ตอนที่แล้วบทที่ 176 – กลับมาที่สถาบัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 178 – การโจมตีในวังหลวง

บทที่ 177 – เจ้าชายเคอจาสืบทอดบัลลังก์


แล้วเขาก็เปลี่ยนท่าทางอย่างทันทีเหมือนนึกอะไรได้ แล้วหันมากล่าวกับผม “มีบางอย่างที่อาจารย์จะต้องบอกเธอเอาไว้ ในช่วงวันหยุดที่เธอไม่อยู่นี้ ราชาองค์ก่อนของอาณาจักรเราได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว ตอนนี้เจ้าชายเคอจาทรงเป็นราชาองค์ปัจจุบันของอาณาจักรอ้ายเซี่ยแล้ว”

ผมต้องถามย้ำด้วยความตกใจ “องค์ราชาสิ้นพระชนม์ไปแล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือครับ?”

อาจารย์ตี้ถอนหายใจ “ถูกต้องแล้ว มันเป็นเรื่องที่ลำบากมากอยู่แล้วที่พระองค์จะทรงพระชนม์ชีพอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พอสิ้นองค์ราชาแล้ว เจ้าชายเคอจาก็ขึ้นมามีอำนาจเต็มที่ พระองค์ได้พระราชทานตำแหน่งให้กับตาเฒ่าอย่างพวกเราทันทีเหมือนกัน ทุกคนได้รับตำแหน่งจอมเวทย์หลวง นั่นรวมถึงเธอด้วย จางกง”

ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ “เจ้าชาย..อา! ไม่สิ องค์ราชาของอาณาจักรทรงรู้จริง ๆ ว่าจะครองใจผู้คนได้อย่างไร”

อาจารย์ตี้เห็นด้วย “อาจารย์ก็คิดว่าครานี้เคอจาทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะมอบตำแหน่งให้กับพวกเราที่ช่วยพวกเขาในการประลองเท่านั้น แต่ยังมอบรางวัลให้กับสองตระกูลใหญ่แล้วก็ซีตุนหยูด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้แต่งตั้งให้อาจารย์ ชวนซง และซีตุนหยูเป็นจอมเวทย์พิทักษ์อาณาจักร ส่วนทางมหาเสนาบดีเต๋ออีนั้น อำนาจในมือของเขาลดลงไปมากเลยทีเดียว ช่วงนี้อาณาจักรอ้ายเซี่ยน่าจะมีความสงบสุขอยู่ไม่น้อย”

ผมกล่าวออกมายิ้ม ๆ “นี่มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่เหรอครับ? มันเป็นสิ่งที่พวกเราคาดหวังไว้ แสดงว่าพวกเราไม่ได้เหนื่อยเปล่าแล้ว”

เขาพยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อ “อาจารย์ได้คืนตำแหน่งของเธอให้เจ้าชายเคอจาไปนะ เธอยังเด็กอยู่มาก ไม่ควรที่จะอยู่ในความสนใจของคนมากเกินไป มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเธอเลย เธอไม่ได้โทษอาจารย์เรื่องนี้ใช่มั้ย?”

ผมต้องกระแอมออกมา “ทำไมผมจะต้องโทษอาจารย์ด้วยล่ะครับ? ผมยังต้องขอบคุณอาจารย์เสียอีกครับ ผมไม่ได้อยากจะเป็นขุนนางอะไรนั่นเลย มันจะทำให้ผมไม่มีอิสระแน่ แล้วผมยังมีเจ้าหมูน้อยมู่จือต้องดูแล้วอยู่แล้วด้วยนะครับ เนื้อชิ้นใหญ่ราคามันต้องสูงมากอยู่แล้ว ผมยังไม่มีเงินจ่ายหรอกครับ รอให้ผมมีความสามารถมากกว่านี้ก่อน ค่อย ๆ หาเนื้อชิ้นใหม่ก็ได้ครับ มันจะเหมาะสมกับผมมากกว่าด้วย”

อาจารย์ตี้ส่ายหัว “อาจารย์จะทำยังไงกับเด็กอย่างเธอดีนะ? แต่มันก็เป็นเหตุผลที่อาจารย์ปฏิเสธไม่ให้เธอรับตำแหน่งอยู่เหมือนกันด้วย อาจารย์ไม่อยากให้เธอต้องสับสนเกินไป หน้าที่ตอนนี้ของเธอก็หนักมากอยู่แล้ว การรับมือกับราชามารไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อยู่แล้ว ถึงแม้จะมีความช่วยเหลือจากเผ่ามังกร แต่เธอก็ยังจะวางใจด้วยเรื่องแค่นี้ไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”

ผมพยักหน้าให้เขาอย่างหนักแน่น “ผมเข้าใจดีครับ อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงกับเรื่องนี้เลยครับ”

..............

มู่จือเดินทางกลับมาถึงสถาบันก่อนวันเปิดภาคเรียนแค่วันเดียวเท่านั้น สีหน้าท่าทางของเธอนั้นดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หน้าของเธอนั้นซีดมา ผมรีบถามอย่างเป็นห่วง “มู่จือ เป็นอะไรหรือเปล่า? นี่เธอไม่สบายหรือยังไง?

เธอฝืนยิ้มออกมา แล้วบอกผม “ไม่เป็นไรหรอก แค่ปวดหัวนิดหน่อยแค่นั้นเอง”

ผมใช้มือแตะหน้าผากที่เย็นชืดของเธอ “ถ้าเธอรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เธอต้องบอกฉันนะ แต่ด้วยระดับพลังเวทย์อย่างเธอ มันไม่น่าจะป่วยอะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว”

มู่จือยังยืนยัน “ฉันสบายดี จริง ๆ!”

ผมรู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติไปในสายตาที่เธอมองมาที่ผม ใช่! มันดูเหมือนว่าเธอจะมีความรักให้ผมมากขึ้น แต่! มันเหมือนมีความเศร้าโศกแฝงอยู่ในนั้นด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ มันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ผมเรียกเพื่อน ๆ บางคนมารวมตัวกันเพื่อจะไปกินอาหารที่ภัตตาคารหยกปริ่มน้ำในบ่ายวันนั้น ตอนนี้หม่าเคอนั้นท่วมท้นไปด้วยความสำเร็จแล้ว ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีที่เขามีกับบรรดาเมธีเวทย์ และความแข็งแกร่งของตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ราชาเคอจาจะแต่งตั้งให้เขาเป็นเจ้าชาย แล้วอีกอย่าง ด้วยความรักที่มีอยู่กับไห่เย่วอย่างลึกซึ้ง ทำให้ตอนนี้เขาเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุดในกลุ่มพวกเราแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมสงสัยเป็นอย่างมากก็คือ มู่จืดดูเหมือนจะสูญเสียความสามารถในการกินของเธอไปหมดแล้ว เธอไม่เจริญอาหารเอาเสียเลย แม้แต่ตอนที่ผมพยายามจะตักอาหารที่เธอชอบไปให้ เธอก็ได้แต่เล็ม ๆ กินเท่านั้น อาการของเธอไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง

หลังจากจบมื้ออาหาร พวกเราพากันกลับมาที่สถาบัน ผมพาเธอเดินไปนั่งอยู่ที่มุมเงียบ ๆ ที่หนึ่งของสถาบัน “มู่จือ เป็นอะไรไป? มีอะไรผิดปกติตรงไหน? บอกฉันมาเถอะ!”

เธอโผเข้ามากอดผมแน่นทันที “จางกง ฉันไม่อยากจะจากนายไปเลย ฉันไม่อยากจริง ๆ!” เธอร้องไห้คร่ำครวญคำพูดออกมา

ตอนนี้เธอเต็มไปด้วยความอ่อนไหว ผมได้แต่ช่วยตบหลังเธอเพื่อปลอบใจเบา ๆ ผมรู้ดีว่าถ้าผมไม่ปล่อยให้เธอร้องไห้ออกมาจนพอใจ มันไม่น่าจะเป็นผลดีกับเธอแน่ ๆ

หลังจากร้องไห้อยู่นานมาก ในที่สุดมู่จือก็สามารถหยุดตัวเองลงได้ เธอเงยหน้าที่ยังเต็มไปด้วยน้ำตาของเธอขึ้นมา “จางกง ถ้าพ่อแม่ของพวกเราไม่ยอมให้พวกเราอยู่ด้วยกัน นายจะทำยังไง?”

ผมลูบผมของเธออย่างทะนุถนอม ก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยน “เด็กโง่ ทำไมถึงได้ถามโง่ ๆ อย่างนี้? เรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง? ฉันนั้นยอดเยี่ยมขนาดนี้ พวกท่านต้องชอบฉันแน่ ๆ” หลังจากที่ผมพูดจบ ผมถึงกับเงยหน้ามองฟ้าอย่างเหยียดหยามเลยทีเดียว

เห็นผมทำท่าทางน่าขันแบบนั้น เธอก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา อารมณ์ของเธอเริ่มดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่เธอก็ยังไม่หายหดหู่ ยังเอ่ยถามย้ำมาที่ผมอีก “แล้วถ้าที่ฉันพูดเป็นความจริงล่ะ? ฉันไม่ได้ล้อนายเล่นนะ ตอบฉันมาแบบจริงจังได้แล้ว”

ผมให้คำตอบเธออย่างหนักแน่น “จะไม่มีใครมาแยกพวกเราออกจากกันได้หรอก ถึงแม้ว่าจะเป็นพ่อแม่ของเธอก็ตาม ถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วยกับความรักของพวกเรา ฉันจะพยายามหว่านล้อมโน้มน้าวพวกท่านก่อน ถ้ามันยังไม่ได้ผลขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะลักพาตัวเธอหนีไป หนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้าเลย ไปหาที่ที่มีทิวทัศน์งดงามอยู่อาศัยกัน ไม่ให้พวกเขาตามหาพวกเราเจอได้ หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งแล้ว พวกเราจะ...ฮิฮิ! ตอนที่ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ฉันค่อยพาเธอกลับมาพบพวกท่านอีกครั้งหนึ่ง”

มู่จือถอนหายใจ ก่อนจะเอนตัวเข้ามาซบกับไหล่ของผม “ถ้าสามารถทำแบบนั้นได้ ก็ถือว่าเป็นแผนที่ดี แต่มันจะสำเร็จจริง ๆ หรือ?”

ผมขมวดคิ้ว “จากที่เธอบอกมา แสดงว่าพ่อแม่ของเธอไม่ยอมรับในความสัมพันธ์ของพวกเราจริง ๆ เหรอ? ทำไมล่ะ? ฉันไม่ดีพอตรงไหน? พวกท่านยังไม่เคยเจอหน้าฉันด้วยซ้ำ ทำไม่พวกเขาถึงได้ห้ามไม่ให้พวกเราคบกันล่ะ?

มู่จือรีบเอ่ยปาก “นายไม่เข้าใจหรอก มันไม่เกี่ยวกับว่านายดีพอหรือเปล่า มันแค่...”

พอเห็นเธอกำลังจะกล่าวอะไรบ้างอย่าง แต่หยุดลงไป ผมรีบถามอย่างร้อนใจ “แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ? ได้โปรดบอกฉันมาเถอะ พวกเราจะได้ช่วยกันคิดหาวิธีแก้ปัญหาไง”

แต่เธอแต่เพียงส่ายหน้า แล้วมองมาที่ผมอย่างเสียใจ “ลืมมันไปก่อนเถอะ! แล้วนายจะได้รู้เองในอนาคต พวกเราค่อย ๆ เดินกันไปทีละก้าวดีกว่า”

แล้วผมก็ไม่มีทางอื่นให้เลือกอีกเหมือนเดิม เธอยังใช้คำพูดแบบเดิมทุกครั้งที่ถึงช่วงสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่จะต้องบังคับให้เธอพูดมันออกมา ผมเลยได้แต่นั่งกอดเธออยู่เงียบ ๆ ไว้ในอ้อมอก พยายามจะทำให้เธอสบายใจขึ้นมาบ้าง

สายตาของผมมองไปที่ไหล่ที่เธอซบอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ มันเปียกไปหมดด้วยน้ำตาของเธอ ผมเลยกล่าวกับเธอด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “อั้ยยะ! เธอดูนี่สิ ไหล่ของฉันเปียกน้ำตากับน้ำลายของเธอหมดแล้ว เธอต้องช่วยฉันซักมันเลยนะ” สิ่งที่ผมพูดออกไป มันทำให้บรรยากาศเดือดขึ้นมาได้ทันที

มู่จือผลักตัวเองออกจากอกของผมทันที หน้าของเธอแดง แต่แหวเสียงดังออกมาก่อน “นายนี้มัน! อย่ามาปรักปรำคนอื่นนะ นายนั่นแหละที่น้ำลายไหล มา! ฉันจะช่วยซักให้ก็ได้!!” เธอไม่ได้พูดอย่างเดียวเลย ดวงตาเธอก็ส่งประกายคุกคามออกมาด้วย แถมมือเธอยังมีลูกบอลน้ำอยู่อีก!

ผมได้แต่มองเธออย่างงง ๆ ก่อนจะรู้ตัวแล้วเริ่มวิ่งหนีไปรอบ ๆ ทันที โดยมีเธอวิ่งไล่ตามเพื่อปาบอลน้ำใส่ผมอย่างนับไม่ถ้วน

หลังจากพากันไปกินอาหารเย็นแล้ว ผมก็ไปส่งเธอที่หอพัก กำชับให้เธอพักผ่อนให้ดี

ส่วนตัวผมเองนั้น หลังจากส่งเธอเรียบร้อยแล้ว ผมมาเดินอยู่ตามลำพังที่สนามซ้อม สิ่งที่มู่จือพูดออกมาในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกหนักใจอยู่ลึก ๆ ดูเหมือนว่าการที่ผมกับมู่จือคิดจะอยู่ด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว แล้วอีกอย่าง มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด