ตอนที่แล้วตอนที่ 245 ศิษย์ลับ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 247 เกมแมวไล่จับหนู

ตอนที่ 246 เตรียมออกรบ!


ตอนที่ 246 เตรียมออกรบ!

เงากระเรียนรู้สึกตลกขึ้นมาภายในใจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ศิษย์ในสำนักพูดเงื่อนไขของพวกเขาออกมาอย่างเปิดเผย เพราะโดยปกติศิษย์จะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์หลังจากที่พวกเขามีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน แต่เซี่ยเฟยกลับมีเงื่อนไขตั้งแต่ที่พวกเขายังไม่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กันเลย

“นายคิดว่าที่นี่คือที่ไหน? นายไม่มีคุณสมบัติที่จะมาต่อรอง” เงากระเรียนกล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งเครียดพร้อมกับขมวดคิ้วจนมีรอยย่นบนหน้าผาก

“มันก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะต้องต่อรองกันไม่ใช่เหรอครับ ถึงแม้ว่าผมจะให้ความเคารพผู้อาวุโสเงาสูญแต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ใช่ศิษย์ของผู้อาวุโส ถึงยังไงพวกเราก็เป็นมนุษย์ที่มีฐานะเท่าเทียมกัน การพูดคุยถึงเงื่อนไขมันก็เป็นเรื่องปกติของทุกคนอยู่แล้วนี่ครับ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างสบาย ๆ

คำพูดนี้ทำให้เงากระเรียนรู้สึกโกรธมาก เพราะภายในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความคิดสมัยเก่า

เขาให้ความเคารพเงาสูญเหมือนกับเป็นบิดาของตัวเอง และถึงแม้เขาจะเห็นด้วยเรื่องการปฏิรูปกฎของสำนัก แต่ถ้าบรรยากาศระหว่างศิษย์กับอาจารย์ต้องเปลี่ยนไปเขาก็ไม่มีวันเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

สำหรับประเด็นเรื่องความเท่าเทียมที่เซี่ยเฟยได้พูดออกมา มันก็เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเงากระเรียนอย่างแท้จริง ท้ายที่สุดอาจารย์ก็เป็นผู้ให้ความรู้แก่ลูกศิษย์แล้วฐานะของพวกเขาจะเท่าเทียมกันได้อย่างไร

“กล้ามากนะที่พูดแบบนี้ อาจารย์ในสำนักเงาสังหารมีความสำคัญมากกว่าบิดาผู้ให้กำเนิดเสียอีก นายอยากจะไปพูดเรื่องความเท่าเทียมที่ไหนก็ได้แต่มันใช้ไม่ได้กับที่นี่!” เงากระเรียนกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธ

“ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเจอพ่อแต่ผมก็คิดว่าพ่อของผมเป็นมนุษย์ด้วยเหมือนกัน ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นมนุษย์แล้วทำไมพวกเขาถึงจะมีความเท่าเทียมกันไม่ได้ล่ะครับ สิ่งที่ผมต้องการจะพูดเป็นเพียงแค่เงื่อนไขเล็ก ๆ น้อย ๆ และมันก็ไม่ใช่เงื่อนไขที่มีพิษมีภัยอะไรกับสำนักเงาสังหารเลย” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เงากระเรียนกำลังจะโต้เถียงกลับไป แต่เงาสูญได้ยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณหยุดเขาเอาไว้ก่อน

“เชิญเจ้าพูดเงื่อนไขของตัวเองออกมาได้เลย” เงาสูญกล่าว

“ผู้อาวุโสเงาสูญเงื่อนไขของผมง่ายมาก ประการแรกผมยินดีจะเป็นตัวแทนของสำนักแต่ผมยังมีเรื่องให้ต้องกลับไปจัดการอีกอย่างมากมาย ผมจึงหวังว่าหลังจากจบเรื่องในวันนี้ผมจะได้กลับไปยังสถานที่ที่ผมควรอยู่” เซี่ยเฟยกล่าว

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา สำนักเงาสังหารไม่บังคับให้เจ้าอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ เจ้าจะอยู่หรือไปก็ตามแต่ใจของเจ้าเลย” เงาสูญกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“เงื่อนไขประการที่ 2 ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักเงากระเรียนได้ให้โอกาสผมเข้าไปเลือกวิชาในหอชมสมุทร แต่ผมได้รับของอย่างอื่นติดไม้ติดมือมาเล็กน้อย หวังว่าทางสำนักจะไม่ถือสากับเรื่องนี้” เซี่ยเฟยกล่าว

“นายกำลังพูดถึงดาบเล่มใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ นายใช่ไหม?” เงากระเรียนถาม

เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะพูดเรื่องทางลับที่เงาอำมหิตได้สร้างเอาไว้ แน่นอนว่าเขาได้ตกแต่งเรื่องราวเข้าไปบ้าง แต่หัวข้อหลักยังคงเป็นเขาคือผู้ที่ถูกเลือกให้ทำการสืบทอดมรดกที่เงาอำมหิตได้ทิ้งเอาไว้

เรื่องเล่าที่น่าตื่นเต้นของเซี่ยเฟยทำให้ทั้งเงากระเรียนและเงาสูญรู้สึกตกตะลึง และพวกเขาทั้งคู่ก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รู้เรื่องเส้นทางลับที่ถูกปกปิดมานานนับพันปี

เงาสูญมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลข้อมูลทั้งหมดภายในสำนักเงาสังหาร ดังนั้นเขาจึงพอจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับอดีตเจ้าสำนักเงาอำมหิตได้บ้าง และคำอธิบายของชายหนุ่มก็ตรงตามกับนิสัยที่มีในบันทึก

“อดีตเจ้าสำนักเงาอำมหิตตั้งใจมอบของเหล่านั้นเป็นมรดกสืบทอดให้กับเจ้าแล้ว พวกเราไม่มีเหตุผลที่จะต้องยึดสิ่งของเหล่านั้นกลับมา เจ้าสามารถสบายใจได้เลยว่าถึงแม้เจ้าจะจากไปแต่ของเหล่านั้นก็จะไปพร้อมกับตัวของเจ้าด้วย” เงาสูญกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ขณะเดียวกันเงากระเรียนก็เม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ แต่ในเมื่อศิษย์พี่ของเขาเอ่ยปากพูดไปแล้วเขาก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถพูดออกไปได้อีก

“เซี่ยเฟยเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะสังหารเจ้าเพื่อปิดปากในภายหลังเหรอ?” จู่ ๆ เงาสูญก็ถามคำถามประหลาดขึ้นมา

“หากผู้อาวุโสต้องการจะสังหารผมจริง ๆ คุณก็ควรจะลงมือในตอนนี้ เพราะหลังจากที่ผมลงมาจากสังเวียน เรื่องสังหารก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

อย่าลืมว่าเซี่ยเฟยกำลังจะขึ้นเวทีการต่อสู้ในฐานะตัวแทนของสำนัก ซึ่งถ้าหากว่าเขาชนะเขาก็จะกลายเป็นฮีโร่ของศิษย์ทุกคนในทันที และในเวลานั้นการจะพยายามสังหารฮีโร่ของสำนักก็คงจะก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อย

“ผมจะจดจำน้ำใจในครั้งนี้ของผู้อาวุโสทั้งสองคนเอาไว้ ท่านอาจารย์ได้โปรดรับผมเป็นลูกศิษย์ด้วยครับ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยความเคารพ หลังจากนั้นเขาก็คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับก้มศีรษะโค้งคำนับเงาสูญทั้งสิ้นสามครั้ง

เงาสูญเผยรอยยิ้มพร้อมกับช่วยพยุงให้เซี่ยเฟยลุกขึ้นยืนมาพูดคุยกัน

ในเมื่อเซี่ยเฟยได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ก็ควรมีชื่อเรียกหาเหมือนศิษย์คนอื่น ๆ ภายในสำนักเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากที่เงาสูญได้คิดอยู่สักพักเขาก็พูดออกไปว่า

“ในเมื่อเจ้าเป็นลูกหลานของผู้อาวุโสเงาโลหิต เจ้าก็ควรสืบทอดชื่อ ‘เงาโลหิต’ เพื่อแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของเจ้า”

เซี่ยเฟยไม่ได้คัดค้านในเรื่องนี้แต่ก็แอบต่อต้านภายในใจ เพราะไม่ว่าใคร ๆ ก็คงจะไม่อยากเปลี่ยนบรรพบุรุษของตัวเอง แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีอยู่ของเงาโลหิตได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้จริง ๆ

หลังจากที่เซี่ยเฟยเดินจากไป เงาสูญก็คิดภายในใจกับตัวเองว่า

‘เขาเป็นเด็กฉลาดรู้ว่าเมื่อไหร่ควรลุกเมื่อไหร่ควรถอย แต่น่าเสียดายที่เขาเติบโตขึ้นมาในโลกที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง เขาไม่น่าจะรับสืบทอดวิชาอะไรจากโลกแห่งความมืดได้’

เมื่อเงาสูญจัดการธุระของตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็หันไปคำนับให้กับเงากระเรียนพร้อมกับกล่าวว่า

“ท่านเจ้าสำนักวันนี้ข้าได้ตัดสินใจโดยพลการ โปรดให้อภัยแก่ข้าด้วย”

“ศิษย์พี่คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง ผมเชื่อว่าศิษย์พี่ต้องคิดทบทวนเรื่องทุกอย่างถี่ถ้วนแล้วอย่างแน่นอน” เงากระเรียนรีบพูดขัดคำขอโทษจากเงาสูญ

เงาสูญพยักหน้ารับก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปกับตา ทิ้งไว้เพียงแค่เงากระเรียนที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง

“นี่ฉันโดนพี่หลอกมาโดยตลอดเลยสินะ ที่แท้เขาก็ไม่ได้ตาบอดและขาของเขาก็ไม่ได้พิการ” เงากระเรียนพึมพำกับตัวเองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

ฟางหยวนยืนเซ็งอยู่กลางเวทีเนื่องจากเงากระเรียนได้หายตัวไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และการแข่งขันครั้งสุดท้ายจะไม่มีทางเริ่มขึ้นได้จนกว่าเจ้าสำนักเงาสังหารจะกลับมา

นี่คือครั้งแรกที่ฟางหยวนได้มีโอกาสออกมาต่อสู้หลังจากที่เขาได้เก็บตัวฝึกฝนในสำนักเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งการต่อสู้ทั้งสองครั้งในก่อนหน้านี้เพียงพอที่จะกระตุ้นความสนุกของเขาขึ้นมาเท่านั้น แต่มันยังไม่สามารถเติมเต็มเปลวไฟแห่งการต่อสู้ภายในจิตวิญญาณของเขาได้เลย

ชายอ้วนต้องการจะทำให้การต่อสู้ในครั้งแรกของเขากลายเป็นที่จดจำของใครหลาย ๆ คน ซึ่งไม่เพียงแต่เขาจะทำเพื่อสำนักเหมันต์สวรรค์เท่านั้น แต่เขายังต้องการประกาศให้ทั่วทั้งจักรวาลได้รู้ว่าฟางหยวนออกมาแล้ว!!

แต่ในทันใดนั้นมุมสายตาของฟางหยวนก็มองไปยังสถานที่ที่เซี่ยเฟยเคยนั่งอยู่ ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะรูปลักษณ์ของดาบอีวีสเซอเรทที่เซี่ยเฟยถือครองอยู่ มันจึงเผลอทำให้เขารู้สึกกังวลเรื่องของเซี่ยเฟยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

หลังจากได้สติฟางหยวนก็สะบัดศีรษะไล่ความคิดโง่ ๆ นั้นออกไป เพราะมันคงไม่มีใครภายในสำนักตกอับแห่งนี้มีความสามารถมากเพียงพอที่จะทำให้เขาเรียกว่าศัตรูได้ เขาจึงมองไปทางอาจารย์ของเขาอีกครั้งเพื่อจะได้มองเห็นแววตาแห่งความภาคภูมิใจของตงเทียน

‘รอก่อนเถอะท่านอาจารย์ สักวันหนึ่งข้าจะเป็นคนเหยียบย่ำท่านขึ้นไปยังจุดที่สูงกว่านี้!’ ฟางหยวนคิดกับตัวเองภายในใจ แต่เขายังคงส่งรอยยิ้มประจบประแจงไปให้กับตงเทียนเหมือนเช่นเคย

ในขณะที่เซี่ยเฟยเดินกลับมาบนอัฒจันทร์เขาก็บังเอิญได้เห็นสายตาอันเฉียบคมของฟางหยวนเข้าพอดี และเขาก็สังเกตเห็นความโหดเหี้ยมภายในแววตาของชายอ้วนคนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ

เซี่ยเฟยจุดบุหรี่เดินขึ้นบันไดไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับมองตรงไปทางฟางหยวนด้วยสายตาที่ราวกับว่าเขามีข้อมูลที่ทำให้ชายอ้วนคนนี้รู้สึกไม่สบายใจ

“นายนี่มันพวกนิสัยเสียจริง ๆ ทันทีที่เจอหน้ากันนายก็เริ่มจู่โจมเข้าใส่จุดอ่อนของเขาแล้วเหรอ” อันธกล่าวพร้อมกับส่ายหัวไปมา

เซี่ยเฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้มแต่เลือกที่จะไม่พูดอะไรโต้ตอบกลับไป ก่อนที่เขาจะเดินไปรับดาบอีวีสเซอเรทมาจากพยูนและแบกมันเอาไว้บนบ่าข้างขวา

ดาบอีวีสเซอเรทมีความยาวมากกว่า 2 เมตรและใบดาบของมันก็ให้ความรู้สึกที่ดุร้าย ดังนั้นทันทีที่ใบดาบถูกวางลงบนไหล่ออร่าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จากตอนแรกที่เซี่ยเฟยมีออร่าที่ดุดันเปลี่ยนไปเป็นออร่าที่ดุร้ายราวกับว่าเขาคือเทพสงคราม

ระยะห่างระหว่างเวทีกับอัฒจันทร์ไม่ได้ห่างมากนัก ฟางหยวนจึงสามารถสังเกตเห็นเซี่ยเฟยได้อย่างรวดเร็ว แต่ออร่าที่เซี่ยเฟยได้ปล่อยออกมาได้ลบล้างความมั่นใจในก่อนหน้านี้ของฟางหยวนไปอย่างสิ้นเชิง

ในไม่นานเซี่ยเฟยก็เดินขึ้นไปบนสนามประลอง โดยในตอนนี้สำนักเงาสังหารได้ส่งเซเลสเชียลมูนและแหวนมิติกลับคืนมาให้เขาอีกครั้ง เขาจึงทำการติดตั้งเซเลสเชียลมูนไปยังแขนขวา

โดยปกติผู้เข้าแข่งขันจะเตรียมตัวเข้าต่อสู้ภายในห้องแต่งตัวอย่างเงียบ ๆ แต่เซี่ยเฟยกลับยืนเปิดเผยทุกอย่างต่อหน้าของฟางหยวนโดยตรง

การสู้รบตั้งแต่สมัยโบราณมักจะเป็นการชิงไหวชิงพริบกันอยู่เสมอ และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะยังค้นหาวิธีเอาชนะชายอ้วนคนนี้ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้แน่ ๆ คือฟางหยวนยังขาดประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบเขาอยู่

ต่อให้นักสู้จะมีความแข็งแกร่งมากมายเพียงใด แต่ถ้าหากว่าพวกเขายังขาดประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มันก็ยากที่จะเรียกนักสู้พวกนั้นว่านักสู้ที่แท้จริง

แน่นอนว่าเงาควันและเงานิลกาฬที่พึ่งต่อสู้กับฟางหยวนไปก็ยังขาดประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ระดับพลังของพวกเขายังอยู่ต่ำกว่าฟางหยวนมาก ดังนั้นออร่าของฟางหยวนจึงกดดันออร่าของพวกเขาจนมิด

แต่ตอนนี้คู่ต่อสู้ของฟางหยวนคือเซี่ยเฟยที่มีประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาอย่างมากมาย ออร่าของเขาจึงมีทั้งความดุดันและความน่าเกรงขาม

เพียงแค่การที่ออร่าทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากัน มันก็คล้ายกับเซี่ยเฟยกำลังจะบอกชายอ้วนคนนี้ว่า

“จงแหกตาดูซะ! ว่าออร่าของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นยังไง!!”

***************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด