บทที่ 171 – ตั้งชื่อมังกร
บทที่ 171 – ตั้งชื่อมังกร
เมื่อดูเหมือนว่าเขากล่าวขอโทษออกมาอย่างจริงใจ ผมจะกล่าวอะไรได้อีก ผมได้แต่ปัดเศษดินออกจากตัวเองหลังจากยืนขึ้นได้แล้ว “ทำไมเจ้ามังกรงี่เง่านั่นถึงได้เรียกท่านว่าเสียวเสี่ยวหลาน?”
เขาตอบกลับมา “นี่เป็นวิธีที่พวกเราใช้เรียกกันและกันที่นี่ เราจะเรียกกันตามสีของแต่ละตัว อย่างมังกรเขียวนั่น ราชามังกรจะต้องเรียกเขาว่าเสี่ยวชิง และมังกรที่มีร่างกายสีเดียวกัน แต่รุ่นต่ำลงมาอีกจะถูกเรียกว่าเสียวเสี่ยวชิง นั่นแหละ นั่นคือเหตุผลที่ข้าถูกเรียกด้วยชื่อที่น่าสงสารว่าเสียวเสี่ยวหลาน” เขาพูดออกมาด้วยท่าทีเศร้าสลดมาก
ผมถามต่อด้วยความสงสัย “แล้วถ้ามีมังกรในรุ่นเดียวกัน เกิดมีร่างกายสีเดียวกันมากกว่าตัวเดียวล่ะ?”
ตอนนี้สีของมังกรน้ำเงินไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว หัวของมันดูหม่นหมองลงอย่างไรก็ไม่รู้ “ในเผ่ามังกรของพวกเรา โอกาสอย่างนั้นจะเกิดขึ้นได้ยากมากนัก ส่วนใหญ่แล้วมังกรแต่ละตัวจะมีทายาทเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่มีมังกรรุ่นเดียวกันมีร่างกายสีเหมือนกันขึ้นอย่างที่เจ้าพูด พวกมันจะถูกเรียกว่าเสียวเสี่ยวสี1 เสียวเสี่ยวสี2 ไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ ตอนนี้แม้ว่าข้าจะมีอายุมากกว่า 8,000 ปีแล้ว แต่ข้าก็ยังอ่อนกว่าเสี่ยวชิงอยู่หนึ่งรุ่นอยู่ดี แล้วก็ข้านี่แหละ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในรุ่นของข้าแล้ว” ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มทำท่าที่เขาคิดว่ามันดูดีที่สุดแล้วออกมา
ผมอยากจะล้มลงไปที่พื้น แล้วสลบไปเลยจริง ๆ มังกรพวกนี้นี่ล้าหลังมากจริง ๆ ผมจึงเอ่ยออกไปอย่างปรารถนาดีว่า “แล้วถ้าข้าตั้งชื่อใหม่ให้ท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง? เสียวเสี่ยวหลานฟังดูไม่ค่อยดีเลย”
เขาแสดงความยินดีออกมาทันที “อา!!! น้องชายมนุษย์ของข้า ถ้าเป็นอย่างนั้นจะขอบคุณเจ้ามากเลย ได้โปรดรีบตั้งชื่อให้ข้าได้เลย”
ผมคิดหนักอยู่พอสมควร ก่อนจะเอ่ย “ข้าจะเรียกท่านว่า ‘ปิงหลาน’ (น้ำแข็งสีน้ำเงิน) เป็นอย่างไรบ้าง มันเหมาะสมหรือไม่?”
มังกรสีน้ำเงินตัวนั้นค่อย ๆ พูดชื่อใหม่ของเขาออกมาค่อย ๆ “ปิงหลาน...ปิงหลาน..หวา!! นี่มันยอดเยี่ยมมาก ข้ามีชื่อเป็นของตัวเองแล้ว ข้ามีชื่อแล้ว!” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หันหลังแล้วเริ่มวิ่งออกไปทันที
ผมรีบตะโกนไล่หลังเขาไปทันที “เฮ้! ท่านพี่ปิงหลาน ช่วยหาอะไรมาให้ข้ากินด้วยนะ!” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้ยินที่ผมตะโกนออกไปหรือไม่ แต่ผมแค่ส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ถ้ำที่ผมเคยนอนอยู่ก่อนหน้านี้ตามลำพัง
‘ต้องทำยังไงฉันถึงจะเอาชนะเจ้ามังกรโง่นั่นได้นะ? ความแข็งแกร่งของเขานั้นมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะร่วมมือกับเสี่ยวจินสู้กับเขาด้วยพลังทั้งหมด พวกเรายังอาจจะเอาชนะเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ’
ผมมีเวลาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น ถึงจะฝึกฝนได้ก้าวหน้ามากที่สุดแล้ว มันก็ยังดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะเจ้ามังกรนั่น ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองที่เป็นถึงเมธีเวทย์ จะไม่สามารถเอาชนะมังกรตัวเดียวได้ แถมราชามังกรยังพูดอีกว่าการป้องกันเวทย์มนต์ของมังกรนั้นแข็งแกร่งมาก เขาไม่น่าจะแค่ขู่ให้ผมกลัวแน่ ๆ ไม่ว่าเวทย์บทไหนที่ต่ำกว่าเวทย์มนต์ระดับสูง คงไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้แน่ ๆ
‘ถ้าฉันต้องการจะเอาชนะเขา ฉันต้องเคลื่อนที่ให้มากที่สุดระหว่างการต่อสู้ ร่างกายของมังกรนั้นใหญ่มาก ไม่มีทางที่จะคล่องแคล่วได้เท่ากับผมแน่ ผมต้องเป็นฝ่ายโจมตีเขาก่อน ต้องใช้การเคลื่อนย้ายระยะใกล้หลบหลีกเขาก่อนอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นก็โจมตีเขาด้วยคมดาบแสง ซึ่งเป็นเวทย์ที่ผมใช้ได้โดยไม่ต้องร่ายเวทย์ก่อน ถึงแม้ว่าคมดาบแสงอาจจะแค่ให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาเกาก็ตาม แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ เขาไม่ปล่อยให้ผมมีเวลาร่ายเวทย์แน่ ๆ หรือว่าผมจะใช้เวทย์ผสานสองพลังดีกว่านะ ดูเหมือนว่าจะมีแต่การใช้พลังเวทย์ผสานกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เท่านั้น ถึงจะพอทำร้ายเขาได้ นี่น่าจะเป็นโอกาสเดียวของผมแล้ว ดังนั้นเป้าหมายของการฝึกฝนในเดือนนี้ของผมก็จะเป็น การเพิ่มพลังโจมตีของการผสานกันของพลังเวทย์และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ รวมทั้งลดระยะเวลาในการผสานพลังทั้งสองเข้าด้วยกัน มันต้องใช้เวลาน้อยที่สุด ที่เหลือก็คงจะต้องพึ่งโชคชะตาแล้ว’
พอผมมีเป้าหมายในใจเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาก แต่ตอนที่ผมกำลังจะเริ่มต้นฝึกฝนนั่นเอง ผมก็รู้สึกว่าพื้นนั้นสะเทือนไปหมด เหมือนว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้น
ตอนนี้ทั้งถ้ำมีแต่เสียง ตึง! ตึง! ดังเข้ามาลั่นไปหมด มันเหมือนกับว่ามีอะไรที่ตัวใหญ่มากกำลังจะมา
มันเกิดอะไรขึ้น? ผมคิด ก่อนใจใช้เวทย์เคลื่อนย้ายระยะใกล้ออกไปดูที่หน้าถ้ำ แล้วผมก็ต้องตะลึงกับภาพที่ตัวเองเห็นอยู่ตรงหน้า
ข้างหน้าผมมีมังกรอยู่ทุกประเภทมารวมกันอยู่ น่าจะมีมากกว่า 200 ตัวเลยทีเดียว ดูเหมือนว่ากำลังพลทั้งหมดของเผ่ามังกรมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว มีบางตัวบินอยู่บนฟ้า แต่ส่วนใหญ่นั้นยืนอยู่บนพื้น พวกเขามีรูปร่าง และขนาดที่แตกต่างกันไป แต่มันก็ยังข่มขู่คนที่มองเห็นพวกเขาอยู่ดี
ผมว่าไม่ต้องกล่าวว่าเพราะเป็นผมเลย ผมคิดว่าต่อให้เป็นราชาเทพมาเอง แล้วเห็นมังกรจำนวนมหาศาลขนาดนี้ อย่างน้อยเขาก็ต้องปวดหัวแน่
ผมบังคับให้ตัวเองยิ้มออกมาจนได้ ก่อนที่จะทักทายออกไป “หวา!! เป็นเกียรติของข้าที่ได้พบกับทุกท่าน ตัวข้านั่นเพิ่งมาถึงที่นี่ ต้องขอให้ทุกท่านแนะนำด้วยแล้ว”
แต่มังกรเหล่านั้นไม่ได้สนใจคำพูดของผมเลย พวกมันยังคงเข้ามาล้อมผมไว้อย่างต่อเนื่อง คงไม่ใช่ว่าพวกมันคิดว่าผมเป็นของหวานหรอกนะ ไม่ใช่ใช่มั้ย? ตัวผมเล็กจะตาย คงจะไม่พอยาใส้มังกรแค่ตัวเดียว แล้วตอนนี้มีมังกรอยู่เป็นจำนวนมากขนาดนี้ แล้วพวกมันจะแบ่งผมกันยังไง? มันคงจะไม่ใช่เรื่องกินแน่ ๆ หรือว่าจะเป็นเจ้ามังกรเขียวหน้าโง่นั่น เจ้านั่นเป็นคนเรียกมังกรพวกนี้มาใช่มั้ย? ก็ไม่น่าจะใช่อยู่ดี เขาคงไม่สามารถเรียกมาได้หมดทั้งเผ่าขนาดนี้แน่ เขาไม่ใช่ราชามังกรนะ เขาทำไม่ได้หรอก!
ตอนที่พวกเขาล้อมผมเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว มันมีดวงตาอันใหญ่โตของมังกรมากกว่า 400 ดวงจ้องมาที่ผม นั่นทำให้ผมต้องกล่าวออกไปอย่างระมัดระวัง “พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่? ข้าเป็นแขกขององค์ราชานะ พวกเจ้าไม่สามารถทำตามใจของพวกเจ้าได้” แต่พวกเขาไม่ได้ตอบสนองอะไรต่อคำพูดของผมเลย แต่กลับเริ่มกางกงเล็บออก ผมเริ่มรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแล้ว พวกมันต้องมาด้วยเรื่องพลังชีวิตของเสี่ยวจินแน่ ๆ ผมรีบกล่าวออกไปอย่างรีบร้อน “เดี๋ยวก่อนพี่น้องมังกรทั้งหลาย! ถ้าอยากจะระบายความโกรธ ก็พยายามช่วยปล่อยให้ชีวิตน้อย ๆ นี้รอดไปได้ด้วยเถิด ถ้าต้องการจะทุบตีผม ได้โปรดอย่าตีที่หน้าของผมนะ” แล้วผมก็นั่งลง พร้อมกับร่ายเวทย์ป้องกันเอาไว้เต็มที่
แต่ผมก็นั่งรออยู่นานพอสมควรแล้ว มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ยังจ้องอยู่ที่ผมเท่านั้น ทันใดนั้น มีการเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มของมังกรเหล่านี้ เป็นมังกรสีน้ำเงินที่วิ่งออกไปเมื่อก่อนหน้านี้ กำลังแทรกตัวเข้ามากลางฝูงมังกร เพื่อมุ่งตรงมาหาผม
มีเสียงของมังกรที่ตัวเล็กกว่าเขาหลายตัวส่งเสียงไปที่เขา ซึ่งยืดตัวแล้วเอาปีกตีที่อกของตัวเอง “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!” ผมไม่รู้ว่าเขาสัญญาอะไรกับพวกนั้น
หลังจากที่มังกรน้ำเงินตัวนั้นพูดจบ เขา ปิงหลาน! ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าผม ลดหัวของเขาลงอย่างอ้อนวอน “น้องชายมนุษย์ของข้า! ชื่อที่เจ้าตั้งให้ข้านั้นมีความไพเราะมากเหลือเกิน ในหลายปีมานี้ เหล่ามังกรในเผ่าของข้านั้นไม่มีชื่อเป็นของตัวเองกันเลยแม้แต่ตัวเดียว เจ้าจะสามารถตั้ง....”
เฮ้อ!!! ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ! ผมปาดเหงื่อเย็น ๆ ออกจากหน้าผาก แล้วทำใจให้สงบลงได้ในที่สุด ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เพียงแค่ตั้งชื่อให้พวกเขาทั้งหมดเท่านั้นรึ? เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ไม่ต้องกังวลไปเลย ข้าที่เป็นที่รู้กันดีในหมู่มนุษย์ว่า เป็นคนหน้าตาดี บุคลิกท่าทางงามสง่า มารยาทงดงาม และเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังและมีไหวพริบ เรื่องแค่นี้มันจะเป็นปัญหาสำหรับข้าได้อย่างไร?”
ปิงหลานได้ยินแล้วดูอึ้ง ๆ ไป ก่อนจะถามว่า “บุคลิกท่าทางงามสง่า มารยาทงดงาม และเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังและมีไหวพริบ หมายความว่าอะไร?”
ผมนี่เกือบล้มคะมำเลย ได้แต่อธิบายอย่างอึกอัก “มันเป็นแค่ประโยคที่บอกว่าข้าเป็นคนดีน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เอาเถอะ! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกหรอก พวกเขาทั้งหมดต้องการตั้งชื่อใหม่ใช่มั้ย?”
เสียงคำรามอันทรงพลังของมังกรดังขึ้นพร้อมกันทั้งหมด เป็นการตอบคำถามของผมนั่นเอง แต่พลังของมัน! พลังของมันน่าจะพอที่จะทำลายภูเขาทั้งลูกได้เลย
ผมได้แต่กล่าวออกไปทั้งที่ยังผวาอยู่ “เอาล่ะ! ไม่ต้องส่งเสียงดังแล้ว พวกท่านทำให้ข้าเสียขวัญไปหมดแล้ว ค่อย ๆ เข้ามาหาข้าทีละท่าน เริ่มจากมังกรที่มีอายุน้อยที่สุดก่อนก็แล้วกัน”
เหล่ามังกรที่ทรงพลังทำตัวตามคำสั่งเหมือนเด็กนักเรียนฟังคำสั่งของอาจารย์ พวกมันอยากให้ผมตั้งชื่อดี ๆ ให้กับพวกมันจริง ๆ นะเนี่ย แต่ละตัวเข้ามาหาผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ไม่ได้เหลือท่าทีอันสูงส่งตามปกติของมังกรเลย
“ร่างกายของท่านปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดง และมีหนามสามเล่มอยู่บนหลังของท่าน ลมหายใจมังกรของท่านคือไฟ ท่านดูทรงพลังเป็นอย่างมาก ข้าจะขอเรียกท่านว่า ‘หั่วเหยียน’ (เปลวไฟ)”
“เกล็ดมังกรของท่านมีสีม่วง......ข้าจะขอเรียกท่านว่า ‘จื่อเมิ่ง’ (ความฝันสีม่วง)”