บทที่ 3
บทที่ 3
การต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นเพิ่งสิ้นสุดลง แต่สวี่ล่ายกลับประสบปัญหาแล้วปัญหาเล่า
[ติ๊ง!]
[การแจ้งเตือนจากระบบ : ภารกิจหลัก : เข้าร่วมการประลองเลือกคู่ครองในอีกหกเดือนหลังจากนี้]
[รางวัลความสำเร็จ : ได้รับ 2,000 แต้มสะสม , ได้เป็นผู้สืบทอดภายในของตระกูลสวี่ และสาวใช้ส่วนตัวหนึ่งคน]
[ภารกิจเสริม : ทะลวงสู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้น 9 ภายในครึ่งปี กลายเป็นนักบู๊ในขอเขตรวมวิญญาณ]
[รางวัลความสำเร็จ : ได้รับ 1,000 แต้มสะสม และเปิดใช้งานตราลับประจำตระกูล]
“หือ? ว่าแต่ตราประจำตระกูลนี่มันคืออะไรกัน?” สวี่ล่ายเปิดปาก แต่สุดท้ายก็เลือกเลิกถามคำถามน่าเบื่อเหล่านี้ เพราะเขารู้ ว่าถามไปก็ไม่มีใครตอบเขา
สำหรับภารกิจเสริม แม้สวี่ล่ายจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อรางวัลของมันแม้จะน้อยกว่าภารกิจหลักแต่ก็ไม่เลวร้าย นั่นแสดงว่าหากทำสำเร็จเขาน่าจะได้รับประโยชน์มหาศาล และมันอาจช่วยให้ตนเอาชนะอุปสรรคในการเอาชีวิตรอดในโลกอันแปลกประหลาดใบนี้ได้
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองดู บางทีที่นี่อาจเป็นโลกที่น่าสนใจมากก็ได้” สวี่ล่ายยิ้มบาง “ไหนๆก็อยู่ในป่าหมอกแล้ว งั้นก็ขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักแล้วกัน”
[ติ๊ง!]
[การแนะนำจากระบบสิ้นสุดลงแล้ว]
เพียงแต่ ณ ขณะนั้นเอง เสียงของระบบดังขึ้นในใจเขา ในเวลาเดียวกัน ภายในตันเถียนปรากฏแสงสว่างเรืองรอง พวกมันเริ่มจากจุดแสง แล้วค่อยๆจับตัวกันเป็นม้วนเหล็กสีดำ
“นี่มันอะไร?” สวี่ล่ายผงะเล็กน้อย ก่อนใช้จิตสำนึกเข้าตรวจสอบมัน
หึ่ง หึ่ง~!
ม้วนเหล็กดำคล้ายสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกของสวี่ล่าย มันสั่นสะเทือนเล็กน้อย แล้วค่อยๆคลี่ออก
“หือ? ที่แท้มันก็คือคู่มือการเอาตัวรอดนี่เอง”
เห็นข้อมูลในม้วนเหล็กดำ สวี่ล่ายปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง อักขระสีทองผุดขึ้นในใจเขาทีละตัว ทีละตัว
โฮสต์: สวี่ล่าย
ฐานบำเพ็ญเพียร : ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้น 6
สมญานาม : นักบู๊
ทักษะฝึกตน : เคล็ดตะวันนภาขั้น 2
วิชายุทธ : ร้อยฝ่ามือปะทะท่อนที่ 1
วิชาปลิดชีพ : สะบั้นกระหายเลือดขั้นต้น
วิชาเทพของตระกูล : ราชานรกประทับร่าง
อาชีพรอง : ไม่มี
ค่าปราณสังหาร : 1/1000
ค่าใจปีศาจ: 1/1000
แต้มสะสม : 0
อุปกรณ์ : ดาบกระหายเลือด (สิ่งประดิษฐ์ประจำตระกูล )
ระดับของอาวุธ : ระดับสมบัติขั้นกลาง (สามารถอัพเกรดได้)
ต้องเผชิญกับข้อมูลชุดนี้ สวี่ล่ายกระพริบตาปริบๆ มุมปากเขากระตุกอีกครั้ง “เอาเถิด นับแต่นี้ไป ฉันคือสวี่ล่าย!”
สวี่ล่ายเก็บม้วนเหล็กดำไว้ในตันเถียนของเขาก่อน เนื่องจากตั้งใจจะใช้ชีวิตในโลกใบนี้แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการศึกษามันอย่างละเอียด
แต่สำหรับตอนนี้ ... สวี่ล่ายขอนำศพของสองพี่น้องสวี่ไปฝังอย่างเรียบง่ายเสียก่อน
แม้สองคนนี้จะพยายามฆ่าสวี่ล่าย ... ไม่สิ ต้องบอกว่าฆ่า ‘สวี่ล่าย’ ในโลกนี้สำเร็จแล้วจริงๆ แต่สุดท้ายทั้งสองก็ยังเป็นคนของตระกูลสวี่ ไม่อาจทิ้งศพใไว้ทนโท่เช่นนี้ได้
สไตล์ของเขาในฐานะทหารหน่วยรบพิเศษก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ต่อให้เป็นศพศัตรู ก็จะฝังมันด้วยมือตัวเอง
ที่เขาทำเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาหรือมีจิตเมตตาใดๆ เพียงแค่หวังว่าพอวันหนึ่งตนเป็นคนที่ตาย จะได้ถูกฝังลงดินอย่างสงบบ้าง
สวี่ล่ายนำแหวนมิติในมือขวาของสวี่เฉียนออก และลองตรวจสอบดู เขาพบว่าวัตถุข้างในสอดคล้องกับที่ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ
หลังจากหาสถานที่พักผ่อนอยู่พักใหญ่ เขาก็ลองเปิดม้วนเหล็กดำในตันเถียนดู
สวี่ล่ายซ่อนตัวบนกิ่งไม้ ปิดตาทั้งสองข้าง เพ่งสมาธิเปิดม้วนเหล็กดำ
“ว้าว~ นี่มันสุดยอดไปเลย!”
สิ่งแรกที่สวี่ล่ายเห็น คือระดับขอบเขตต่างๆของในโลกใบนี้
วิถีแห่งศิลปะการต่อสู้ แบ่งเป็นลำดับชั้นอย่างชัดเจน จากต่ำไปสูงแบ่งออกเป็น : ขอบเขตรวบรวมปราณ , รวมวิญญาณ , เปิดตะวัน , รวมจิต , ห้วงวิญญาณ , ย้ายวิญญาณ , ผันเปลี่ยนสังขาร , เบิกสวรรค์ ,ห้วงจินตภาพ
ส่วนสมญานามของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ก็จะแบ่งโดยอิงตามลำดับของฐานบำเพ็ญเพียร ซึ่งเรียงจากต่ำไปสูงเหมือนข้างบน ดังนี้ : นักสู้ (ขอบเขตรวบรวมปราณ) , ผู้ชำนาญการต่อสู้ (รวมวิญญาณ) , จิตนักสู้ , ราชานักสู้ , ประมุขนักสู้ , เทพนักสู้ , นักสู้ผู้ทรงศักดิ์ , เซียนนักสู้ ,จักรพรรดินักสู้
แต่ละขอบเขตที่เปิดออก ล้วนแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของร่างกายและจิตวิญญาณ
และในทุกๆการพัฒนาที่สูงขึ้น ก็จะสามารถเปิดกฏแห่งสวรรค์และปฐพี ได้รับของขวัญจากพระเจ้า——อายุยืนยาว
และเมื่อผู้ฝึกตนก้าวเข้าสู่ขอบเขตเปิดตะวัน เขาก็จะได้รับโอกาสแรกในการเปิดกฏสวรรค์และปฐพี สามารถยืดอายุขัยได้อย่างน้อย 50 ปี
กล่าวคือ หากคนธรรมดาอยู่ได้ 100 ปีตลอดชั่วอายุขัย เช่นนั้นผู้ฝึกตนที่ไปถึงขอบเขตเปิดตะวัน ก็จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น 150 ปี
ในขณะที่ขอบเขตรวมจิต ก็จะสามารถเปิดกฏสวรรค์และปฐพีได้อีกครั้ง จะได้รับอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆในขอบเขตถัดๆไป
ซึ่งนี่เองที่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนคลั่งไคล้!
“ผู้ฝึกตนในระดับสูงมากๆจะได้รับชีวิตนิรันดร์!”
“ว้าว! นี่มัน ... ชักจะน่าตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว” สวี่ล่ายเลือดลมสูบฉีด จนเกือบกระโดดลงจากต้นไม้ด้วยความตื่นเต้น แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะฝึกฝนทันทีเพื่อทะยานสู่ฟากฟ้าและกลายเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่ง
แต่ไม่นาน จู่ๆจิตใจของสวี่ล่ายก็สงบลง
เพราะเขาเชื่อ ว่าโลกนี้มันไม่เรียบง่ายขนาดนั้น อย่างน้อยคำว่า ‘ขุมพลังผู้แข็งแกร่ง’ นี้ มันคือตัวตนของผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนขั้นบันไดสูงสุดแน่นอน และน่าจะมีจำนวนไม่มาก
“แต่แล้วยังไง ในเมื่อฉันได้ข้ามมิติมาแล้ว มันก็เหมือนการเริ่มต้นใหม่ ในโลกใบนี้ ฉันนี่แหละที่จะกลายเป็นรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุด!” สวี่ล่ายยืดอดขึ้น มองไกลออกไปด้วยสายตาแน่วแน่
“โบร๊วว——!”
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงหมาหอนดังขึ้น สวี่ล่ายตกใจจนเกือบพลาดตกต้นไม้
“บ้าจริง ฉันเกือบลืมไปเลย ว่ายังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อันตราย” สวี่ล่ายยิ้มเจื่อน ก้มมองไปยังป่าหมอกที่มืดมิด
หลังจากได้อ่านคู่มือแล้ว เขาก็ตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าการบุกเข้าป่าหมอกเพียงลำพัง มันไม่ใช่เรื่องตลก
ป่าหมอกแห่งนี้ มีละอองหนาปกคลุมตลอดทั้งปี ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าข้างในใหญ่หรือลึกเพียงใด และไม่ทราบว่ามีสัตว์ปีศาจอยู่กี่ตัว สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือจะเป็นหรือตายมันคาดเดาไม่ได้เลยเมื่อคุณบุกเข้ามาเพียงลำพัง
“เฮ้อ!” สวี่ล่ายหายใจเข้าลึกๆ ปรับปราณบริสุทธิ์ที่ผันผวนข้างในตัวให้สมดุล
ในชาติที่แล้ว สวี่ล่ายรู้ดีที่สุดถึงวิธีการเอาชีวิตรอดตามลำพังในป่า
อันดับแรกปรับจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเอง ลดกลิ่นอายที่เล็ดลอดจากร่างกาย จึงจะสามารถหลบเลี่ยงการถูกรังควานจากสัตว์นักล่าได้
ซึ่งในบรรดานักล่าในป่าใหญ่ หมาป่าคือหนึ่งในกลุ่มที่น่ากลัวที่สุด อย่างแรกเพราะพวกมันมักร่วมกันล่าเป็นฝูง อันตรายอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม โชคดีก็คือสวี่ล่ายซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้สูงกว่า 20 เมตร ทำให้อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฝูงหมาป่าล้อม
“สวบ .. สวบ สวบ ...”
บริเวณพงหญ้าไม่ไกล ได้ยินเสียงสวบสาบในความมืดมิด
ปัจจุบันประสาทหูของสวี่ล่ายนั้นแก่กล้ามาก เขาสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าน่าจะเป็นหมาป่าสามตัวที่กำลังเคลื่อนไหวช้าๆมาทางนี้
“ไม่เป็นไรหรอก บนต้นไม้สูงสมควรปลอดภัย คิดกินฉัน อย่างน้อยพวกแกก็ต้องรู้จักการปีนต้นไม้ ฮี่ ฮี่!” สวี่ล่ายยิ้มบาง เอาสองมือประสานท้ายทอยแล้วเอนตัวลงนอน พิงกิ่งไม้ใหญ่อย่างสบายใจ
ในพุ่มไม้ ประกายเย็นยะเยือกสามสายทอวาบ เงาดำสามร่างพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง
“เอ๋? แบบนี้ชักไม่ดีแล้ว!”
ก่อนที่สวี่ล่ายจะทันตอบสนอง หมาป่าขนเงินตัวใหญ่ในพุ่มไม้ก็กระโจนขึ้นมาอย่างดุดัน กรงเล็บเหล็กของมันจิกลงบนลำต้นไม้อย่างโหดเหี้ยม เพียงสองสามวินาทีก็ย่นระยะมาอยู่ห่างจากสวี่ล่ายไม่ถึงสิบอิงฉื่อ
“ไอ้แม่ย้อย! หมาป่าโลกนี้แม่งปีนต้นไม้ได้เฉยเลย!”
สวี่ล่ายกลัวมากจนสั่นไปทั้งร่าง ลุกพรวดขึ้นอย่างไวและเรียกดาบกระหายเลือดในแหวนมิติออกมา พร้อมฟันเต็มแรง
แก๊ง แก๊ง!
หมาป่าขนเงินใช้อุ้งเท้าใหญ่ฟาดออกไปสองที และสามารถปัดดาบได้สำเร็จ ก่อนอ้าปากแล้วเตรียมกัดขย้ำเขา
“บ้าเอ๊ย ทำไมแกถึงแรงเยอะแบบนี้ อ๊ะ ...” ระหว่างกำลังเตรียมรับมือสถานการณ์ถูกโจมตีกะทันหัน มือไม้เขาปัดป่ายสับสน สุดท้ายเท้าข้างหนึ่งเหยียบอากาศโดยไม่ตั้งใจ พลัดตกจากต้นไม้
โครม!
“อ๊าาาา~!เจ็บจัง”
“กรอด กรอด——!”
สวี่ล่ายยังไม่ทันได้ลุกขึ้นปีนขึ้นต้นไม้ หมาป่ายักษ์ขนเงินอีกตัวก็โผล่มาจากพุ่มไม้อย่างดุเดือด กระโจนเข้าหาเขา
“ว๊ากกกก! ฝ่ามือร้อยปะทะท่อนที่ 1!”
สวี่ล่ายไม่สนใจสิ่งอื่นใด เขาขยับแขนซ้าย รวบรวมปราณบริสุทธิ์เข้าไปแล้วตบอย่างแรง
ตูม~!
ฟาดเข้ากลางหน้าผากของหมาป่ายักษ์ขนเงิน
“เอ๋ง!”
หมาป่ายักษ์ขนเงินสั่นเล็กน้อย ดีดตัวถอยหลังอย่างนุ่มนวล
เห็นได้ชัดว่า ฝ่ามือของสวี่ล่ายนั้นไม่ทรงพลังพอ มันทำได้แค่บังคับให้หมาป่าถอยหลัง แต่ไม่สร้างความเสียหายมากมายอะไร
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่หมาป่ายักษ์ขนเงินที่เพิ่งถูกบังคับถอย หมาป่าตัวข้างบนต้นไม้ก็กระโดดลงมา
กรร~!
ตึง!
เมื่อเท้าของมันตกถึงพื้น สวี่ล่ายงัดสิบแปดกระบวนท่าหมุนพลิกตัว ม้วนไปตามพื้นด้านข้างอย่างทุลักทุเล
“กรร!”
ในที่สุดหมาป่าตัวที่สามก็เคลื่อนไหว
หมาป่าตัวนี้ฉลาดมาก มันใช้จังหวะที่สวี่ล่ายเพิ่งหลบอย่างเต็มแรง ไม่ปล่อยให้เขาตั้งตัวหรือรวบรวมแรงใหม่
นับว่าเป็นการใช้จังหวะเวลาอย่างชาญฉลาดและแยบยลยิ่ง!
กรร!
หมับ!
หมาป่ายักษ์ขนเงินกัดลงบนแขนขวาของสวี่ล่าย ฟันอันแหลมคมเจาะเข้ากล้ามเนื้อแขนเขาโดยตรง เลือดสดๆทะลักเป็นน้ำพุ
“ว๊ากกก!” สวี่ล่ายไม่สนใจความเจ็บปวด กำหมัดซ้ายแล้วชกเข้าที่เบ้าตาข้างหนึ่งของหมาป่ายักษ์ขนเงินด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ปึก ปึก~!“
เอ๋ง เอ๋ง!
ตาซ้ายของหมาป่ายักษ์ขนเงินเจ็บปวดเกินทน มันส่งเสียงร้องโหยหวน ชักฝีเท้าถอยอย่างรวดเร็ว
กรร กรร!
เดิมหมาป่ายักษ์อีกสองตัวตั้งใจจะโจมตีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เวลานี้สวี่ล่ายสบโอกาสลุกขึ้นตั้งตัวได้แล้ว ตั้งท่าเตรียมรับมือ ระวังตัวอย่างเต็มรูปแบบ
“แฮ่ก แฮ่ก ... ไอ้พวกหมาชั่ว! แฮ่ก แฮ่ก ...”
กล้ามเนื้อตรงหางตาของสวี่ล่ายกระตุกเล็กน้อย เมื่อครู่เขาเกือบไม่รอดภายใต้ปากหมาป่า โทสะที่ซ่อนเร้นในส่วนลึกในใจเริ่มลุกโชนแผดเผา
ติ๋ง ติ๋ง~!
เลือดที่แขนหยดลงบนดาบกระหายเลือด ดาบระดับสมบัติคล้ายสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอสังหารจากเจ้านายของมัน ทันใดนั้นสาดแสงสีแดงเรืองรอง
“หมาป่ายักษ์ขนเงินสามตัว ระดับกลางขั้น 1 หนึ่งตัว กับระดับต่ำขั้น 1 อีกสองตัว ...” สวี่ล่ายคำนวณพลังรบของสัตว์ปีศาจทั้งสามตนนี้
ตัวเขาคือนักสู้ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้น 6 โดยปกติแล้วสามารถรับมือกับสัตว์ปีศาจระดับกลางขั้น 1 ได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับการปิดล้อมโจมตีจากหมาป่ายักษ์ทั้งสามตน เกรงว่ามากสุดคงทำได้แค่วิ่งหนีเท่านั้น
ยังไงก็ตาม ตอนนี้มืดแล้ว และในป่าหมอกปกคลุมไปด้วยละอองหนา การวิ่งท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่นี่อันตรายสุดๆแน่นอน สิ่งเดียวที่ควรทำคือต่อสู้อย่างสุดกำลัง!
“กรร กรร!——!”
หมาป่ายักษ์สามตัวล้อมกรอบสวี่ล่ายแบบซิกแซก พวกมันค่อยๆวนเป็นวงกลมอย่างช้าๆ มองหาจังหวะที่ดีที่สุดในการโจมตี
“สะบั้นกระหายเลือดใช้ได้ครั้งเดียว ปราณบริสุทธิ์ในตัวฉันไม่มากพอให้ใช้มันอีกครั้ง แต่ ... ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้ปัญหา!” มุมปากของสวี่ล่ายโค้งงอเล็กน้อย เอาจริงยิ่งสภาพแวดล้อมอันตรายมากเท่าไหร่ สวี่ล่ายกลับสามารถเยือกเย็นได้มากเท่านั้น
กรร!
หมาป่ายักษ์ขนเงินอ้อมไปข้างหลังสวี่ล่าย และจู่โจมอย่างฉับพลัน
“ฮึ่ม! ฝ่ามือร้อยปะทะท่อนที่ 1!” สวี่ล่ายตะคอกเย็นชา หันกลับมาพร้อมฟาดฝ่ามือ
อย่างไรก็ตาม หมาป่ายักษ์เพียงแสร้งทำเป็นจะโจมตีเท่านั้น มันถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว
ถูกต้อง!
หมาป่ายักษ์ขนเงินตนนี้เพียงต้องการดึงดูดความสนใจของสวี่ล่าย
กรร กรร!
หมาป่ายักษ์อีกสองตัวคำราม และกระโจนเข้ามาในเวลาเดียวกัน
“นี่แหละจังหวะที่ฉันรอคอย! สะบั้น——กระหายเลือด!”