจว่า “ล่ายเอ๋อ เจ้าโตแล้ว รู้วิธีจัดการเรื่องต่างๆได้อย่างเหมาะสม ทำได้ดีมาก”
“เหอ เหอ”สวี่ล่ายยิ้ม แต่จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างออก
“อ้อจริงด้วย ท่านพ่อ ตระกูลสวี่เรา ... ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพล แต่เหตุใดทุกวันนี้ถึงไม่มีวิชายุทธดีๆในครอบครองเลย?”
“เรื่องนี้ ... เฮ้อ ...” สวี่เหยาเหวินพอได้ฟัง ก็ส่ายหัวอย่างอับจนปัญญา
“ท่านพ่อ เรื่องนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือไม่?”
“ก็ใช่ เดิมนี่เป็นเรื่องที่รู้กันเฉพาะผู้อาวุโสของตระกูลเท่านั้น แต่ในเมื่อเจ้าเอ่ยถาม ข้าก็จะเล่าประวัติศาสตร์ความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมของตระกูลสวี่ให้ฟังคร่าวๆ เพื่อที่เจ้าจะได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต ...”
สวี่เหยาเหวินนั่งข้างสวี่ล่าย เอ่ยช้าๆอย่างจริงจัง
เมื่อหลายพันปีก่อน ตระกูลสวี่เดิมเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจมากในรัฐฉิน พวกเขาริเริ่มจากการหลอมอาวุธและชุดเกราะ และในที่สุดมันก็ได้รับความนิยมไปทั่วรัฐฉิน
แต่เมื่อการค้าของตระกูลสวี่กำลังเฟื่องฟู ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาได้ไปทำให้หนึ่งในสามกลุ่มชนชั้นนำของรัฐฉินเกิดความไม่พอใจเข้า
เพื่อหลีกเลี่ยงการฆ่าล้างตระกูลสวี่ ท่านบรรพชนซึ่งเป็นประมุขตระกูลในตอนนั้นได้เข้าไปเจรจา และสุดท้ายก็ยอมฆ่าตัวตายเพื่อจบปัญหา และยุบตระกูลสวี่
มีแต่ต้องแตกกลุ่มแยกย้ายกันเท่านั้นจึงจะรักษาสายเลือดของตระกูลสวี่เอาไว้ได้
ในที่สุดตระกูลสวี่ก็แตกแขนงออกเป็นสิบสาขา พวกเขาออกจากรัฐฉินที่เติบโตอย่างเงียบๆ ท่องไปยังรัฐอื่นเพื่อความอยู่รอด
และหนี่งในนั้น ได้ข้ามผ่านผืนทะเลทรายอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างยากลำบากจนมาถึงรัฐหยาน และปักหลักในเมืองหรันเถียน
“ในเวลานั้น บรรพชนตระกูลสวี่ต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลฉินฆ่าล้างพวกเขา จึงเอ่ยเตือนสมาชิกรุ่นลูกหลานตระกูลทุกคนว่า ถ้ายังอยากให้ตระกูลสวี่ดำรงอยู่ต่อไป ไม่สลายหายไปตามสายน้ำแห่งกาลเวลา จงอย่าผงาดขึ้นสู่อำนาจ”
“และด้วยเหตุนี้เอง รุ่นลูกหลานจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทักษะฝึกของตระกูลภายใต้สายตาคนนอก แต่ตระกูลสวี่ของเราอยู่มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ได้ละทิ้งทักษะลับที่ท่านบรรพชนเหลือไว้”
“และเมื่อมาถึงเมืองหรันเถียนในปีนั้น มันประจวบเหมาะกับที่ตระกูลเย่ต้องการผนวกตระกูลหลี่พอดี ด้วยเหตุนี้ตระกูลเย่จึงร่วมมือกับพวกเราอย่างลับๆ เข้ากวาดล้างพวกเขาในคราเดียว เป็นเหตุให้ตระกูลสวี่เราได้มีที่พักอาศัย และเจริญรุ่งเรืองขึ้นเหมือนทุกวันนี้”
สวี่เหยาเหวินหยุดพูด ถอนหายใจเบา ๆ
หลายปีที่ผ่านมา ที่ตระกูลสวี่ยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้ เพราะพวกเขาไม่กล้าผงาดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากเกรงกลัวว่ากลุ่มอำนาจใหญ่ของรัฐฉินจะเข้ามากวาดล้าง
“โห? ไม่นึกเลยว่าตระกูลสวี่ของเราจะมีประสบกาณณ์ที่เจ็บปวดเช่นนี้ ...” สวี่ล่ายเม้มริมฝีปาก ในใจมืดมน
ตระกูลใหญ่ที่เคยเจริญรุ่งเรือง เพื่อรักษาสายเลือดไว้ ประมุขถึงขั้นยอมฆ่าตัวตาย และตัดสินใจยุบตระกูลหลัก เกรงว่านับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คงมีแค่เขาที่กล้าทำแบบนั้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในโลกแห่งความจริง ยามพบเจอภัยพิบัติ ทุกคนคงล้วนแต่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่คิดถึงคนอื่นเป็นอันดับแรก
“นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า แม้พลังรบของตระกูลสวี่เราจะลดทอนลงอย่างมาก แต่จิตวิญญาณที่สืบทอดมาจากบรรชนไม่อาจลบเลือน วันหนึ่งตระกูลสวี่เราจะยืนหยัดบนจุดสูงสุดของทวีปชางหวู่อีกครั้ง”
สวี่เหยาเหวินกล่าวและค่อยๆยืนขึ้น มองไปนอกหน้าต่าง รัศมีอาจหาญอันยากจะอธิบายแผ่ออกมาอย่างช้าๆ
แปะ แปะ!
สวี่ล่ายอดไม่ไหว ต้องปรบมือให้กับคำพูดของบิดา
“ท่านพ่อ หากตอนนี้ข้ามีกล้อง ข้าจะต้องถ่ายรูปท่านไว้แน่นอน”
“กล้องอะไร?” สวี่เหยาเหวินงง ไม่เข้าใจว่าสวี่ล่ายกำลังพูดถึงอะไร
“อ๋า ข้า ... ข้าหมายถึง ...เอ่อ ...” สวี่ล่ายกลอกตา ฉุกคิดขึ้นได้ว่าโลกนี้มันจะมีสินค้าล้ำยุคอย่างกล้องถ่ายรูปซะที่ไหน
“ข้าหมายถึง ด้วยท่าทีองอาจของท่านในตอนนี้ มันเหมาะจริงๆที่จะหา .. จิตรกรมาวาดมันลงไป จากนั้นก็ใส่กรอบ แล้วติดบนผนังห้องนอนข้า เพื่อให้ข้าซึมซับมันทั้งกลางวันและกลางคืน เลียนแบบให้เหมือนท่าน ...”
“นี่เจ้ากำลังล้อเลียนข้าอยู่หรือ?” สวี่เหยาเหวินกลอกตา เห็นรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของสวี่ล่าย มองปราดเดียวก็ทะลุความคิดในใจเขา
“สุดยอด!” สวี่ล่ายยกนิ้วโป้ง “กระทั่งเรื่องนี้ท่านก็ยังคาดเดาได้อย่างแม่นยำ”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ก็ข้าเป็นพ่อเจ้า แค่เห็นเด็กน้อยเช่นเจ้ากลอกตา ข้าก็รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
“ฮี่ ฮี่ .. สมกับที่เป็นพ่อลูกกันจริงๆ ... เดี๋ยวๆ ท่านพ่อ นั่นท่านจะทำอะไร?” สวี่ล่ายโล่งอกที่ขี้โม้ถูไถไปได้ แต่เมื่อคิดว่าเรื่องกำลังจะจบลง เห็นเพียงบิดาเขาเดินไปหยิบไม้หวายที่มุมโต๊ะขึ้นมา ทันใดนั้นในใจลอบร้องท่าไม่ดี
“ตอนนี้เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้ว กล้าล้อเลียนบิดา ดูเหมือนว่าวันนี้หากข้าไม่ใช้กฏตระกูล เจ้าคงยกหางตัวเองชี้ชันไปถึงท้องฟ้า ..”
เพี๊ยะ เพี๊ยะ!
“เฮ้ย เฮ้ย ท่านพ่อ ... มีอะไรค่อยพูดค่อยจาเถอะ หยุด ... บอกให้หยุดไง ... จ๊ากกก!” สวี่ล่ายหันหลังกลับ ย่อตัวงอเข่า วิ่งออกไปข้างนอก
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เปิดประตู หนั่นเนื้อที่นุ่มและมีกลิ่นหอมก็ปะทะเข้ากับใบหน้าเขา
โครม!
“อ๊าย——!”
“โอ๊ย——!”
เสียงร้องตกใจสองทางดังขึ้น
ทางหนึ่งมาจากหญิงงามตัวน้อยข้างหน้าสวี่ล่าย อีกทางหนึ่งมาจากสวี่ล่ายที่โดนหวายของบิดาหวดไปหนึ่งที
“อูย ... เจ็บชะมัด” สวี่ล่ายเอื้อมมือไปลูบแผลแสบร้อนบนหลังเขา เงยหน้าขึ้นบ่น “ใครกันที่มาขวางทางหนีของข้า?”
สวี่ล่ายยืดตัวขึ้น แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้า ดวงตาเขาสว่างไสวในคราเดียว
“เหล่าแหย(นายท่าน)! นายน้อย! เกิด ... เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”