ตอนที่ 254 ทฤษฎี ‘Yes’
ตอนที่ 254 ทฤษฎี ‘Yes’
ในสายตาของเซี่ยเฟยนั้นเยว่เกอเป็นหญิงสาวที่ลึกลับมาโดยตลอด เพราะเธอไม่เคยเปิดเผยภูมิหลังของตัวเองเลยทั้ง ๆ ที่โดยปกติเพศหญิงมักจะเป็นเพศที่กังวลเรื่องครอบครัวของตัวเองอยู่เสมอ มันจึงทำให้ผู้หญิงมักที่จะกลับบ้านบ่อยกว่าผู้ชาย แต่ตั้งแต่ที่พวกเขาได้พบกันเยว่เกอก็ไม่เคยกลับบ้านของเธอเลย คล้ายกับว่าเธอสนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่มากกว่าช่วงเวลาที่ต้องกลับบ้าน
หนุ่มหล่อในค่ายฝึกอย่างไป๋เย่มักจะมองเยว่เกอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสนใจมาโดยตลอด แต่หญิงสาวก็ไม่เคยสนใจชายหนุ่มคนนี้เลย จนมันได้มีข่าวลือภายในค่ายเกิดขึ้นมาว่าทั้งสองน่าจะรู้จักกันมาเป็นเวลานาน แต่ทุกครั้งที่เยว่เกอได้เจอไป๋เย่เธอกลับมองชายหนุ่มราวกับว่าเขาเป็นศัตรู
ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้เซี่ยเฟยกับเฉินตงสนิทกันมากจนถึงขั้นที่พ่อของเฉินตงส่งอีเมลถึงเซี่ยเฟยโดยตรง เพื่อบอกว่าเขามีความสุขที่เฉินตงได้เป็นเพื่อนกับเซี่ยเฟย
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเดียวกันเขาก็แทบที่จะไม่รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรของเยว่เกอเลย ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องที่เธอชอบกัดแตงกวาแล้ว เขาก็ไม่สามารถคาดเดาอะไรจากหญิงสาวคนนี้ได้
ดังนั้นเมื่อเยว่เกอพูดออกมาว่าเธอรู้ถึงเรื่องอันตรายของหัวใจจักรวาลมานานแล้ว มันจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตกตะลึง เพราะท้ายที่สุดข้อมูลนี้เขาก็ได้รับมาจากมรดกของเงาอำมหิตซึ่งเป็นอดีตเจ้าสำนักเงาสังหาร นอกจากนี้บันทึกยังถูกเก็บเอาไว้ในห้องลับ ซึ่งแสดงว่าข้อมูลนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากแล้วทำไมเยว่เกอถึงรู้เรื่องนี้ด้วย?
“ถ้าเธอรู้ว่าวิธีนี้เป็นวิธีอันตรายแล้วทำไมเธอไม่เตือนพวกเราก่อน หรือว่าเธอมีความสุขที่รู้ว่าพวกเรากำลังหลงทาง?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มแอบตำหนิเยว่เกอเล็กน้อยที่เธอรู้ข้อมูลสำคัญแต่ไม่ยอมพูดอะไรในช่วงเวลาที่ผ่านมาเลย แต่คำพูดของเขาก็ทำให้สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นเศร้าสร้อย พร้อมกับมีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเธอ
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็รู้สึกเสียใจที่เขาพูดจาจริงจังมากเกินไป และถึงแม้เขาจะรู้ว่าเพื่อนสาวเขาคนนี้เป็นนางจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์ แต่เขาก็มักจะแพ้น้ำตาของคนรู้จักมาโดยตลอด
“ฉันไม่คิดเลยว่านายจะมองฉันแบบนั้น” เยว่เกอกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเธอจะร้องไห้
“ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ช่างมันเถอะ! ในเมื่อนายมองฉันเป็นคนเลวขนาดนั้น ฉันจะเป็นคนไปเองก็ได้!!”
ทันทีที่เยว่เกอกล่าวจบเธอก็ลุกยืนขึ้นพร้อมกับวิ่งหนีไปในทันที ทิ้งให้เฉินตงกับเซี่ยเฟยนั่งมองหน้ากันก่อนที่มันจะมีเสียงสะอื้นดังขึ้นมาจากระยะไกล
“นายจัดการเรื่องนี้เองนะ ไม่ต้องโยนมาให้ฉัน” เฉินตงกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ เพราะไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรการทำให้ผู้หญิงร้องไห้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี นอกจากนี้เฉินตงยังกลัวเยว่เกอมากและเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะสามารถปลอบโยนใจใครได้
ถ้าพูดถึงเรื่องการต่อสู้เฉินตงย่อมเป็นตัวเลือกในข้อแรก ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องผู้หญิงแล้วผู้ชายคนนี้ย่อมเป็นตัวเลือกสุดท้ายสำหรับทุกคน
“หลังจากนี้อย่าเอาแต่อยู่ในห้องฝึกทั้งวันล่ะ ฉันไม่อยากให้นายกลายเป็นคนที่ฉันไม่รู้จัก” เซี่ยเฟยพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
“ฉันสัมผัสถึงอาการผิดปกติมาได้ตั้งนานแล้ว แต่ฉันก็ยังอดที่จะไปยังห้องฝึกไม่ได้ นายรู้ไหมว่าฉันอยู่ในระดับสตาร์ริเวอร์ขั้นสูงแล้วนะ อีกไม่นานฉันก็จะพัฒนาไปจนถึงระดับลีเจนด์ หากนายมาบอกว่าให้ฉันหยุดในตอนนี้ฉันก็เกรงว่าฉันน่าจะทำให้ไม่ได้” เฉินตงกล่าวพร้อมกับใช้มือตบหัวของตนเอง
ระดับพลังทั้งหมดก่อนระดับลีเจนด์ต่างก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นต้นด้วยคำว่าสตาร์ ซึ่งในมุมหนึ่งมันก็หมายความว่ามันมีเฉพาะนักสู้ระดับลีเจนด์ขึ้นไปที่จะถูกนับว่าเป็นนักสู้ระดับสูงที่แท้จริง
เฉินตงเป็นคนบ้าการต่อสู้และในชีวิตของเขาก็ไม่มีอะไรอื่นนอกเสียจากการฝึกฝนและการต่อสู้ ดังนั้นถึงแม้เซี่ยเฟยจะบอกว่าเส้นทางนี้เต็มไปด้วยอันตราย แต่เฉินตงก็ยากที่จะหยุดเดินได้จริง ๆ
“ความจริงแล้วคนเราไม่ได้มีเส้นทางสำหรับการก้าวหน้าเพียงแค่เส้นทางเดียวนะ และมันยังมีวิธีการอื่น ๆ อีกอย่างมากมายที่ช่วยพัฒนาความสามารถของนายได้นอกจากการอยู่ในห้องฝึก” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายกำลังหมายความว่าตอนนี้ฉันพึ่งพาห้องฝึกมากเกินไปใช่ไหม?” เฉินตงถามหลังจากพิจารณาคำพูดของเซี่ยเฟย
“ถูกต้อง นายลองคิดดูนะว่ามีปรมาจารย์นักสู้คนไหนประสบความสำเร็จโดยการฝึกอยู่ในห้องฝึกตลอดทั้งปี ถ้านายเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องฝึกทั้งวันนายก็จะไม่มีโอกาสได้พบกับเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเอง อันที่จริงการเดินทางไปพูดคุยกับปรมาจารย์นักสู้ก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนที่ดี เพราะประสบการณ์จากเขาเหล่านี้ย่อมดีกว่าการงมหาทางด้วยตัวเอง”
ทันใดนั้นแววตาของเฉินตงก็เปล่งประกายออกมาอย่างเจิดจ้า เพราะคำพูดของเซี่ยเฟยได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขามาก
อันที่จริงสิ่งที่เรียกว่าโอกาสไม่ใช่สิ่งที่จะหาพบได้ง่าย ๆ แต่ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมออกจากห้องฝึกเขาก็จะไม่มีทางได้พบกับโอกาสที่เซี่ยเฟยได้เอ่ยถึงเลย และในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเซี่ยเฟยถึงบอกว่าเขาพึ่งพาห้องฝึกอบรมมากเกินไป
“ถ้ามีคนเชิญนายไปงานเลี้ยง นายจะไปไหม?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ไป ทุกวันฉันจะต้องฝึกฝนและฉันก็ไม่ชอบเข้าสังคมจอมปลอมพวกนั้นด้วย” เฉินตงกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“น่าเสียดายนะที่นายไม่ได้ไปงานเลี้ยงที่ฉันพูดในก่อนหน้านี้ เพราะในงานเลี้ยงนั่นมีปรมาจารย์นักสู้อยู่ในงานเลี้ยงด้วย ถ้านายได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา นายก็น่าจะสามารถพัฒนาการต่อสู้ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“นายพูดอะไรแบบนั้น ปรมาจารย์นักสู้พวกนี้ไม่ใช่คนทั่ว ๆ ไปนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงตลอดเวลา” เฉินตงกล่าว
“นายยังไม่ทันจะได้ไปงานเลี้ยงด้วยซ้ำ แล้วนายจะรู้ได้ยังไงว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในงานเลี้ยงบ้าง นับตั้งแต่ที่นายตอบปฏิเสธนายก็เสียโอกาสทุกอย่างไปหมดแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าว
คำพูดของเซี่ยเฟยทำให้เฉินตงเงียบไปชั่วขณะ เพราะท้ายที่สุดในจักรวาลนี้มันก็ไม่มีอะไรที่แน่นอน แต่คำตอบว่า ‘ไม่’ ง่าย ๆ ของเขาคำเดียวอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เขาพลาดโอกาสในอนาคตไปทั้งหมด
ครั้งหนึ่งบนดาวโลกเคยมีคนคิดทฤษฎี ‘Yes’ ขึ้นมาเพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนมีสีสันมากยิ่งขึ้น โดยคนที่เชื่อในทฤษฎีนี้จะต้องตอบตกลงกับทุกข้อเสนอที่เข้ามาในชีวิต เพราะมันไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าโอกาสจะพุ่งเข้ามาหาพวกเขาเมื่อไร
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเพื่อนร่วมห้องถามว่าคุณต้องการจะไปซื้อของกับเขาไหม? แต่คุณกลับปฏิเสธเพราะต้องการจะนั่งเล่นเกมอยู่ในห้อง แต่อีกไม่กี่วันเขาก็ได้พาสาวสวยคนหนึ่งกลับมา โดยเพื่อนคนนั้นได้เล่าว่าเขาได้พบกับเธอในตอนที่เขาออกไปซื้อของในวันนั้น
เรื่องบังเอิญแบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่คำว่า ‘ไม่’ เพียงคำเดียวก็อาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิตของคุณไป
“เอาล่ะตอนนี้ฉันจะถามนายอีกครั้งว่าถ้าหากฉันเชิญนายไปงานเลี้ยง และฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น? ไม่รู้ว่าฉันกับนายจะได้ไปพบใครไหม? นายยังอยากจะไปงานเลี้ยงกับฉันอยู่ไหม?” เซี่ยเฟยถาม
“ไป! ตอนแรกฉันไม่ชอบเข้าสังคม แต่หลังจากที่ฉันได้ฟังคำอธิบายของนาย ตอนนี้ฉันก็ชักอยากจะไปงานเลี้ยงดูบ้างแล้ว” เฉินตงกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ในที่สุดนายก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมนายยังอยู่ห่างจากระดับลีเจนด์เพียงแค่เล็กน้อย นายควรจะต้องรู้ว่าในชีวิตมันไม่ได้มีแต่การฝึกฝนกับการต่อสู้เพียงเท่านั้น หลังจากนี้นายยังต้องการจะอยู่ในห้องฝึกตลอดทั้งวันอยู่อีกไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับตบไหล่เฉินตงด้วยรอยยิ้ม
“ฉันมันโง่เองที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องฝึกมาตลอด 2 ปี ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดช่วงเวลานี้ฉันพลาดโอกาสพูดคุยกับปรมาจารย์นักสู้ไปกี่คนแล้ว” เฉินตงกล่าวพร้อมกับใช้มือตบหัวตัวเอง
“ตอนนี้มันก็ยังไม่สายเกินไป ฉันขอตัวไปหาเยว่เกอก่อนแล้วคืนนี้พวกเราค่อยไปหาอะไรกินกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นเดินจากไป
—
ห้องพักของเยว่เกอไม่ได้ล็อกแต่เสียงร้องไห้ของหญิงสาวก็ดังออกมาจากห้องพัก จนทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกราวกับว่าเธออกหักมากกว่าได้ยินสิ่งที่เขาเข้าใจเธอผิด
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เซี่ยเฟยเคาะประตูเบา ๆ 3 ครั้งก่อนที่เสียงร้องไห้ภายในห้องจะหยุดลง จากนั้นชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ข้างใน ตามมาด้วยเสียงก๊อกน้ำที่ดังขึ้นมาราวกับว่าหญิงสาวไม่ต้องการให้เขารู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที เยว่เกอก็ตะโกนขึ้นมาจากในห้องว่าให้เขาเปิดประตูเข้ามาได้
เซี่ยเฟยจ้องมองไปยังใบหน้าของเยว่เกอค้างประมาณ 3 วินาที และถึงแม้ว่าเธอจะแต่งหน้าใหม่แล้วแต่มันก็ไม่สามารถกลบคราบน้ำตาบริเวณหางตาของเธอได้
“นั่งสิ” เยว่เกอกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่โซฟา
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าเธอแบบนั้น ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายใจฉันก็ขอโทษด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่ได้สนใจคำพูดของนายสักหน่อย!” เยว่เกอกล่าวพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ยอมสบตากับชายหนุ่ม
ทันใดนั้นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะจู่ ๆ ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิดออกพร้อมกับของจุกจิกนับไม่ถ้วนที่ไหลออกมา ไม่ว่าจะเป็นเศษแตงกวาที่ถูกกัดครึ่งหรือจะเป็นกางเกงในที่ถูกถอดม้วนเป็นเลขแปด
***************
เก็บตั้งนานมันจะทนกว่านี้อีกหน่อยก็ไม่ได้นะไอ้ประตูบ้านี่!!