ตอนที่ 251 ออกจากสำนัก
ตอนที่ 251 ออกจากสำนัก
เดิมทีเซี่ยเฟยวางแผนจะออกเดินทางตั้งแต่ในวันนี้ แต่เงาสูญกับเงากระเรียนสนใจแผนปฏิรูปสำนักของเขามาก พวกเขาจึงนั่งคุยกันต่อจนถึงเช้าจึงทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถเดินทางกลับตามแผนเดิมได้
อันที่จริงความคิดของเซี่ยเฟยก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเด่อะไร เพียงแต่เขาพยายามเติมคำว่า ‘คน’ เข้าไปภายในกฎอันเคร่งครัดของสำนัก เพราะท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นองค์กรไหนปัญหาเรื่องคนก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาเสมอ
นอกเหนือจากปัจจัยทั้งสี่อย่างอาหาร, ที่พัก, เครื่องนุ่งห่มและยารักษาแล้ว ผู้คนยังแสวงหาความสุขสำหรับตัวเอง แต่ด้วยกฎอันเข้มงวดของสำนักมันจึงทำให้ศิษย์ในสำนักมีเพียงแต่ปัจจัยสี่เท่านั้น แต่ยังขาดความสุขและการตั้งเป้าหมายในชีวิต แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขายากที่จะประสบความสำเร็จได้
อย่างน้อยการตั้งเป้าหมายก็คล้ายกับการซื้อหวย ซึ่งไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าโอกาสถูกหวยมีน้อยมากแค่ไหน แต่มันก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากสนุกกับการลุ้นหวยในทุก ๆ งวด แต่ถ้าคนพวกนี้ได้รู้ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสถูกหวยเลยแล้วพวกเขาจะซื้อหวยไปทำไม
ในทำนองเดียวกันการบรรลุเป้าหมายของการฝึกฝนก็เหมือนกับการถูกหวย ส่วนศิษย์นอกของสำนักก็เหมือนกับคนที่ซื้อหวยอยู่เป็นประจำ สิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักขณะนี้คือศิษย์นอกสำนักไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นทางสำนักจึงจำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมายให้กับศิษย์นอกอย่างชัดเจนว่า ตราบใดก็ตามที่พวกเขาพยายามฝึกฝนอย่างหนัก สักวันหนึ่งพวกเขาก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้
เซี่ยเฟยสรุปวิธีแก้ไขปัญหาหลัก ๆ ของสำนักได้ 2 ประเด็น หนึ่งคือการทำให้ศิษย์ของสำนักเป็นมนุษย์มากขึ้น และสองคืออย่ามองว่าสำนักเงาสังหารเป็นเพียงองค์กรนักฆ่า แต่ต้องมองว่าสำนักถือเป็นองค์กรนักสู้แห่งหนึ่งด้วย
แน่นอนว่าการพยายามเปลี่ยนองค์กรนักฆ่าให้กลายมาเป็นองค์กรนักสู้ไม่ใช่เรื่องง่าย และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ แต่เขาก็เข้าใจถึงความยากลำบากได้เป็นอย่างดี
ในยามเช้าบนท้องฟ้ามีเมฆบางส่วนและมีหิมะโปรยปรายมาตลอดทั้งคืน ทำให้ทั่วทั้งลานกว้างถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว
เซี่ยเฟยลุกยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับไปทางเงาสูญและเงากระเรียน
“เรียนอาจารย์ เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์ขอตัวก่อนแล้วผมจะมาเยี่ยมใหม่ในวันหลัง”
“ตามกฎของสำนักหลังจากที่ข้าได้รับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว ข้าจะต้องให้ของขวัญกับเจ้า 1 อย่าง จงตามข้ามารับของขวัญแล้วเจ้าค่อยเดินทางกลับไป” เงาสูญกล่าว
ทันทีที่เซี่ยเฟยได้ยินคำว่าของขวัญเขาก็รีบเดินตามเงาสูญไปด้วยรอยยิ้ม แต่สำหรับเงากระเรียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็กำลังรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าสำนักเงาสังหารมีกฎแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เงากระเรียนสะบัดความคิดเล็กน้อยเช่นนี้ออกไป ก่อนที่เขาจะกล่าวลาเงาสูญและกลับไปยังที่พักของตัวเอง
หลังจากได้พูดคุยปรับมุมมองกับเซี่ยเฟยตลอดทั้งคืน เขาก็เริ่มเห็นแนวทางในการปฏิรูปสำนักอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เขาจึงต้องการที่จะกลับไปเรียบเรียงความคิดภายในหัวเสียใหม่และทำการพิจารณากฎต่าง ๆ อย่างละเอียดอีกครั้ง
เซี่ยเฟยเดินตามเงาสูญไปยังลานกว้างอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับที่พักของเงาสูญ ซึ่งลานกว้างนี้มีขนาดกว้างกว่าลานกว้างหน้าที่พักของเงาสูญมาก และบนลานกว้างก็มีรูปปั้นหินตั้งตระหง่านอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศ
เงาสูญให้เซี่ยเฟยรออยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้ก่อน หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในอาคารปล่อยให้ชายหนุ่มยืนรออยู่ที่ลานกว้างเพียงลำพัง
เซี่ยเฟยมองไปรอบ ๆ อย่างเบื่อหน่ายและเขาก็ได้พบว่าทางเข้ามายังลานกว้างแห่งนี้เป็นประตูบานเล็ก ๆ ที่เขาลอดผ่านมาเพียงแค่บานเดียว ซึ่งในความเป็นจริงประตูบานนี้มีขนาดเล็กมากถึงขนาดที่เขาต้องก้มหัวเพื่อเดินผ่านไป และถ้าหากว่าใครมีน้ำหนักมากกว่า 300 กิโลกรัม พวกเขาก็อาจจะติดอยู่ที่ประตูบานนั้นโดยที่ไม่สามารถเดินผ่านบานประตูเข้ามาได้
ขณะเดียวกันรูปปั้นหินสีขาวที่มีขนาดความสูงเกือบ 3 เมตรแต่ละอันต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นรูปปั้นที่ให้ความรู้สึกอันดุร้าย หากพิจารณาจากท่าทางของรูปปั้นแล้ว มันก็ดูเหมือนกับพวกมันกำลังปกป้องอะไรบางอย่างทำให้ผู้ที่บุกรุกเข้ามามีความรู้สึกถึงความไม่สบายใจ
“นายเป็นอะไร? ไม่สบายหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถามเมื่อได้เห็นสีหน้าของอันธเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แน่นอนว่าวิญญาณคงจะไม่สามารถป่วยได้เพียงแต่เซี่ยเฟยต้องการที่จะพูดจาหยอกล้ออันธเล็กน้อยเท่านั้น
“นี่คือพื้นที่ต้องห้ามของสำนัก วิชาลับทุกวิชาต่างก็ถูกเก็บไว้ที่นี่ทั้งหมด สาเหตุที่ฉันตายแล้วกลายเป็นวิญญาณก็เพราะว่าฉันแอบเข้ามาอ่านวิชาลับในพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย
คำอธิบายของอันธทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกใจแล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมอันธถึงมีสีหน้าที่แปลกไป เพราะท้ายที่สุดเขาก็กำลังนึกถึงอดีตของตัวเองที่เคยเดินทางมาแอบอ่านวิชาลับภายในสถานที่แห่งนี้
ถ้าสิ่งที่อันธพูดเป็นความจริง นั่นก็แสดงว่าเงาสูญกำลังจะให้วิชาลับของสำนักเป็นของขวัญสำหรับเขาอย่างนั้นเหรอ?
ความคิดนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม และเขาก็ตั้งตารอโดยพยายามคาดเดาว่าของขวัญจากเงาสูญจะเป็นอะไร
หลังจากนั้นไม่นานเงาสูญก็เดินออกมาจากอาคาร แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทางที่จะล็อกประตูของอาคารเลย ราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวว่าจะมีใครเข้ามาขโมยวิชาภายในอาคารแห่งนั้นไป
“ข้าขอมอบหนังสือเล่มนี้ให้กับเจ้า” เงาสูญกล่าวพร้อมกับมอบหนังสือที่ถูกห่อด้วยผ้าสีดำให้กับเซี่ยเฟย
ชายหนุ่มทำท่าจะเปิดห่อผ้าออกดู แต่เงาสูญยกมือขึ้นมาห้ามการกระทำของเขาเอาไว้ก่อน
“เจ้าค่อยเปิดห่อผ้าหลังจากออกไปจากที่นี่ แต่เจ้าต้องจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี ๆ ว่าถ้าหากเจ้าไม่สามารถเรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายในหนังสือเล่มนี้ได้ให้ทำการเผาหนังสือทิ้งไปซะ”
คำพูดของเงาสูญยิ่งทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสงสัยมากกว่าเดิม และเขาก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะอ่านหนังสือเล่มนี้เต็มทน
หลังจากได้รับของขวัญจากเงาสูญแล้วเซี่ยเฟยก็กล่าวลาเงาสูญอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังลานจอดยานบริเวณเชิงเขาพร้อมกับมองไปยังแวมไพร์ที่ถูกทำความสะอาดเป็นอย่างดี
พยูนแสดงท่าทางเศร้าสร้อยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขากับเซี่ยเฟยเข้ากันได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้เซี่ยเฟยกำลังจะออกเดินทางไปจากสำนักแล้ว
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าสำนักเงาสังหารกำลังจะปฏิรูปกฎของสำนักใหม่ และเมื่อไหร่ที่กฎใหม่มีผลบังคับใช้พยูนก็จะมีโอกาสได้ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ที่เขาชื่นชอบ ดังนั้นเขาจึงบอกลาเด็กหนุ่มแล้วบอกให้เขาอดทนรอให้ดี ๆ อีกไม่นานเขาจะได้ทำในสิ่งที่เขาตั้งใจ
—
ดาวนิรนามตั้งอยู่บริเวณขอบนอกของหลุมดำขนาดเล็กเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มียานอวกาศเดินทางมาในบริเวณนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนี้หลุมดำยังรบกวนระบบตรวจจับทำให้มีคนจำนวนน้อยมากที่รู้จักสถานที่ตั้งของสำนักเงาสังหาร
เซี่ยเฟยเดินทางออกมาจากดาวด้วยยานแวมไพร์ แต่เนื่องจากเขายังไม่คุ้นเคยกับเส้นทางศิษย์ในสำนักจึงต้องช่วยนำทางให้กับเขาก่อน
เมื่อมียานรบอีกลำคอยนำทางชายหนุ่มก็สามารถจดจำเส้นทางได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากที่แวมไพร์ได้เดินทางมาจนถึงจุดปลอดภัยแล้ว ยานรบลำนั้นก็เดินทางกลับไปยังดาวนิรนาม ขณะที่เซี่ยเฟยแยกตัวออกมาเพื่อเดินทางกลับไปยังดาวโลก
หลังจากทำการวาร์ปแค่ครั้งเดียวระบบสตาร์เน็ตเวิร์กก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติ เซี่ยเฟยจึงรีบตรวจสอบอีเมลในระหว่างที่เขาไม่อยู่ และได้พบว่าในช่วงเวลานี้มีอีเมลจากบริษัทถูกส่งมาให้เขาทำการตรวจสอบเรื่องต่าง ๆ เพียงแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น
นอกจากนี้มันยังมีอีเมลส่วนตัวถูกส่งมาจากพอตเตอร์, ฉินหมางและคนอื่น ๆ แต่ไม่มีใครถามเลยสักนิดว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน มีเพียงแต่บอกในสิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้เท่านั้น
แม้แต่แอวริลก็ส่งอีเมลมาหาเขาเพียงแค่ 2 ฉบับ โดยฉบับหนึ่งบอกว่าเธอได้กลับมาเรียนอีกครั้งทำให้ในแต่ละวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อ ขณะที่อีเมลอีกฉบับบอกว่าปู่ของเธอกำลังจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่คฤหาสน์ซันเซ็ทวิลล่า และเธอก็ถามว่าเขาต้องการจะมางานเลี้ยงนี้ไหม
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะชินกับการที่นายหายตัวไปแล้วนะ มันเลยไม่มีใครถามเลยว่านายอยู่ที่ไหน” อันธกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขณะเดียวกันทุกครั้งที่เขาหายตัวไปเซี่ยเฟยก็เคยชินกับอีเมลที่ถามว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่จู่ ๆ สิ่งต่าง ๆ กลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลก ๆ อยู่เล็กน้อย
“เป็นแบบนี้ก็ดี อย่างน้อยถ้าในวันหนึ่งนายได้หายตัวไปมันก็จะช่วยให้คนอื่นไม่ต้องรู้สึกกังวล” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะเปิดระบบสื่อสารเพื่อติดต่อไปยังแอวริล
แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามไม่จู้จี้กับเซี่ยเฟยเหมือนกับเมื่อก่อน แต่เขาก็รู้ดีว่าเธอคนนี้เป็นห่วงเขามากแค่ไหน เพียงแต่เธอเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันจากไปโดยไม่บอกลา ดังนั้นช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปเกือบ 1 เดือนเธอจึงส่งอีเมลมาหาเขาเพียงแค่ 2 ฉบับเท่านั้น
แม้ว่าแอวริลจะเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและเป็นคุณหนูที่ทุกคนรู้สึกอิจฉา แต่ท้ายที่สุดเธอก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่รู้สึกเศร้า, เหงาและตกลุมรักเป็น ซึ่งก่อนที่เธอจะได้พบกับเซี่ยเฟยเธอก็ต้องอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เพียงแค่ลำพัง โดยไม่มีใครคอยเป็นเพื่อนเล่นให้กับเธอเลย ดังนั้นถึงแม้เธอจะดูใช้ชีวิตอย่างหรูหราแต่ทุก ๆ วันของเธอกับผ่านพ้นไปอย่างน่าเบื่อ
แต่หลังจากที่เธอได้รู้จักกับเซี่ยเฟยชีวิตของเธอก็เริ่มมีสีสันขึ้นมากกว่าเดิม เธอจึงรู้สึกหวงแหนชายหนุ่มมากกว่าใคร ๆ และตราบใดก็ตามที่เขามีเวลาว่างมาพูดคุยกับเธอบ้างเล็กน้อย มันก็ทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจมากพอแล้ว
น่าเสียดายที่เซี่ยเฟยไม่สามารถพูดคุยกับเธอได้บ่อย ๆ เพราะเขามักจะเอาตัวเองไปพัวพันกับปัญหาที่ไม่รู้จบ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายคนนี้ยังชอบหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าว และทุกครั้งที่เขากลับมาชายหนุ่มคนนี้ก็ดูแตกต่างไปจากชายหนุ่มคนเดิม
เซี่ยเฟยรู้ความคิดของแอวริลเป็นอย่างดี เขาจึงรีบติดต่อเธอไปทันทีหลังจากที่ระบบสตาร์เน็ตเวิร์กได้กลับมาทำงาน ซึ่งทั้งสองก็พูดคุยกันเป็นเวลานานคล้ายกับว่าพวกเขาได้ลืมเวลาไปโดยสิ้นเชิง
ระหว่างพูดคุยแอวริลได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาตลอดเวลา และในที่สุดหญิงสาวก็ออกปากเชิญชายหนุ่มเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดปู่ของเธอด้วยตัวเอง
ปู่ของแอวริลอาศัยอยู่ในภูเขาอย่างสันโดษเป็นเวลานาน แต่จู่ ๆ เขากลับมาใช้ชีวิตภายในคฤหาสน์ซันเซ็ทวิลล่าอีกครั้ง และในครั้งนี้เขายังทำการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดอย่างใหญ่โต โดยได้เชิญแขกต่าง ๆ นานามาอย่างมากมายและหนึ่งในแขกที่เขาได้เชิญเข้าร่วมกลับได้มีรายชื่อของเซี่ยเฟยอยู่ด้วย
เซี่ยเฟยไม่ได้สนใจเรื่องของตระกูลเจี่ยน แต่เขาคนนี้คือปู่แท้ ๆ ของแอวริล ดังนั้นถ้าหากว่าเขาต้องการจะแต่งงานกับหญิงสาว เขาก็จำเป็นจะต้องเข้าหาครอบครัวของเจ้าสาวบ้างไม่มากก็น้อย
แต่ในครั้งสุดท้ายที่เซี่ยเฟยได้พบปะกับตระกูลเจี่ยนก็ไม่ถือว่าเป็นการพบปะกันที่ดีเท่าไหร่นักเลย เพราะท้ายที่สุดตระกูลเจี่ยนก็ต้องยอมสูญเสียชีวิตของแบ็ตตี้เพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลเอาไว้
แม้ว่าการพบปะกับปู่ของแอวริลในครั้งนั้นจะทำให้เซี่ยเฟยได้รับคำชม แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าคำชมนี้เป็นเพียงคำชมในเชิงธุรกิจไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชื่นชมในฐานะที่เขาจะแต่งงานเข้ามาเป็นเขยของตระกูลนี้
ในขณะเดียวกันเนื่องจากชายหนุ่มเป็นพวกจับสังเกตเก่ง เขาก็สามารถมองเห็นความแปลกประหลาดบนสีหน้าของแอวริลได้อย่างชัดเจน
แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าทุกคนควรจะต้องมีพื้นที่ของตัวเอง ดังนั้นในเมื่อแอวริลยังไม่เลือกที่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็ไม่อยากถามเพื่อให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ และถึงแม้ว่าวันหนึ่งเขาจะได้แต่งงานกับเธอ แต่เขาก็ตั้งใจที่จะเว้นระยะห่างให้เธอมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองด้วยความเคารพอยู่แล้ว
หลังจากที่พูดคุยกันนานกว่า 10 ชั่วโมง เซี่ยเฟยก็ให้แอวริลกลับไปพักผ่อนพร้อมกับนึกถึงงานเลี้ยงวันเกิดของเออเนสที่เขาถูกเชิญชวน เพราะเมื่อพิจารณาจากสีหน้าของแอวริลแล้วมันจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เธอกำลังพยายามปิดบังเขาอยู่แน่ ๆ
ชายหนุ่มพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดพวกนี้ออกไป ก่อนที่เขาจะทำการติดต่อไปยังอันเดร์, ฉินหมาง, อู่หลง, ชาร์ลีและพอตเตอร์ทีละคนเพื่อบอกว่าเขากำลังจะกลับไปยังดาวโลก
ด้วยความช่วยเหลือจากพอตเตอร์มันจึงทำให้การผลิตผ่านไปอย่างราบรื่น และด้วยการที่เขามีผู้ช่วยที่ดีอย่างอันเดร์และพอตเตอร์ มันจึงทำให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยที่เขาแทบที่จะไม่จำเป็นต้องลงมือลงแรงทำอะไรเลย
เซี่ยเฟยได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ เข้ามาไว้ภายในบริษัทโดยที่ไม่รู้ตัว และหนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เขารู้สึกไว้วางใจ
บริษัทควอนตัมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทุกวัน สิ่งเดียวที่บริษัทนี้ยังขาดไปคือการโปรโมทผลิตภัณฑ์ในระดับจักรวาล ก่อนที่พวกเขาจะเข้าครอบครองตลาดทั่วทั้งพันธมิตรในคราวเดียว
ระหว่างนี้ชาร์ลีได้เลือกรายการแข่งขันนัดสำคัญ ๆ มาอีกหลายรายการ แต่หลังจากที่เซี่ยเฟยได้พิจารณารายการแข่งขันทั้งหมดแล้ว เขาก็ตัดสินใจมุ่งเน้นไปที่การแข่งขันรายการโกลเดนฟิงเกอร์เพียงรายการเดียว
นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังเพิ่งได้รับกระดิ่งนรกมาจากสำนักเงาสังหาร เขาจึงต้องการที่จะทำการค้นคว้าวิจัยระบบซุปเปอร์เรดาร์เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ให้กับบริษัทออกมาตีตลาด
แต่ชาร์ลีบอกว่าเขาชำระค่าลงทะเบียนการแข่งขันทั้งหมดไปแล้ว และไม่สามารถขอเงินคืนในส่วนนั้นได้ หากเซี่ยเฟยไม่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันเขาก็จะขอให้โบเดนไปเป็นตัวแทนในการแข่งขันแทน
เซี่ยเฟยตอบตกลงอย่างรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดฝีมือของโบเดนก็จัดอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม และการให้รุ่นพี่ของเขาคนนี้ออกไปทำการแข่งขัน เขาก็อาจจะได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ กลับมาเพื่อพัฒนาบริษัท
ฉินหมางดูเหมือนจะติดใจสภาพแวดล้อมบนดาวโลกไปซะแล้ว และเขาก็ได้ย้ายที่อยู่จากทุ่งหญ้าในอเมริกาใต้ไปยังเกาะฮาวายเพื่อเพลิดเพลินกับท้องทะเลที่สวยงาม
ในระหว่างกระบวนการนี้อันเดร์ได้ทำการซื้อที่ดินบนเกาะฮาวายเอาไว้รองรับฉินหมางโดยเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจ้างกลุ่มนักกายภาพบำบัด, ครอบครัวและคนรับใช้เพื่อมาดูแลชายชราคนนี้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้โลกยังเป็นแหล่งผลิตชาชั้นดีและอาหารที่น่าสนใจอย่างมากมาย ที่สำคัญบนโลกยังมียาสูบที่ไม่มีขายบนดาวดวงอื่น ฉินหมางจึงได้ใช้เวลาบนโลกทุกวันอย่างมีความสุข
“ไหน ๆ นายก็จะกลับมาแล้ว ช่วยแวะไปเอาของที่ห้องสมุดให้ฉันหน่อยสิ” ฉินหมางกล่าวขณะสูบบุหรี่ซึ่งภาพของชายชราบนหน้าจอก็มีสุขภาพดีขึ้นในทุก ๆ วัน
“ไปเอาอะไรครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
ตอนแรกเขาแค่ต้องการจะแวะไปยังค่ายฝึกจัสทิสลีกเพื่อเตือนเฉินตงกับเยว่เกอเรื่องความอันตรายของการดูดซับหัวใจจักรวาลมากเกินไป และพวกเขาก็ควรจะไปพบแพทย์ทันทีหากรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในร่างกาย
“ถ้าไปถึงห้องสมุดแล้วค่อยโทรมาละกัน อย่าลืมเอาถั่วลิสงไปฝากเหล่าเฮยด้วย” ฉินหมางกล่าว
ร่างของเหล่าเฮยถูกฝังเอาไว้ในสวนหลังห้องสมุด ฉินหมางจึงฝากให้เขาไปดูแลหลุมศพแมวตัวโปรดของเขาตัวนี้หน่อย
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับคำสั่งและทันใดนั้นเขาก็คิดถึงความกว้างของห้องชั้นใต้ดินที่มีสัดส่วนที่ผิดปกติไป ในเมื่อตอนนี้ฉินหมางไม่ได้อยู่ในห้องสมุดแล้ว เขาก็สามารถเข้าไปสำรวจห้องสมุดได้อย่างสบายใจ
การพูดคุยกับคนเหล่านี้ทีละคนจำเป็นต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยได้พูดคุยกับทุกคนเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับเข้าไปในห้องพัก โดยวางแผนจะศึกษากระดิ่งนรกในระหว่างการเดินทาง
ระบบซุปเปอร์เรดาร์ถือได้ว่าเป็นไพ่ใบสำคัญของบริษัทควอนตัม เพราะถ้าหากว่าเขาสามารถผลิตระบบซุปเปอร์เรดาร์ขึ้นมาได้สำเร็จ มันก็เปรียบเสมือนกับบริษัทมีอาวุธ 2 ชิ้นที่จะช่วยให้บริษัทควอนตัมฝ่าฟันขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของพันธมิตร
ทั่วทั้งพันธมิตรมีอัจฉริยะอยู่อย่างมากมายและถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะใช้เทคโนโลยีระดับสูงในการพัฒนาเครื่องขยายพลังชาร์จขึ้นมา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทอื่นจะไม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันออกมาได้
แม้ว่าระบบซุปเปอร์เรดาร์อาจจะยังไม่สามารถผลิตขึ้นมาได้ในทันที แต่เขาก็จำเป็นที่จะต้องทำการพัฒนาระบบนี้เพื่อป้องกันในวันที่เครื่องขยายพลังชาร์จถูกบริษัทอื่นลอกเลียนผลิตภัณฑ์
นักวางกลยุทธ์ที่ดีทุกคนต่างก็มีแผนสำรองเอาไว้ให้กับตัวเองเสมอ ดังนั้นเซี่ยเฟยจึงไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองอยู่เฉย ๆ ได้ แม้ว่าเครื่องขยายพลังชาร์จจะเริ่มถูกผลิตออกมาในปริมาณมากแล้วก็ตาม
หลังจากเซี่ยเฟยอ่านความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเข้ารหัสหุ่นยนต์จบอีกครั้ง เขาก็นำกระดิ่งนรกขึ้นมาเพื่อทำการศึกษาอย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มวางกระดิ่งทั้งสองชิ้นลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะหยิบแว่นขยายอิเล็กทรอนิกส์มาสวมที่ดวงตา
กระดิ่งนรกมีขนาดเล็กมากและชิ้นส่วนบางอย่างที่อยู่ด้านในก็มีความบางน้อยกว่าเส้นผม ด้วยเหตุนี้การพยายามศึกษาระบบภายในของกระดิ่งจึงไม่เพียงแต่จะต้องใช้แว่นขยายอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่เขาก็จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อทำการหยิบจับชิ้นส่วนด้านในของกระดิ่งนรกอีกด้วย
เซี่ยเฟยหยิบชุดเครื่องมือขนาดเล็กออกมาจากแหวนมิติ ก่อนที่จะทำการแยกชิ้นส่วนกระดิ่งนรกอย่างระมัดระวัง
เปาะ!
กระดิ่งแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยได้เห็นโครงสร้างภายในของมัน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นซีดเผือดในทันที
***************