บทที่ 10
วันนี้ลง 10 11
บทที่ 10
เมื่อสาวกนิกายเทียนเยว่ ได้ยินคำ ‘สวี่ล่าย’ เขายิ้มเย็นชา “เจ้าคือสวี่ล่าย? ประจวบเหมาะยิ่ง! ข้าต้องการทดสอบฝีมือเจ้าอยู่พอดี!”
“เพลงกระบี่ จันทร์กระจ่าง—ลอยกลางนภา!”
บรึ้ม!
ชายผู้นี้กระตุกกระบี่ในมือ อากาศโดยรอบไหลวนมารวมกันทันที เสมือนแสงจันทร์บนท้องฟ้า
“ไม่ได้การแล้ว!”สวี่ล่ายลอบร้องในใจ แต่เขาใช่ว่าจะอยู่เฉย มือขยับตอบสนองฉับไว
“เมฆาเปิดหมอก!”
บรึ้ม——!
อาวุธสองชิ้นปะทะกัน เกิดแสงและละอองควันลอยฟุ้ง ปราณกระบี่กระจายไปทุกทิศทาง ทุกคนในเหตุการณ์ต่างพากันถอยห่างเพื่อหลีกเลี่ยง
“แข็งแกร่งมาก!”สวี่ล่ายลอบตื่นตระหนก
ตูม!
ทั้งสองแลกฝ่ามือกันอีกครั้ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างสะท้อนถอยหลัง
“นายน้อย ...”
“นายน้อย ท่านบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงโจมตีคนโดยปราศจากเหตุผล!?”
สามพี่น้องตระกูลสวี่มองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ จับจ้องฝ่ายตรงข้าม เค้นคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตาย
สวี่ล่ายขมวดคิ้วแน่น เขาหยุดสามพี่น้องตระกูลสวี่ไว้ “เหมือนข้าจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับเจ้ามาก่อน ไม่ทราบเหตุใดจู่ๆถึงทำร้ายกัน?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ระหว่างพวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อนก็จริง แต่เพราะเจ้าคือสวี่ล่ายนั่นแหละปัญหา!”ชายคนนั้นหัวเราะเย็นชา ทำราวกับว่าสวี่ล่ายไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย
“หือ? เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”สวี่ล่ายอึ้งไปพักหนึ่ง ไม่เข้าใจว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่
“นายน้อย พวกเขามาจากนิกายเทียนเยว่ เดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประลองหาคู่ของตระกูลเย่” สวี่เปาที่อยู่ข้างๆกระซิบข้างหูสวี่ล่าย
“อ้อ ... ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
ตอนนี้สวี่ล่ายเข้าใจแล้ว ก็งงอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน ที่แท้อีกฝ่ายเป็น ‘คู่แข่งความรัก’ กันนี่เอง
“ท่านทั้งสอง เกรงว่าตรงนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับพวกท่านจะต่อสู้กัน”
ในตอนนั้นเอง คุณหนูผู้มากเสน่ห์ขมวดคิ้ว เอ่ยปากห้ามปราม
“ข้าไม่มีทางเลือกอื่น ดั่งสุภาษิตว่า ‘คนกลัวชื่อเสียง หมูกลัวตัวเองแข็งแรงสมบูรณ์’ ผู้ที่มีชื่อเสียงมักดึงดูดปัญหาเฉกเช่นเดียวกับหมูเมื่ออ้วนท้วนสมูบรณ์ก็จะถูกนำไปฆ่า ตัวตนของข้า ไปที่ไหนก็มีแต่ผู้คนรังควาน คุณหนู อย่างที่ท่านเห็น ไม่ใช่ผู้แซ่สวี่ต้องการสร้างปัญหา แต่ในโลกนี้ดันมีหมาบ้าอยู่เยอะเกินไป”
สวี่ล่ายผายสองมืออย่างช่วยไม่ได้
“ฟุฟฟฟ” คุณหนูหลุดหัวเราะ รอยยิ้มนี้เหมือนแสงสีม่วงและสีแดงนับพันสว่างไสวพร้อมกัน มันงดงามมากจริงๆ
“เด็กน้อย เมื่อครู่เจ้าว่ากระไร?” สาวกนิกายเทียนเยว่โกรธมาก และคิดลงมืออีกครั้ง
“พี่ชายหลิว ในเมื่อนิกายเทียนเยว่ส่งพวกท่านมาเพื่อเข้าร่วมการประลองหาคู่ของตระกูลเย่ ฉะนั้นข้าแน่ใจว่านิกายของพวกท่านคงไม่ต้องการให้พี่ชายหลิวสร้างปัญหาก่อนถึงเวลางานกระมัง?”
ท่าทีของคุณหนูเปลี่ยนเป็นเย็นชา พูดดักคอคนของนิกายเทียนเยว่เอาไว้
“หืม~ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่พวกเดียวกันซะทีเดียว” สวี่ล่ายนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนสีหน้าผ่อนคลายลง ต้องมองคุณหนูผู้มีเสน่ห์ใหม่อีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าคุณหนูผู้มากเสน่ห์เบื้องหน้าเขา ยังพอสามารถแยกแยะถูกผิดได้
“นี่ ...” สีหน้าของหลิวเซี่ยงเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินแบบนี้ แม้ลึกๆไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดใจคนที่อยู่ข้างๆ จึงแสร้งทำเป็นยิ้มและเก็บกระบี่ลง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผู้แซ่หลิวจะกล้าอาละวาดต่อหน้าคุณหนูเหยาได้อย่างไร เพียงแต่ผู้แซ่สวี่คนนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่ง ข้าเลยอดมอบบทเรียนให้เขาไม่ได้ และหากคุณหนูเหยาอนุญาต ข้ายินดีปลิดชีวิตเขาบัดเดี๋ยวนี้”
“ไอ้หย๋า ดูท่าหมาบ้าตัวนี้ก็รู้จักกลัวคนเช่นกัน ดีมาก ต้องรู้จักขออนุญาตเจ้าของก่อน จะได้ไม่หลุดกัดคนไปทั่ว เดี๋ยวต้องลำบากหมอไปรักษาโรคพิษสุนัขบ้าอีก” สวี่ล่ายยิ้มเหยียดหยาม
“เจ้า ...”
หลิวเซี่ยงต้องการโต้แย้ง แต่สวี่ล่ายไม่แม้จะชายตามองเขา ประสานกำปั้นแก่คุณหนูเหยา “ขอบคุณคุณหนูเหยาที่ช่วยเหลือ โปรดยกโทษในความหยาบคายของข้า โต๊ะเก้าอี้ในร้านอาหารที่เสียหายรวมไปถึงเม็ดเงินที่ขาดทุนในวันนี้ ข้าสวี่ล่ายยินดีชดใช้เป็นสองเท่า”
สวี่ล่ายเอ่ยหนึ่งประโยค พริบตาเดียวก็ดึงคุณหนูเหยามาอยู่ฝั่งตนทันที
“ฟัฟฟฟฟ” ว่ากันว่าสิ่งที่คุณหนูเหยาผู้นี้เกลียดที่สุดก็คือผู้ชายลิ้นกะล่อน กระนั้น ถึงจะบอกว่าเกลียด แต่มองภาพตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย
“แม้การค้าของตระกูลเหยาเราจะไม่ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ความเสียหายครั้งนี้ยังพอรับไหว เรื่องค่าชดใช้ไม่ต้องพูดถึง ข้าแค่หวังว่าต่อไปคุณชายสวี่จะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้”
คุณหนูเหยาไม่ธรรมดาจริงๆ ประโยคง่ายๆ เหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำ แต่กลับสร้างแรงกระเพื่อมขยายไปไกล มีทั้งรุกและรับ สื่อความหมายชัดเจนว่าไม่ต้องการเอาผิดใครหรือเข้าข้างฝ่ายใด
“ผู้แซ่สวี่จะจดจำไว้” สวี่ล่ายประสานกำปั้นอีกครั้ง เก็บเซียะเทียนแบบสบายๆ หันไปขยิบตาให้สามพี่น้องตระกูลสวี่ข้างหลัง “ไปกันเถอะ”
“ขอรับนายน้อย”
สามพี่น้องประคองกัน เดินตามหลังสวี่ล่าย
แต่ในจังหวะที่สวี่ล่ายเดินผ่านคุณหนูเหยานั่นเอง
“ข้าชื่อเหยาว่านซิน ต่อไปเจ้าสามารถเรียกชื่อข้าๆตรงๆได้”
สวี่ล่ายชะงัก ใบหน้าที่งุนงงกระพริบตาปริบๆ พึมพำในใจว่า “อื๋อ? สถานการณ์นี่มันอะไรกัน?” แต่เขาก็ไม่กล้าชักช้า ปากตอบกลับไปว่า “สวี่ล่ายจะจำไว้”
ว่าจบ เขาก็นำสามพี่น้องออกจากร้านอาหารไป
“คุณหนูเหยา ท่าน ... ท่านจะปล่อยพวกเขาไปทั้งๆแบบนี้หรือ?” หลี่อวี้ถิงก้าวมาข้างหน้าอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อทำแบบนั้นเขาก็ฉุกคิดได้ถึงสถานะของเหยาว่านซิน น้ำเสียงอ่อนลงทันที
“พี่ชายหลี่ ว่านซินเป็นเพียงผู้ทำการค้า และหน้าที่หลักของพันธมิตรการค้าเราคือรักษาสันติ ข้าจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับบุณคุณความแค้นส่วนตัวของท่าน แต่ในเวลาเดียวกัน ข้าก็หวังว่าพี่ชายหลี่จะพึงระลึกได้ ว่าพวกเรามีความสัมพันธ์กันแค่ในด้านผลประโยชน์เท่านั้น”
เหยาว่านซินวาดเส้นแบ่งชัดเจนกับหลี่อวี้ถิงอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“ท่าน ...” สีหน้าการแสดงออกของหลี่อวี้ถิงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ช้าก็กลับมาเป็นใบหน้าประจบสอพลอ “ฮี่ ฮี่ คุณหนูเหยาพูดได้ถูกต้อง ผู้แซ่หลี่จะพึงระลึกไว้ในใจ”
เหยาว่านซินพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นหันกลับไปมองแผ่นหลังสวี่ล่ายที่ค่อยๆไกลออกไป ลอบนึกในใจว่า “สวี่ล่ายผู้นี้ ...”
...
“สวี่หู”
“ขอรับนายน้อย”
“เหยาว่านซินเมื่อครู่คือผู้ใดกัน? ทำไมนางดูมีอิทธิพลนัก” สวี่ล่ายถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่รอให้สวี่หูตอบ สวี่เปาที่อยู่ข้างๆ เริ่มเล่าเป็นเรื่องเป็นราว
“เหอ เหอ นายน้อย นางไม่ใช่แค่ ‘มีอิทธิพล’ แต่ยังถึงขั้นใช้แค่มือเดียวก็สามารถบดบังผืนฟ้าได้”
“โห ทรงพลังขนาดนั้นเชียว? นางมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่?” สวี่ล่ายตกตะลึงเล็กน้อย
“เฮะ เฮะ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ข้ามองออกนะว่าคุณหนูเหยาดูเหมือนจะสนใจท่าน ไม่แน่นะนายน้อย ...” สวี่เปาเริ่มพูดจาไร้สาระ
“น้องรอง! อย่าหยาบคาย!” สวี่หูถลึงตามอง ตำหนิอย่างรุนแรง
“เรียนนายน้อย คุณหนูเหยาผู้นี้คือบุตรสาวเพียงคนเดียวของเหยาว่านเฉียนผู้นำกลุ่มพันธมิตรการค้าว่านตง”
“พันธมิตรการค้าว่านตงคือกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในรัฐต้าหยาน พวกเขาประกอบธุรกิจตั้งแต่โรงรับจำนำ ธนาคาร และโรงประมูล และไม่ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ นิกาย หรือกองกำลังต่างๆล้วนติดต่อซื้อขายกับพวกเขา ดังนั้นจึงค่อนข้างมีอิทธิพลที่ชัดเจน”
สวี่หูบอกข้อมูลทั้งหมดที่เขารู้
“เห~ แบบนั้นมันก็ทรงพลังสุดๆไปเลยน่ะสิ!” สวี่ล่ายอุทานเสียงดังเล็กน้อย
“นายน้อย พันธมิตรการค้าว่านตงมีหน้าที่รับผิดชอบในการติดต่อการค้าเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างตระกูลหรือนิกายต่างๆ ดังนั้นที่นางเอ่ยกับท่านแบบนั้นก่อนหน้านี้ ...”
สวี่หูกำลังจะเอ่ยเสริมท้ายประโยค แต่สวี่ล่ายเหมือนจะเข้าใจแล้ว “ข้ารู้แล้ว ที่คุณหนูเหยาทำแบบนั้น มันก็แค่ลูกเล่นทางธุรกิจ”
สวี่ล่ายไม่ใช่คนประเภทโง่เขลา หลงมึนเมาไปกับน้ำใจเล็กๆน้อยๆ
“นายน้อย คือว่า ...”
ถึงตอนนี้ สวี่เปียวที่ไม่ได้พูดมานานคล้ายต้องการเอ่ยอะไรบางอย่าง
“ว่าไง? ดูเหมือนเจ้าจะมีคำถามนะ” สวี่ล่ายยิ้ม มองปราดเดียวก็เข้าใจความคิดของสวี่เปียว
“แหะ แหะ นายน้อย ข้าอยากรู้ว่าท่านค้นพบอะไรในป่าหมอก เหตุใดถึงได้ทรงพลังเพียงนี้ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน ...”
“อาเปียว!”
ก่อนที่สวี่เปียวจะพูดจบ สวี่หูที่อยู่ด้านข้างก็รีบพูดห้าม
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร” สวี่ล่ายตบไหล่สวี่หู เขายิ้มและพูดว่า “ทุกคนต่างเป็นพี่น้องในตระกูลข้า เพราะฉะนั้นไม่เป็นไร”
“ฮี่ ฮี่ ท่านเห็นไหม นายน้อยบอกว่าไม่เป็นไร” สวี่เปาที่ยืนอยู่ข้างๆมานานแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “นายน้อย รีบเล่าให้พวกเราฟังเร็ว!”
“เหอ เหอ อันที่จริงแล้ว เมื่อตอนเข้าสู่ป่าหมอกในวันที่ 3 ข้าก็ได้พบเจอกับจุดพลิกผันในชีวิต ...”
สวี่ล่ายเติมน้ำมันใส่น้ำส้มสายชู บอกเล่ากระบวนการเอาชีวิตรอดในป่าหมอกให้ฟังอีกครั้ง
แน่นอน ที่ควรปกปิดก็ปกปิด ที่ควรตัดทอนก็ตัดทอน มีบางหัวข้อที่ละเอียดอ่อนไม่สามารถพูดได้ง่ายๆ ซึ่งที่ว่าก็ได้แก่เรื่องที่ตัวเองข้ามมิติ ได้รับสืบทอดวิชาจากปรมาจารย์ รวมถึงเรื่องที่พี่น้องตระกูลสวี่ถูกซื้อตัวโดยคนนอก จ้างวานฆ่าเจ้านาย
เขาแค่เล่าแต่เรื่องดีๆ บอกว่าตัวเองสามารถกระตุ้นศักยภาพในยามวิกฤติ เกิดความก้าวหน้าอย่างมากจากการฝึกตนและฆ่าสัตว์ปีศาจ
ได้ยินแบบนั้น สามพี่น้องยิ่งฟังยิ่งดวงตาเบิกกว้าง ดื่มด่ำไปกับมัน
ไม่นาน ทั้งสี่ก็กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลสวี่โดยปราศจากปัญหาใดๆ
และทันทีที่พวกเขาก้าวข้ามธรณีประตู สวี่เปาก็ตะโกนสุดเสียง “นายน้อยกลับมาแล้ว! นายน้อยกลับมาแล้ว!
“สวี่เปา นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว! ตะโกนกลางค่ำกลางคืน เจ้าเป็นนกฮูกรึไง?”
ทันใดนั้นเอง เสียงดุด่าดังแว่วเข้ามา
สวี่ล่ายหันศีรษะไปมอง เห็นเพียงชายชราหลังค่อมเดินออกมาจากห้องโถงด้านใน
“คารวะผู้อาวุโส”
“คารวะผู้อาวุโส”
เมื่อพวกสวี่หูเห็นคนๆนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าละเลย รีบก้มศีรษะทำความเคารพ
“ฮึ่ม! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังไม่รีบไปทำงานของพวกเจ้าอีก หากไม่เสร็จสิ้นตามกำหนด ก็เตรียมโดนกฏตระกูลลงโทษได้เลย” สีหน้าของชายชรามืดมน ตำหนิเสียงดัง
“เรียนผู้อาวุโส นายน้อยกลับมาแล้ว กลับมาอย่างปลอดภัย” สวี่หูก้าวไปข้างหน้า ก้มศีราะรายงาน
“หือ?” ชายชราหันหัว จากนั้นก็เห็นสวี่ล่ายยืนอยู่ข้างๆ
แต่เมื่อเห็นสวี่ล่ายในชุดขาดรุ่งริ่ง สองคิ้วเขาก็ขมวดเข้าหากันทันที “นายน้อย แม้มันจะยากสำหรับท่านที่เข้าไปฝึกฝนในป่าหมอก แต่ก็ไม่ควรหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยการหนีกลับมากลางทางเช่นนี้”
“ท่านคงกำลังคิดจงใจแต่งตัวเป็นขอทาน แล้วเล่าความน่าเวทนาของตัวเองให้ประมุขฟังใช่หรือไม่? แบบนี้ยิ่งไม่สมควร ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลสวี่ แค่ยาขมตอนนี้ยังฝืนกินไม่ได้ แล้วในอนาคตจะแบกรับภาระของตระกูลได้อย่างไร ...”
“เอ้า ไหงกลายเป็นงี้ไปได้?” สวี่ล่ายตะลึง คาดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะดุด่าเขาโดยไม่สอบถามอะไรสักคำ
“ผู้อาวุโสสาม ที่นายน้อยกลับมายังตระกูลสวี่ เพราะเขาฝึกตนได้อย่างราบรื่น พลังรบเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก ...”
สวี่เปารีบก้าวมาข้างหน้าเพื่ออธิบายให้เขาฟัง อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสสามกลับยกมือขึ้นปราม ขัดจังหวะคำพูดของสวี่เปา
“เอาเถอะ เอาเถอะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าสนิทสนมกับนายน้อย ทุกครั้งเวลามีเรื่องอะไรก็มักจะพูดแต่เรื่องดีๆ ทว่าที่พวกเจ้าทำไม่ใช่การช่วยเขา แต่กำลังเป็นการทำร้ายทางอ้อม ...”
ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสสามคนนี้เป็นคนช่างจินตนาการหรือไม่ แต่มันเหลือเชื่อมากๆที่เขาโมเมไปเรื่อยและพูดไม่หยุดหย่อน
จนถึงตอนนี้ เมื่อเสียงเอะอะเริ่มดังขึ้น หลายคนข้างในห้องโถงก็เริ่มวิ่งออกมาดู
“กลับมา ... กลับมาแล้ว?”
ชายผู้หนึ่งที่แต่งตัวเหมือนนักวิชาการขงจื๊อ แหวกฝูงชนออกมาอย่างเร่งรีบ
ทันทีที่เห็นชายผู้นั้น วี่แววของความรักจากส่วนลึกในใจสวี่ล่ายก็ระเบิดออกมา
“ท่านพ่อ ...”