ตอนที่แล้วบทที่ 190 – สุดท้ายก็ต้องจากลา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 192 – หมู่บ้านที่น่าพิศวง

บทที่ 191 – หมู่บ้านในภูเขา


...................

หลังจากแสงสีขาวจางหายไป มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนเนินเขาเล็ก ๆ ที่ปกคลุมได้ด้วยหมู่ไม้เขียวขจีจนเป็นป่าทึบแห่งหนึ่ง เสียงนกร้องดังขึ้นอย่างตกใจ สัตว์ตัวเล็ก ๆ วิ่งหนีออกมาจากบริเวณนั้น

ร่างที่ปรากฏขึ้นเป็นบุคคลที่มีความสูงมากกว่า 190 เซนติเมตร เขาค่อย ๆ ขยับตัวอย่างช้า ๆ แต่ยังเลือกที่จะยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนเนินเขานั้นอย่างเงียบ ๆ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ขอบฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ใช่แล้ว! นี่คือผมเอง! นักเวทย์ธาตุแสงผู้มีชื่อเสียงแห่งอาณาจักรอ้ายเซี่ย ‘เว่ยจางกง!’ คนดีคนเดิมของพวกคุณ

ผมหลบหนีออกมาจากเมืองหลวงของอาณาจักรได้สำเร็จแล้ว หลังจากนึกย้อนกลับไปถึงความรู้สึกอันลึกซึ้งที่ไหสุ่ยมี มันทำให้ผมจิตใจของตัวเองสั่นไหวขึ้นมาอีก นอกจากนั้น ตอนนี้ผมยังมีมู่จือที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนของเผ่าปีศาจรออยู่อีก นั่นเป็นผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต ที่กลายเป็นเจ้าหญิงของเผ่าปีศาจขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าผมจะช่วยชีวิตเธอออกมาจากเรื่องเลวร้ายที่ทำในอาณาจักรอ้าวเซี่ยและถูกจับตัวเอาไว้ แต่เธอก็กลับไปที่เผ่าปีศาจอีกครั้งเพื่อหวังจะหยุดยั้งสงคราม แน่นอนเห็นได้ชัดว่ามันไม่เป็นผล

‘ผมต้องไปช่วยมู่จือกลับมาให้ได้ก่อน มันไม่สามารถปล่อยเธอให้อยู่ที่นั่น และถูกบังคับให้เข้าร่วมสงครามได้’

แล้วผมก็เริ่มคิดถึงเพื่อน ๆ ของตัวเองต่อ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้พี่ใหญ่จ้านหู่กับคนที่เหลือเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าผมไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ การเดินทางไปที่ดินแดนของเผ่าปีศาจน่าจะราบรื่นขึ้นไม่น้อย ผมคงต้องเดินทางไปอาณาจักรซิวต้าก่อนเสียแล้ว หลังจากนั้นค่อยพากันไปทวีปตะวันตกต่อ อันที่จริงผมไม่ได้กังวลกับการเดินทางไปที่เผ่าปีศาจมากนัก เพราะผมค่อนข้างจะมั่นใจในพลังของตัวเองพอสมควร สิ่งที่ผมกลัวมากคือจะเป็นยังไงถ้ามู่จือไม่ยอมกลับมากับผม เธอจะทอดทิ้งผมเพื่อเผ่าของเธอหรือเปล่านะ

หลังจากตัดสินใจเรื่องเป้าหมายในการเดินทางต่อได้แล้ว ผมเริ่มจะสงบใจลงได้บ้าง เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วคำรามปลดปล่อยความรู้สึกออกไปลั่นท้องฟ้า แล้วใช้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตัวเองเหาะขึ้นไปจากเนินเขาที่ผมยืนอยู่นั้นทันที

ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ผมหลงทางอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ผมใช้ผังเวทย์เคลื่อนย้ายส่งตัวเองออกมา มันแค่กำหนดเอาไว้ให้มุ่งมาทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงเท่านั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้มันน่าจะอยู่ห่างจากเมืองอ้ายเซี่ยมาทางตะวันตกประมาณ 500 กิโลเมตร

แต่ผมตั้งใจจะลืมเรื่องนั้นไปก่อน ไม่ต้องไปสนใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหนในขณะนี้ก่อน แค่มุ่งตรงไปข้างหน้าเรื่อย ๆ มันต้องน่าจะมีเมืองหรือหมู่บ้านอะไรอยู่บ้าง หลังจากนั้นผมค่อยถามเรื่องทิศทางจากชาวบ้านต่อ ว่าผมควรจะเดินทางไปทิศทางไหนต่อ

และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเป็นอย่างมากของผมเลย เพราะหลังจากผ่านมาถึงสามวันมันก็ยังมีแต่ป่า และป่าเท่านั้น ถ้าผมเป็นนักเวทย์แห่งสายลม ก็คงจะไม่เสียเวลามากขนาดนี้หรอก แต่อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า ผมเป็นนักเวทย์แสง ที่มีธาตุรองเป็นเวทย์มิติ มันไม่สามารถทำให้ผมสามารถเหาะได้นานมากนัก เพราะต่อให้ผมใช้พลังของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่ใช่ในสภาพร่างกายที่ยังอ่อนล้าอยู่อย่างนี้ เหลือความแข็งแกร่งของร่างกายอยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของปกติ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ไม่สามารถพาผมเหาะไปได้ไกลมากอยู่แล้ว แน่นอนว่าผมเลือกใช้การเคลื่อนย้ายระยะสั้นเป็นหลักในการเดินทาง แต่ผลที่ได้ออกมานั้นก็ไม่ได้ดีนัก หลังจากเคลื่อนย้ายตัวเองอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผมก็เริ่มรู้แล้วว่า ผมหลง! ให้ตายสิ!!! ผมหลงทางอย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะ แล้วผมก็ไม่กล้าใช้การเคลื่อนย้ายระยะใกล้อีกเลย เพียงแต่ใช้การเดินเท้าของผมมุ่งหน้าตรงไปเรื่อย ๆ และในที่สุดผมก็สามารถหลุดออกมาจากป่าทึบได้เสียที สภาพตอนนี้ของผมมันดูไม่ได้เอาเสียเลย พวกขอทานยังดูจะแต่งตัวดีกว่าผมไม่น้อย เสื้อผ้าของผมมันขาดวิ่นไปหมดแล้ว

หลังจากทนทรมานมาเป็นระยะเวลานานในคุกหินนั่น ประกอบกับตั้งแต่ไหสุ่ยช่วยเหลือผมออกมาได้ ผมยังไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งตอนนี้ อาหารของผมมันหมดลงแล้ว ทำให้ทั้งพลังเวทย์และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของผมนั้นเหลืออยู่น้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ที่ผมใช้มันเพื่อเหาะเข้าป่ามาในช่วงแรก

และสภาพของคทาเวทย์ซู่เกอลานั่นก็ไม่ได้ดีไปกว่าผม มันถูกผมใช้เป็นไม้เท้าเพื่อช่วยผยุงตัวให้เดินทางต่อได้ ชีวิตที่เคยราบรื่นราวกับโรยด้วยกลีบกุหลาบของผมมันหายไปไหนหมดแล้วนะ? ที่ผ่านมาผมไม่เคยต้องลำบากขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ผมก็ต้องทนต่อไป

ผมยังคงเดินมุ่งหน้าไปตามทิศทางเดิมที่ตั้งใจไว้ แม้ว่าตอนนี้ผมจะเดินโซเซมากแล้วก็ตาม ออกจากป่ามาได้ไม่นานนัก ที่เบื้องหน้าของผมก็ปรากฏควันไปไฟเป็นเกลียวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มันเป็นสัญญาณของการมีผู้คนอาศัยอยู่ข้างหน้าแน่นอน มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ผมรีดเร้นพลังทุกหยดที่เหลืออยู่ในร่างกายออกมา มุ่งหน้าไปตามควันไฟนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วตอนที่ผมขึ้นไปถึงยอดเนินที่อยู่ตรงหน้า เมื่อมองลงจากเนินเขานั่นไป มันมีหมู่บ้านขนาดใหญ่ตั้งอยู่

เมื่อเห็นความหวังมาตั้งอยู่ตรงหน้า ผมก็เริ่มมีแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจนได้ ด้วยความดีใจที่เอ่อล้นออกมา ร่างกายของผมก็เริ่มขยับลงจากเนินเขา ผมถึงกับส่งเสียงร้องดีใจออกมาเสียงดังด้วยซ้ำ

พอเข้าไปใกล้กับหมู่บ้านมากขึ้น ผมได้ยินเสียงน้ำอย่างชัดเจน มันมีแม่น้ำไหลผ่านอยู่ข้างหมู่บ้าน และมีน้ำตกที่สูงขนาด 30- 40 เมตรตั้งตระหง่านให้เห็นได้อย่างเต็มตา ไม่ไกลกันนั้นยังมีน้ำพุอยู่อีกแห่งหนึ่งด้วย มันน่าจะเป็นแหล่งน้ำหลักสำหรับการบริโภคในหมู่บ้านนี้ ขนาดของหมู่บ้านนั้นใหญ่พอสมควร มันควรจะมีบ้านเรือนอยู่อย่างน้อย 600-700 หลัง บ้านทั้งหมดสร้างขึ้นมาจากไม้แล้วไม้ไผ่เท่านั้น รอบ ๆ บริเวณหมู่บ้านล้วนล้อมรอบไปด้วยภูเขา ทำให้บรรยากาศของหมู่บ้านนั้นดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก ผมไม่นึกเลยว่าจะมาพบกับหมู่บ้านที่ใหญ่ขนาดนี้ในพื้นที่ที่ห่างไกลได้

แล้วเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้พอจนเห็นทางเข้าหมู่บ้าน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนในแสงแดดอันเจิดจ้า นี่ทำให้ผมเริ่มเบาใจแล้ว

แต่มีเสียงดังกังวานมาขัดความดีใจของผมก่อน “เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมาที่หมู่บ้านของพวกเรา?”

ผมหันไปมองทางที่เสียงลอยมา เจ้าของเสียงดูเหมือนจะมีเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 18-19 ปี เขาสูงและมีร่างกายกำยำ ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยพละกำลังที่พร้อมจะระเบิดออกมา ในมือถือซากสัตว์ป่าที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรอยู่ จากที่ผมเห็น เขาน่าจะเป็นนายพรานนะ แต่! จากกิริยาท่าทาง และพลังที่เต็มเปี่ยมจนรู้สึกได้ บางทีเขาอาจจะเชี่ยวชาญในวิชาต่อสู้ด้วยล่ะ แต่ทำไมมันถึงมีคนฝึกวิชาการต่อสู้ ฝึกเป็นนักรบในอาณาจักรอ้ายเซี่ยอยู่อีกล่ะ นี่มันแปลกจริง ๆ

ผมเลยตอบออกไปอย่างสุภาพก่อน “น้องชายท่านนี้ ข้าเพียงแต่เป็นผู้ที่ผ่านทางมา และกำลังอ่อนแรงเป็นอย่างมาก อยากจะหาซื้อน้ำและอาหารในหมู่บ้านสักหน่อย และอาจจะขอพักให้หายเหนื่อยก่อนเสียเล็กน้อย”

เด็กหนุ่มคนนั้นขมวดคิ้วอย่างไม่ไว้ใจ มองสำรวจผมไปทั้งตัว ก่อนจะกล่าว “ก็ได้ ตามข้ามา” หลังจากนั้นเขาก็เดินออกนำหน้าผมไป

“ขอโทษที่ต้องรบกวนน้องชายท่านนี้แล้ว” ผมยังใช้คทาเวทย์ซู่เกอลาเป็นไม้เท้าอยู่ และพยายามเดินโซเซตามเขาไป

หลังจากเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ผมก็เห็นเด็กหนุ่ม 2-3 คนยืนอยู่ พวกเขายังเด็กกว่าคนที่พาผมเข้ามาไม่น้อย

“พี่ใหญ่เจี้ยนซาน พี่กลับมาแล้วเหรอ หวา!! พี่จัดการจิ้งจอกม่วงได้อีกตัวหนึ่งแล้ว พี่นี่เยี่ยมจริง ๆ”

“นี่คือพี่ใหญ่ของพวกเราเจี้ยนซานนะ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมู่รุ่นเยาว์ของหมู่บ้านแล้ว นี่มันเป็นเรื่องปกติน่า”

ชายหนุ่มที่เดินนำผมเข้ามายิ้ม แล้วปรามพวกเขานิดหน่อย “พอได้แล้ว ไม่ต้องมายกยออะไรข้ามาก! ถ้าเหล่าผู้อาวุโสมาได้ยินเข้า พวกเจ้าจะโดนหมายหัวเอาได้”

พวกเขายังทำหน้าล้อเลียนกันต่อ แต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากแล้ว จนหนึ่งในพวกเขาตาดีพอที่จะมองเห็นผมได้ “พี่ใหญ่เจี้ยนซาน เขาคือใคร? พี่ไปพาขอทานคนนี้มาจากไหน?”

เจี้ยนซานตำหนิเขา “ซานโต้ว เลิกพูดอะไรไร้สาระน่า เขาน่าจะแค่หลงทางมา เจ้ารีบวิ่งไปรายงานผู้อาวุโสใหญ่ให้ข้าที ให้ท่านตัดสินใจว่าจะเก็บคนนอกนี้เอาไว้หรือไม่”

เด็กหนุ่มที่ชื่อซานโตวรีบรับคำ ก่อนจะหันหลังแล้ววิ่งออกไปทันที

ส่วนเจี้ยนซานหันมาบอกผม “ส่วนพี่ชายท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้!” หลังจากที่พูดจบ เขาก็เดินนำผมไปที่บ้านที่สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ผมกล่าวขอบคุณอย่างอ่อนแรง “ขอบคุณน้องชายมาก”

เขารินน้ำใส่แก้ว แล้วส่งมันให้ผม “ลองชิมน้ำจากน้ำพุนี่ดู มันไม่เลวเลย”.

ผมยกแก้วขึ้นดื่มมันลงไปรวดเดียวเลย ความรู้สึกเย็นช่ำกระจายไปทั่วร่างกายทันที อา!! ผมรีบขอบคุณเขาอีกครั้งอย่างพอใจมาก “ขอบคุณมาก น้ำพุนี่ช่างเหมาะสำหรับการดื่มจริง ๆ นี่เป็นน้ำที่มาจากน้ำพุที่อยู่ข้างหมู่บ้านใช่มั้ย?”

เจี้ยนซานพยักหน้ารับ ก่อนที่จะรินเพิ่มให้ผมอีกแก้ว “น้ำพุนี้เป็นเส้นเลือดหลักของหมู่บ้านเราเลย ถ้าไม่มีมันไหลออกมาตลอดทั้งปี พวกเราชาวหมู่บ้านคงจะไม่มีชีวิตรอดอยู่ได้หรอก”

ผมดื่มน้ำในแก้วที่เขายื่นให้ใหม่จนหมด ก่อนจะกล่าวเห็นด้วย “ถูกแล้ว! ถูกแล้ว! น้ำคือต้นกำเนิดของชีวิต” ตอนที่ผมพูด ผมอดจะนึกถึงไหสุ่ยไม่ได้ เธอเป็นนักเวทย์ธาตุน้ำนี่!

“พี่ใหญ่เจี้ยนซาน ผู้อาวุโสต้องการให้นำคนแปลกหน้านั่นไปพบกับเขา” เสียงของซานโต้วดังมาจากทางหน้าบ้าน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด