ตอนที่ 270 คำใบ้ของผางชิง
ตอนที่ 270 คำใบ้ของผางชิง
ทั่วทั้งจักรวาลมีคนชื่อซ้ำกันอยู่อย่างมากมาย ประเด็นสำคัญคือแอวริลที่เป็นคู่หมั้นของหลี่โม่ก็มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา มันจึงได้กระตุ้นความสนใจของเซี่ยเฟย
“คู่หมั้นของหลี่โม่อายุเท่าไหร่? เธอเป็นคนของตระกูลไหน?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ต้องห่วง เธอเป็นคนของตระกูลเจี่ยน ไม่มีทางเป็นผู้หญิงคนเดียวกับแฟนนายหรอก ไม่ว่ายังไงตระกูลที่ดูแลบริษัทสตาร์ยูไนเต็ดก็อยู่ในระดับที่แตกต่างจากนายโดยสิ้นเชิง” เยว่เกอกล่าว
คำอธิบายของเยว่เกอทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกชาไปทั่วทั้งตัว และในตอนนี้เขาก็ไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไปแล้วราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่าลงมาอย่างฉับพลัน
“เป็นอะไร? นายไม่สบายหรือเปล่า?” เยว่เกอถามหลังจากเห็นอาการแปลก ๆ ของเซี่ยเฟย เธอจึงยื่นมือออกไปเพื่อแตะหน้าผากของเขา
“หลี่โม่กับแอวริลเป็นคู่หมั้นกันจริง ๆ เหรอ?!” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับผลักมือของเยว่เกอออกไป
“นายจะถามย้ำอะไรนักหนา นายคิดว่าฉันจะโกหกไปทำไม” เยว่เกอกล่าว
“ฉันคิดว่าแอวริลของฉันกับคู่หมั้นของหลี่โม่อาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหันมองออกไปนอกหน้าต่าง
—
เยว่เกอเล่าเรื่องทุกอย่างที่เธอรู้ให้เซี่ยเฟยฟัง ก่อนที่เธอจะรีบจากไปโดยเธอได้บอกกับสหายของเธอว่าหากมีปัญหาอะไรให้รีบติดต่อมาหาเธอได้เลย
ก่อนจากไปเยว่เกอจ้องมองมาที่เซี่ยเฟยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเวทนา ราวกับว่าเธอคาดเดาผลลัพธ์ในเรื่องนี้ได้แล้ว มันจึงทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกอึดอัดใจมาก
ชายหนุ่มจุดบุหรี่เดินกระสับกระส่ายไปมาภายในห้อง โดยพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ความเป็นจริงถ้าหากอีกฝ่ายเป็นศัตรูเขาย่อมสามารถตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย แต่ความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดนี้ได้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกลังเล
อันธรู้สึกผิดหวังกับความจริงในเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องของความรัก ดังนั้นเรื่องระหว่างเซี่ยเฟยกับแอวริลจึงเป็นเหมือนสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่คู่นี้มีความสุขอันธก็จะรู้สึกมีความสุขไปด้วย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คู่นี้มีความทุกข์ใจ มันก็ทำให้อันธไม่สามารถระงับความอึดอัดภายในใจของตัวเองได้
“ทำไมนายถึงไม่ติดต่อไปถามแอวริลตรง ๆ เลยล่ะ?” อันธถาม
“เยว่เกอได้ยินเรื่องนี้มาจากหลี่โม่และไม่แน่ใจว่าทั้งสองคนหมั้นหมายกันจริง ๆ หรือเปล่า บางทีเรื่องนี้อาจจะเป็นความคิดของหลี่โม่เพียงฝ่ายเดียว ถ้าฉันถามแอวริลในเรื่องนี้ไปมันก็จะกลายเป็นว่าฉันไม่เชื่อใจเธอ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถ้านายเชื่อใจแอวริลก็ตามนั้น ฉันหวังว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิด” อันธกล่าว
หลังจากรู้สึกแย่อยู่ไม่นานชาร์ลีก็ได้แจ้งข่าวดีให้เขาทราบว่า ในตอนนี้มันได้มีคำสั่งซื้ออุปกรณ์เสริมพลังชาร์จเข้ามามากกว่า 2,000 ชุดแล้ว
ถึงแม้คำสั่งซื้อจะมีปริมาณเพียงแค่นิดเดียว แต่มันก็เป็นคำสั่งซื้อที่มีค่าสำหรับบริษัทควอนตัมในปัจจุบัน เพราะท้ายที่สุดผลิตภัณฑ์ของพวกเขาก็เพิ่งเปิดตัวไปได้เพียงแค่ไม่นาน ด้วยเหตุนี้การมีคำสั่งซื้อเข้ามาจึงถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
คำสั่งซื้อที่เข้ามาในรอบนี้สามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้ประมาณ 1,500 ล้านสตาร์คอยน์ ซึ่งเซี่ยเฟยก็บอกให้ชาร์ลีนำเงินก้อนนี้ไปเป็นเงินทุนสำหรับการสร้างโรงงานแห่งต่อไป
คืนนั้นเซี่ยเฟยได้อาศัยความเงียบในการตรวจสอบข้อมูลของหลี่โม่และตระกูลหลี่ ก่อนจะได้พบว่าตระกูลหลี่คือตระกูลผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในพันธมิตร นอกจากนี้ตระกูลหลี่ยังเป็นเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในพันธมิตรด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงถูกยกย่องเป็น 1 ใน 6 ตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดทั่วทั้งพันธมิตร
ส่วนหลี่โม่คือหลานชายคนโตของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน และมันก็มีแนวโน้มสูงมากที่เขาคนนี้จะขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลในอนาคต ทำให้ชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่ได้รับการหมายปองจากสาว ๆ ทั่วทั้งจักรวาล
ตระกูลเจี่ยนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ขณะที่ตระกูลหลี่เป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมการเงิน ไม่ว่าจะมองยังไงการแต่งงานระหว่างสองตระกูลนี้ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะมันเป็นการช่วยเหลือธุรกิจของสองตระกูลให้เติบโตมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากปิดหน้าจอลงไปเซี่ยเฟยก็จมอยู่ในความเงียบท่ามกลางความมืดมิด สถานการณ์ของเยว่เกอได้ส่งเสียงเตือนเขามาครั้งหนึ่งแล้วว่า แม้แต่ผู้หญิงที่ดื้อรั้นอย่างสหายของเขาคนนี้ก็ยังไม่สามารถต้านทานคำสั่งจากตระกูลของเธอได้
การเกิดเป็นทายาทของตระกูลที่ร่ำรวยก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะเมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะถูกจำกัดอิสระและจำเป็นจะต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล
ขณะเดียวกันแอวริลก็มีนิสัยอ่อนน้อมมากกว่าเยว่เกอมาก และเซี่ยเฟยก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเธอคนนี้จะสามารถทนรับแรงกดดันจากตระกูลได้หรือไม่
แต่ในทันใดนั้นเองอันธก็ได้สังเกตุเห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายบนใบหน้าของเซี่ยเฟย ซึ่งรอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มที่เขาคุ้นเคยและอันธก็รู้ดีว่ารอยยิ้มแบบนี้หมายความว่า เซี่ยเฟยได้ตัดสินใจครั้งสำคัญเรียบร้อยแล้ว
“นายมีทางออกเป็นของตัวเองแล้วสินะ” อันธพึมพำกับตัวเอง
—
ในตอนเช้าเซี่ยเฟยได้นั่งรถรับส่งไปยังคฤหาสน์ที่แอวริลอาศัยอยู่ เพราะในวันนี้เขากับเธอก็มีนัดที่จะออกไปเที่ยวด้วยกัน
เมื่อเซี่ยเฟยเดินทางมาถึงคฤหาสน์เขาก็ไม่ใช่ผู้บุกรุกอีกต่อไป และบอดี้การ์ดทุกคนต่างก็จงใจจะหลีกเลี่ยงชายหนุ่ม เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้พร้อมที่จะฆ่าทุกคนเพื่อปกป้องแอวริลไว้
แม้ตระกูลเจี่ยนจะไม่ปล่อยข่าวการเสียชีวิตของแบ็ตตี้ออกมา แต่การสูญเสียคุณชายในตระกูลก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถยอมรับได้ง่าย ๆ เลย และถึงแม้ว่าชีวิตของแบ็ตตี้จะช่วยให้ตระกูลผ่านพ้นช่วงเวลาอันวิกฤตมาได้ แต่พวกเขาก็ยังคงมีบาดแผลภายในใจกับชายหนุ่มคนนี้อยู่ดี
ในความเป็นจริงการที่ตระกูลเจี่ยนปล่อยให้แอวริลออกไปเที่ยวกับเซี่ยเฟยก็ถือว่าเป็นการให้ความเคารพชายหนุ่มคนนี้มากแล้ว แต่ถ้าหากจะให้พวกเขาปฏิบัติต่อเซี่ยเฟยเปรียบเสมือนคนของตระกูล มันก็เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากเกินไปสำหรับพวกเขา
“เมื่อคืนคุณหนูนอนหลับสบายมากคนรับใช้จึงยังไม่กล้าปลุกคุณหนูขึ้นมา ระยะนี้คุณหนูมักเป็นโรคนอนไม่ค่อยหลับ วันนี้ปล่อยให้คุณหนูนอนจนตื่นเองได้ไหมครับ? อย่างน้อยเธอก็จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่” ผางชิงถาม
“ได้สิครับ ปล่อยให้เธอนอนไปเถอะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ผมว่าคุณไปรอที่ริมทะเลสาบก่อนดีกว่า เชิญทางนี้เลยครับ” ผางชิงกล่าวพร้อมกับพาเซี่ยเฟยไปยังทะเลสาบข้างคฤหาสน์
ทะเลสาบที่ผางชิงนำเซี่ยเฟยมานี้เป็นทะเลสาบริมหุบเขาที่ถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยภูเขาอันสวยงาม
เซี่ยเฟยหยิบก้อนกรวดขึ้นมาจากพื้น ก่อนที่จะย่อตัวลงและสะบัดข้อมือออกไปเบา ๆ
แปะ! แปะ! แปะ!
ก้อนหินกระดอนอยู่บนผิวน้ำหลายครั้งก่อนที่มันจะจมลงไปในทะเลสาบ
“สมัยผมยังเด็กผมชอบเล่นแบบนี้อยู่บ่อย ๆ แต่อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้เล่นมานานแล้วสนิมเลยเริ่มเกาะอยู่นิดหน่อย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูก็เคยเห็นผมขว้างก้อนหินตั้งแต่สมัยที่เธอยังเด็กเหมือนกันครับ ตอนนั้นเธอคิดว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก เธอจึงให้ผมสอนเธอขว้างก้อนหินให้กระดอนบนน้ำแบบนั้นบ้าง แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นเธอยังเด็กกำลังแขนของเธอจึงยังไม่พอ ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนี้เธอจะเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นหญิงสาวแล้วจริง ๆ” ผางชิงกล่าว
ความสัมพันธ์ระหว่างคู่นี้เรียกได้ว่าเป็นการแลกหมัดเพื่อมิตรภาพอย่างแท้จริง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยปะทะกันแต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังซึ่งกันและกันเลย เพราะท้ายทั้งสุดทั้งคู่ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นห่วงแอวริลเหมือนกัน
ผางไห่ผู้ซึ่งเป็นพ่อของผางชิงก็ค่อนข้างที่จะปฏิบัติต่อเซี่ยเฟยเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่ชายชราคนนี้ภักดีต่อปู่ของแอวริลมากเกินไป แต่สำหรับผางชิงมีความแตกต่างไปจากพ่อของเขาอยู่เล็กน้อย เพราะว่าเขาจะคอยให้ความสำคัญกับความสุขของแอวริลมากกว่าตระกูลเจี่ยน
แอวริลดูเหมือนจะนอนหลับสนิท ขณะที่เซี่ยเฟยก็มาตั้งแต่เช้า ผู้ชายทั้งสองจึงเดินไปตามริมทะเลสาบเนื่องจากว่าพวกเขาไม่มีอะไรทำ
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเซี่ยเฟยก็เปิดประเด็นขึ้นมาว่า
“คุณรู้ใช่ไหมว่าในพันธมิตรมีตระกูลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นตระกูลทรงอิทธิพลอยู่ทั้งหมดหกตระกูล”
คำถามนี้ทำให้ผางชิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แน่นอนว่าปฏิกิริยาของเขาย่อมอยู่ภายใต้การสังเกตของเซี่ยเฟย และเรื่องนี้มันจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่แสดงปฏิกิริยาออกมาแบบนี้
“ครับ 6 ตระกูลนี้ได้ครองตำแหน่ง 6 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพันธมิตรมานานหลายปี โดยไม่มีอะไรสามารถมากระทบความยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงถูกยกย่องว่าเป็น 6 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ภายในพันธมิตร และถึงแม้ว่าตระกูลเจี่ยนจะพยายามมาหลายชั่วอายุคน แต่ตระกูลเจี่ยนก็ยังไม่สามารถเข้าสู่ 10 ตระกูลอันดับแรกในพันธมิตรได้ เรื่องนี้จึงกลายเป็นบาดแผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหัวใจของผู้อาวุโส” ผางชิงกล่าวขึ้นมาราวกับว่ามันไม่มีเรื่องอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เลย
“ผมเดินทางมาที่นี่ครั้งนี้เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรายการโกลเดนฟิงเกอร์ แต่ในระหว่างที่ผมกำลังเดินทางไปลงทะเบียนผมบังเอิญได้พบกับเพื่อนในค่ายฝึก 2 คน และพวกเขาก็แนะนำให้ผมได้รู้จักกับชายหนุ่มที่ชื่อว่าหลี่โม่ ซึ่งดูเหมือนกับว่าเขาจะเป็นทายาทของ 1 ใน 6 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลี่กับตระกูลเจี่ยนเป็นไปได้ด้วยดีเสมอมา และพวกเราก็จับมือทำธุรกิจกันหลาย ๆ ด้าน ความจริงแล้วคุณชายหลี่โม่ก็ถือเป็นแขกที่มาเยี่ยมเยียนคฤหาสน์แห่งนี้เป็นประจำ” ผางชิงกล่าวขึ้นมาด้วยความลำบากใจ
“ผมขอปรึกษาหน่อยได้ไหมครับ พอดีว่าเพื่อนของผมได้หมั้นหมายกับลูกพี่ลูกน้องของหลี่โม่แต่ว่าเธอไม่อยากจะแต่งงานกับเขา ในความเห็นของคุณแล้วคุณคิดว่าตระกูลของพวกเขามีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ธุรกิจของอีกตระกูลล้มละลายได้เลยหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“มีสิ... นี่คุณรู้แล้วเหรอ?” ผางชิงกล่าวด้วยเสียงอันจริงจัง
เซี่ยเฟยไม่พูดอะไรตอบกลับไปโดยสายตาของเขายังคงจ้องมองไปยังทะเลสาบอันสวยงามเบื้องหน้า
“อันที่จริงเรื่องนี้เป็นความเห็นของผู้อาวุโสเพียงฝ่ายเดียวและคุณหนูก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วย ก่อนหน้านี้ผมยังเล่าเรื่องไม่จบคุณยังต้องการจะฟังเรื่องเล่าต่อไปหรือเปล่า?” ผางชิงกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เขาเล่าต่อไป
“ย้อนกลับไปตอนนั้นคุณหนูมีอายุแค่ 6 ขวบแต่เธอก็เดินมาที่ทะเลสาบเพื่อฝึกขว้างก้อนหินทุกวัน ๆ ละ 1 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากที่เธอได้ฝึกฝนต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี ในที่สุดเธอก็สามารถขว้างหินบนทะเลสาบได้สำเร็จ นี่ถ้าหากว่าทะเลสาบนั้นไม่กลายเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อนเธอก็คงจะไม่หยุดฝึกซ้อมเลยแม้แต่วันเดียว”
“ในสายตาของคนนอกคุณหนูอาจจะเป็นเด็กหัวอ่อน แต่ผมรู้ว่าตราบใดก็ตามที่เธอตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว เธอจะเป็นคนที่ดื้อรั้นมากยิ่งกว่าใคร” ผางชิงกล่าวพร้อมกับมองไปทางเซี่ยเฟยอย่างมีนัยยะ
***************
จบแล้วสำหรับกลุ่ม VIP3[181-270] สำหรับใครที่สนใจเข้ากลุ่มสามารถติดต่อได้ที่ เพจสนพ.เซียนอ่าน ได้เลยนะคะ โดยทางกลุ่ม VIP จะค่าปลดตอนถูกกว่าทางหน้าเว็บแต่อัปตอนพร้อมกันน๊า