บทที่ 161 – มู่จือจากไป
มู่จือกล่าวยิ้ม ๆ “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเจอนาย ฉันมีความรู้สึกว่านายจะต้องเป็นบุคคลที่พิเศษมาก ๆ แน่นอน ในบรรดาผู้ชายที่ประสบความสำเร็จทุกคน ไม่มีทางที่จะมีผู้หญิงเพียงคนเดียวอยู่เบื้องหลังของพวกเขา แทนที่จะปล่อยให้หัวใจของนายถูกขโมยไปด้วยมือของคนอื่น ทำไมฉันไม่หาน้องสาว ไม่หาคนที่ฉันไว้ใจได้แทนล่ะ? ด้วยความช่วยเหลือของพวกเรา ต่อไปนายไม่มีทางแม้แต่จะคิดนอกลู่นอกทางเลย ฮี่ฮี่!..”
ผมได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น “นี่ฉันเป็นคนประเภทที่เธอพูดถึงจริง ๆ เหรอ?” เหมือนว่ามู่จือจะคิดที่จะยอมรับไหสุ่ยจริง ๆ วิธีคิดของเธอทำให้ผมรู้สึกขายหน้ามาก ตอนนี้เหงื่อเย็น ๆ ของผมไหลออกมาแล้ว
เธอยังจ้องมาที่ผม และเอ่ยขึ้น “ตอนนี้นายก็พูดแต่เรื่องดี ๆ นี่แหละ จะมีใครรู้ว่าในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร พวกผู้ชายไม่มีคนดีสักคนหรอก ไม่ใช่ว่าพวกนายเป็นประเภทได้ใหม่แล้วลืมเก่าหรอกหรือ? ฉันเอาชนะนายไม่ได้นี่ แล้วจะให้ฉันทำยังไงถ้านายรังแกฉันในอนาคต แต่ถ้าฉันกับไหสุ่ยร่วมมือกัน ฮี่ฮี่..แล้วนายจะรู้”
มองไปที่หน้าของมู่จือที่ทั้งดูน่ารักและน่าเกลียดในเวลาเดียวกัน และยิ่งตอนนี้มันแดงเป็นลูกแอบเปิ้ลด้วยแล้ว ผมเกิดความรู้สึกอยากจะกัดขึ้นมาสักทีจริง ๆ แต่ผมแค่ดึงมือเล็ก ๆ ของเธอเข้ามาที่ตัว ค่อย ๆ ก้มหัวของผมลงไป แล้วก็กัดมือของเธอเบา ๆ
มู่จือร้องโอยออกมา ไม่แน่ใจว่าเพราะเจ็บหรือตกใจ “นายทำอะไรน่ะ นี่มันยังเป็นเวลาเรียนอยู่นะ”
ผมตอบ “ถ้าเธอยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับไหสุ่ยได้ ฉันก็จะหาเวลาไปหาไหสุ่ยแล้ว!”
สีหน้าของเธอปรากฏร่องรอยของความผิดหวัง ตอบออกมาอย่างไม่ยินดีนัก “ดูเหมือนว่าหางจิ้งจอกของนายจะโผล่ออกมาแล้วนะ ฉันรู้อยู่ตลอดแหละว่านายไม่ใช่คนดี”
ผมได้แต่โยกตัวไปมา “ฉันแค่หลอกเธอเล่นเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่า”
แล้วผมก็โดนเธอหยิกเข้าอย่างแรง ถึงขึ้นเอามือมาปิดปากเพื่อไม่ให้ผมส่งเสียงกันเอาไว้ก่อนเลยด้วย แล้วเธอก็กล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ไม่รู้จักตายเสียแล้ว! ใครใช้ให้นายกล้ามาหลอกฉันเล่น”
ผมใช้เวลานานเลยกว่าจะหายเจ็บ “ฉันกลัวเธอแล้ว! แม่ไหน้ำส้มน้อย!! ตอนแรกฉันก็นึกว่าเธอจะใจกว้างเป็นแม่น้ำอย่างนั้นจริง ๆ แต่พอทดสอบดูแล้ว กลายเป็นว่าไม่ใช่เลย ฮ่าฮ่า”
แต่มู่จือยืนยัน “สิ่งที่ฉันพูดออกไปเป็นเรื่องจริง แต่ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ ฉันไม่มีทางที่จะ...”
ผมรีบแสดงท่าทีเข้าใจ และทำหน้าตาสัตย์ซื่อเต็มที่ แต่ว่ามันยังดูชั่วร้ายอยู่บ้างน่ะนะ แล้วบอกเธอ “เรื่องของไหสุ่ยเอาไว้คุยกันทีหลังเถอะ ถ้าเธอกับฉันมีชะตาต้องกันจริง ๆ ฉันจะทำตามที่เธอบอก แต่เธอจะมาบังคับฉันไม่ได้นะ”
มู่จือเย้ยหยันผมเต็มที่ “นายคิดว่านายเป็นคนดีมากแค่ไหน! ตอนนี้เหมือนนายได้ของขวัญมาจากสวรรค์เป็นสาวสวยที่คนอื่นได้แต่ฝันถึง แต่นายยังจะไม่ยอมรับเอาไว้เนี่ยนะ”
“ฉันไม่อาจทรยศต่อหัวใจตัวเองได้นี่ เธอไม่สามารถบังคับให้ฉันแต่งงานกับใครที่ฉันไม่รักได้นี่ ใช่มั้ย?” ผมได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ตามใจนายก็แล้วกัน” มู่จือไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
แต่ความใจกว้างของเธอทำให้ผมประทับใจพอสมควร คำพูดของเธอคลายปมบางอย่างในใจของผมลงได้ ผมไม่ต้องพยายามที่จะกดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมากนักแล้ว ผมให้สัญญากับตัวเองในใจ ผมจะไม่ให้ความหวังกับผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว มันมีแต่ความยุ่งยากจริง ๆ
แล้วภาคการศึกษาก็จบลง แล้ววันหยุดก็เริ่มขึ้นทันทีเหมือนกัน มู่จือเป็นคนแรกที่เดินทางออกจากสถาบันไป หม่าเคอ ไห่เย่ว ซือหวา และผมยืนส่งเธออยู่ที่ประตูทางเข้าของสถาบัน ตอนแรกผมอยากจะเดินเป็นเพื่อนเธอไปสักพัก แต่เธอบอกว่าไม่จำเป็น คนของครอบครัวเธอมารออยู่ไม่ไกลจากสถาบันมากนัก
ผมบอกลาเธอด้วยดวงตาแดง ๆ “มู่จือ เธอต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วอย่าลืมคิดถึงฉันละ”
เธอพยักหน้ารับ แล้วโผเข้ามากอดผมไว้แน่น ก่อนที่จะเขย่งตัวขึ้นมาจูบผมที่หน้า “จางกง! นายก็ต้องดูแลตัวเองนะ ตอนที่นายเดินทางไปหุบเขามังกรก็ต้องระวังตัวด้วย ฉันจะต้องไปแล้ว อันนี้ฉันให้นายเอาไว้แล้วกัน” ขณะที่เธอพูด เธอถอนหยกแผ่นเล็ก ๆ ที่ห้อยคอของเธอออกมา มันถูกแกะสลักจากอัญมณีสีดำอะไรสักอย่างเป็นรูปนกฟินิกซ์ มันให้ความรู้สึกสดชื่นออกมาอยู่ในมือของผม ผิวสัมผัสของมันเรียบลื่น แค่มองไปที่มัน ก็รู้แล้วว่ามันมีมูลค่ามหาศาล
มู่จือบอกผมเพิ่มเติม “นี่คือหยกฟินิกซ์ดำที่แม่ของฉันให้ไว้ตั้งแต่เด็ก ฉันจะมอบไว้ให้นาย เมื่อไหร่ที่นายคิดถึงฉัน ก็หยิบมันออกมาดูแทนก็แล้วกัน”
ผมห้อยหยกฟินิกซ์ดำเอาไว้ที่คอของตัวเอง ผมเชยคางของเธอขึ้น แล้วจูบลงไปอย่างหนักหน่วงที่ริมฝีปากของเธอ จนได้ยินเสียงไอดังมาจากข้าง ๆ ผมถึงได้ปล่อยเธออย่างไม่เต็มใจนัก
ใบหน้าบอบบางของมู่จือแดงกล่ำไปหมดแล้ว แต่เธอไม่ได้กล่าวตำหนิอะไรผมออกมา ผมดึงเธอเข้ามากอดอีกครั้ง ในขณะที่มองอย่างมีโมโหไปที่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม นั่นทำให้พวกเขาหัวเราะออกมา
มู่จือผลักผมออก ก่อนจะกระซิบผม “ฉันต้องไปจริง ๆ แล้วล่ะ”
ผมพยักหน้า แต่ยังดึงเธอไว้ ก่อนจะหยิบชุดคลุมเวทย์ที่อาจารย์เจิ้นมอบให้ผมออกมา แล้ววางไว้บนมือของเธอ “นี่เป็นชุดคลุมเวทย์ที่อาจารย์เจิ้นมอบให้ฉันก่อนหน้านี้ เธอแค่ต้องใส่พลังเวทย์ของเธอเข้าไปที่หินเวทย์สีม่วงตรงบริเวณหน้าอก แล้วมันจะปล่อยเวทย์ป้องกันออกมา พลังป้องกันของมันสูงมาก แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้ต้องใช้มัน เธอเอาไว้ป้องกันตัวนะ” หลังจากพูดจบ ผมเปลี่ยนใจ หยิบมันขึ้นมาจากมือเธอ แล้วสวมให้เธอเลย
ภายใต้แสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง ทั่วทั้งตัวของมู่จือเป็นประกายระยิบระยับไปหมด เมื่อรวมกับใบหน้าสีแดงของเธอแล้ว ตอนนี้เธอดูน่ารักจริง ๆ
มู่จือไม่อยากที่จะรับเอาไว้ “นี่มันมีค่ามากเกินไปแล้ว แถมนายยังอาจเจออันตรายระหว่างการเดินทางไปหุบเขามังกรอีก นายเก็บเอาไว้เถอะ”
ผมส่ายหน้า “สำหรับฉันมันไม่มีอันตรายอะไรหรอก ฉันไม่ได้ไปสู้กับใครนะ แค่จะพาลูกชายของพวกเขากลับบ้านเท่านั้น แต่ถึงชุดคลุมเวทย์นี้จะยอดเยี่ยมมาก มันก็ยังระยิบระยับเกินไป เธอต้องเก็บมันเอาไว้ก่อนนะ”
หม่าเคอตะโกนถามมาจากด้านหลัง “พี่ใหญ่ พี่ไปได้ของดีแบบนั้นมาจากไหนครับ? ผมอยากได้บ้าง?
ผมหันไปยิ้มให้เขา “รอให้นายกลายเป็นผู้หญิงก่อนแล้วกัน แล้วฉันจะลองคิดดู ฮ่าฮ่า”
หม่าเคอสะอึกออกมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องจากกันจริง ๆ ผมได้แต่บังคับตัวเองไม่ให้วิ่งตามเธอไป ผมยืนมองจนร่างของเธอค่อย ๆ หายไปที่ขอบฟ้า
หม่าเคอตบไหล่ผม “พี่ใหญ่ ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์แล้ว ไม่ใช่ว่าพี่จะไม่ได้เจอเธออีกเสียหน่อย ไปกันเถอะครับ พวกเราควรกลับเข้าไปข้างในได้แล้ว”
ผมถอนหายใจ “ฉันล่ะอย่างให้วันหยุดหมดลงเร็ว ๆ จัง”
ซือหวาหัวเราะหึหึ “ตอนที่ไม่มีวันหยุด พวกนายก็อยากจะหยุด ตอนนี้มีวันหยุดแล้ว นายอยากจะเข้าเรียนเสียอย่างนั้น”
ไห่เย่วกล่าว “ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเข้าเรียนเสียหน่อย เขาแค่คิดถึงมู่จือเท่านั้นเอง นายไม่เห็นเขาจูบเธอนั่นหรือยังไง”
ผมแกล้งทำเป็นโมโห “ไห่เย่ว! เธอยังกล้าพูดอีกนะ อย่าให้ฉันพูดบ้างนะ ว่าวันนั้นใครที่อยู่กับหม่าเคอ วันนั้นนะ...”
ทั้งหม่าเคอและไห่เย่วหน้าแดงกล่ำ อันที่จริงผมไม่ได้เห็นอะไรหรอก แค่ตั้งใจจะแหย่พวกเขาเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
ไห่เย่วหยิกหม่าเคออย่างแรง แล้วพึมพำอย่างอาย ๆ “มันเป็นความผิดของนายทั้งนั้น” หลังจากเธอพูดจบ เธอก็รีบหนีเข้าไปในสถาบัน
ผมมองไปที่หม่าเคอที่ยังสูดปากด้วยความเจ็บอยู่ “ใครใช้ให้นายกล้ามาล้อฉันเล่น? ฮ่าฮ่า! สมควรโดนแล้ว” เรื่องพวกนี้มันทำให้ผมหายเศร้าไปได้เล็กน้อย
พวกเราที่เหลือพากันเดินกลับเข้าไปในสถาบัน
หม่าเคอหันมาถามผม “พี่ใหญ่ พี่แน่ใจนะว่าการเดินทางไปหุบเขามังกรจะไม่มีอันตราย?”
ผมสั่นหัว “ฉันไม่เคยไปที่นั่น ฉันจะไปรู้ได้ยังไง?”