บทที่ 180: โบ้ย! ปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยอย่างจริงจัง!
หลี่ไข่ไม่อยากจะเชื่อลูกตาตัวเอง เขาลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดหน้าดินดูด้วยความระมัดระวังหมายอยากจะเห็นรากของต้นข้าว พอยืนยันสิ่งที่เห็นได้แล้วก็แทบจะตาถลน “นะ ๆ ๆ น้องฉิน อะ ๆ ๆ ไอ้นี่มัน... มัน ๆ ๆ คือคะ ๆ ๆ ข้าวหลวงเสียงสุ่ย...?”
“พี่หลี่ดูออกด้วยเหรอ?” ฉินหลินอดประหลาดใจไม่ได้
หลี่ไข่ไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม “ฉันเป็นถึงรองศาสตราจารย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถของแท้เลยเชียวนะ! ฉันเคยเห็นต้นกล้าของข้าวหลวงเสียงสุ่ยมาก่อน!”
หลี่ชิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง “นี่อาเล็ก ตะกี๊อาว่าต้นข้าวนี่เป็นต้นของข้าวหลวงเสียงสุ่ยใช่ปะ?”
ก็อย่างที่รู้ ๆ กันดีอยู่ว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยมันปลูกได้แค่ที่เสียงสุ่ยแถมยังในพื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้นด้วย และมันไม่อาจเอาไปปลูกที่อื่นได้ แต่ต่อให้ฟลุ๊คปลูกได้ขึ้นมามันก็ไม่ได้อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเหมือนอย่างที่ปลูกในเสียงสุ่ย...
นี่คือสาเหตุผลที่ว่าทำไมข้าวหลวงเสียงสุ่ยจึงมีราคาแพงจนคนรวยกว่า 90% ไม่สามารถหามากินได้
แต่ตอนนี้อาเล็กกำลังบอกว่าต้นกล้าในนาของฉินหลินเป็นต้นกล้าของข้าวหลวงเสียงสุ่ยเนี่ยนะ?
หลี่ไข่อธิบายว่า “เป็นต้นกล้าของข้าวหลวงเสียงสุ่ยจริง ๆ ทำได้ไงเนี่ยน้องฉิน ปกติมันจะปลูกไม่ได้หรอกนะเพราะว่าสภาพแวดล้อมมันไม่เหมาะสม แค่งอกยังงอกไม่ได้เลย”
ฉินหลินนึกแล้วว่าคำถามนี้มันต้องมาเขาเลยสามารถอธิบายตามเนื้อเรื่องที่ได้แต่งไว้อย่างไหลลื่น “ก็ทางเสียงสุ่ยได้ใช้ข้าวหลวงเสียงสุ่ยมาแลกกับเหล้าสมุนไพรของผมใช่มั้ยล่ะ ผมก็เลยถือโอกาสขอเมล็ดพันธุ์จากทางนั้นมาลองปลูกซะเลย พอดีที่บ้านเก่าผมมีแปลงนาที่มีดินที่ดูจะพิเศษมาก ๆ ก็เลยลองดูว่าถ้าใช้ดินนั่นปลูกมันจะสำเร็จมั้ย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลี่ชิงก็นึกถึงสิ่งที่ฉินหลินเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้และอธิบายออกมา “จำได้ว่านายเคยบอกว่าเมล็ดแตงโมของนายก็บังเอิญไปเจอที่ทุ่งนาที่บ้านเก่าเหมือนกันหนิ (บทที่ 138)”
“อืม!” ฉินหลินพยักหน้า
เอาล่ะ เรื่องที่แต่งไว้ก่อนหน้านี้ได้ทำงานของมันเสร็จสิ้นแล้ว!
หลี่ไข่ฟังที่หลี่ชิงพูดเสร็จก็ถามขึ้นว่า “มันเรื่องอะไรกัน ทุ่งนาที่บ้านเก่ามันเกี่ยวอะไรกับแตงโมด้วย”
หลี่ชิงอธิบายว่า “ครอบครัวของฉินหลินมีทุ่งนาอยู่ เมล็ดแตงโมพวกนั้นมันก็ถูกทิ้งไว้ในทุ่งนานั่นแหละ แล้วฉินหลินก็ไปเห็นว่ามันงอกตอนหน้าหนาวได้”
“ฉินหลิน นายฉลาดจริง ๆ ทุ่งนาที่สามารถทำให้ยีนของแตงโมกลายพันธุ์จนปลูกในหน้าหนาวได้มันต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่และอาจจะเอามาใช้กับเมล็ดพันธุ์อื่น ๆ ได้ด้วย แล้วตอนนี้นายก็เอามาใช้กับข้าวหลวงเสียงสุ่ยใช่มะ?”
เมื่อเห็นหลี่ชิงให้ความร่วมมืออย่างดีโดยไม่ได้รู้ตัวเลยแบบนี้ฉินหลินก็ยิ้มเลยสิครับ “ใช่แล้ว ช่วงตรุษจีนฉันเองก็กลับบ้านเก่าเหมือนกันก็เลยถือโอกาสไปขุดมาใช้ดูแล้วก็พบว่าได้ผลจริง ๆ ด้วย ไม่ใช่แค่งอกได้นะ ขนาดเวลาที่ใช้งอกยังสั้นอีกต่างหาก ฉันเอาดินมาสองกระสอบใหญ่ผสมลงในแปลงนานี่แล้วผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น”
หลี่ไข่ที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองก็เริ่มอยู่ไม่สุข “น้องฉิน ดินในทุ่งนาของนายต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ มันอาจเป็นดินชนิดพิเศษที่หายากมาก ๆ ก็เป็นได้นะ!”
ประเทศนี้มีผืนดินกว้างใหญ่และทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ชนิดของดินก็มีหลากหลายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ และที่พบมากที่สุดและพบมากที่สุดก็มีดินดำ ดินแดง ดินเหลือง ดินร่วนปนทรายเป็นต้น
เป็นเพียงว่าดินเหล่านี้บางชนิดเหมาะจะใช้ปลูกต้นไม้บางชนิดก็ไม่เหมาะเลย
ดินดำที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกมากที่สุด ส่วนดินแดงนั้นค่อนข้างแย่
นอกจากดินเหล่านี้แล้วยังมีดินที่หายากอยู่ด้วยซึ่งดินเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ เช่นสภาพแวดล้อมหรือสภาพอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น หรือมีองค์ประกอบพิเศษอย่างอื่นปนอยู่
แร่ธาตุพิเศษอื่น ๆ ดังกล่าวเหล่านั้นสามารถมีช่วยผลส่งเสริมพืชผลได้ ตัวอย่างเช่นในสถานที่ที่มีการปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยนั่นไง เพราะสภาพแวดล้อมรวมไปถึงสภาพของดินมันมีองค์ประกอบที่เอื้ออำนวยให้สามารถปลูกได้
เพราะการมีอยู่ขององค์ประกอบพิเศษเหล่านี้จึงทำให้พืชผลที่ปลูกลงไปมีความแตกต่างและหายากซึ่งดินที่มีองค์ประกอบพิเศษเหล่านั้นไม่อาจประดิษฐ์ขึ้นมาได้ด้วย
เมื่อมีองค์ประกอบที่มีประโยชน์แล้วก็มีองค์ประกอบที่มีโทษด้วย เช่นดินที่ผ่านการฉายรังสี ดินที่มีธาตุโลหะหนัก พืชผลที่ปลูกในดินเหล่านี้จะไม่สามารถเอามากินได้
หลี่ไข่เอามือจกลงไปในดินโดยไม่พูดไม่จาแล้วเอาขึ้นมาถู ๆ นิ้ว
‘ดินของน้องฉินที่ทำให้แตงโมกลายพันธุ์จนอยู่รอดได้ในหน้าหนาวแถมยังอร่อยขึ้น แล้วมาตอนนี้ยังทำให้ข้าวหลวงเสียงสุ่ยปลูกได้อีกนี่มันต้องเป็นของดีอย่างไม่ต้องสงสัย’
หลี่ชิงมองดูต้นกล้าของข้าวหลวงเสียงสุ่ยและพูดว่า “ฉินหลิน นี่ไม่ได้แปลว่านายจะสามารถปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่นี่ได้ใช่ปะ? แต่ก็ยังไม่รู้ว่าผลผลิตจะเป็นยังไงเนอะ”
“คงต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยวนั้นแหล่ะถึงจะได้รู้” คำตอบของฉินหลินเหมือนจะไม่แน่ใจทั้ง ๆ ที่ในใจของตนกลับรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
ชาวนาที่อื่น ๆ ก็เป็น ไอ้ที่ตอนปลูกใหม่ ๆ ออกมาดูดีแต่สุดท้ายแล้วผลผลิตกลับแย่
การเพาะกล้าเป็นเพียงขั้นต้นเท่านั้น มันจะไปจบตอนเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต่างหาก
“แต่ถ้าผลผลิตออกมาไม่เลวล่ะก็นายอย่าเป็นคนลืมเพื่อนเชียวล่ะ” หลี่ชิงแสดงอารมณ์ทันที
มันคือข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลยเชียวนะ ถ้าสามารถนั่งชมจันทร์กินข้าวข้างอ่างเก็บน้ำได้ตามสบายล่ะก็ใครจะอยากกลับไปลำบากแย่งกันซื้อกับคนอื่นซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้แบบเดิม ๆ กันล่ะ?
“แกรู้จักแต่เรื่องกินเหรอวะ!”
หลี่ไข่ผลักหลี่ชิงความโกรธและพูดกับฉินหลินว่า “ฉันขอวิเคราะห์องค์ประกอบของดินที่ว่านี่หน่อยได้มั้ย อยากรู้ว่าในดินมันมีอะไรอยู่”
สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรนอกจากจะต้องวิจัยพืชผลแล้ว การวิจัยดินปลูกพืชก็เป็นอีกความสามารถหนึ่งที่ควรต้องมีเช่นกัน
“ตามสบายเลยครับ จะได้ช่วยผมดูด้วยว่าดินมันมีปัญหาอะไรแอบแฝงอยู่มั้ย” ก็ว่าไปนั่นเลยเชียวทั้ง ๆ ที่ตัวเองรู้อยู่แล้วว่าไอ้องค์ประกอบที่ว่ามันมีผลช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของพืชและเพิ่มโอกาสให้พืชปรับปรุงยีน
เอาล่ะ การแสดงนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วล่ะนะ
มีหลี่ไข่กับหลี่ชิงช่วยเป็นพยานให้ แถมหลี่ไข่ยังเป็นนักวิจัยอีก หากเจ้าตัวสามารถวิเคราะห์ดินออกมาได้ล่ะก็น่าจะรู้สึกประสบความสำเร็จสุด ๆ เลยเชียวล่ะ?
เมื่อหลี่ไข่ได้รับคำยินยอมจากฉินหลินแล้วก็ลากตัวหลี่ชิงไปที่ห้องโถง “มาช่วยขนของก่อน”
เขาเอากุญแจห้องเก็บของออกมาไขประตูหลังเคาน์เตอร์
ก่อนกลับไปช่วงตรุษจีนเขาได้เอาเครื่องมือทั้งหมดใส่ไว้ในห้องเก็บของนี้และฉินหลินก็ให้กุญแจกับอีกฝ่ายไป
เปิดประตูแล้วสองอาหลานก็ช่วยกันหยิบอุปกรณ์ออกมา
หลี่ไข่เตรียมเครื่องมือในการทดสอบดินโดยพร้อมเริ่มงานทุกเมื่อ
ตัวเขาที่ศึกษาการทดลองเกี่ยวกับยีนพืชในอุณหภูมิต่ำย่อมต้องพบว่าปัญหาเรื่องดินมีผลกระทบต่อการปลูกพืชอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ดังนั้นเขาจึงมีเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ดินติดห้องแล็บอยู่เสมอ
เมื่อจัดของเสร็จแล้วหลี่ไข่ได้หยิบอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ออกมาแล้วไปเก็บตัวอย่างดินจากแปลงนา จากนั้นก็เดินกลับมาที่ห้องโถง
ครั้งนี้เป็นการศึกษาดินที่ยากกว่าการเช็คไข่เป็ดครั้งก่อนมาก
ในตอนเย็น
เมื่อฉินหลินมาที่ห้องโถงเก่าอีกครั้งเขาเห็นว่าหลี่ไข่ยังคงง่วนอยู่กับอุปกรณ์ของตน พอเห็นแบบนี้ฉินหลินก็อดถามไม่ได้ “ยังวิเคราะห์ไม่เสร็จอีกเหรอครับ?”
หลี่ไข่ขมวดคิ้วมุ่น “มันไม่ใช่งานที่จะได้ผลเร็วขนาดนั้นน่ะสิ ผลการวิเคราะห์ดินต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้านู่นแหล่ะ ประเด็นสำคัญคือฉันเจอองค์ประกอบพิเศษในดินแล้ว แต่น่าแปลกที่ไม่รู้ว่ามันคือธาตุอะไร”
เมื่ออีกฝ่ายว่างั้นฉินหลินก็ส่ายหน้าแล้วปล่อยให้ศึกษาต่อไป ส่วนตัวเองก็ไปเช็คสถานการณ์ที่อ่างเก็บน้ำต่อ
สะพานโป๊ะค่อย ๆ เข้าใกล้คำว่าเสร็จสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ และยังมีการสร้างศาลาพักผ่อนขึ้นบนโหนดของสะพานโป๊ะซึ่งผู้คนสามารถเข้าไปนั่งพักผ่อนได้
ถ้าซักวันหนึ่งเมล็ดบัวในเกมเปิดขายเมื่อไหร่เขาจะซื้อมาปลูกรอบ ๆ ศาลา ยิ่งถ้ามีสีเขียวตัดกับสีดอกบัวด้วยแล้วความงดงามของมันต้องเกินจะพร่ำเพ้อพรรณนาเป็นแน่แท้
แล้วเวลาก็ล่วงเลยจนฟ้าเริ่มมืด
ห้องโถงเก่า
อาจารย์หลินออกมาจากห้องครัวมาพร้อมอาหาร เมื่อเห็นว่าหลี่ไข่ยังคงเล่นดินอยู่หน้าเครื่องมือเขาเลยส่งเสียงเรียก “อาจารย์หลี่ได้เวลากินข้าวแล้วครับ!”
ตอนอยู่ที่บ้านไร่หลี่ไข่มักจะกินอาหารที่อาจารย์หลินปรุงให้อยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงสุภาพกับอีกฝ่ายมาก ๆ “อ้อขอบคุณมากครับอาจารย์หลิน เดี๋ยวผมขอไปล้างมือก่อนนะ”
“ผมเห็นคุณเล่นดินนี่มาตั้งนานแล้ว ตกลงว่าดินนี่มันมีอะไรเหรอครับ” อาจารย์หลินถามด้วยความสงสัย
“ก็ดินในแปลงนาของเถ้าแก่คุณมันพิเศษมากน่ะสิผมเลยขอมาศึกษา” หลี่ไข่ไม่ได้ปิดบัง
“อ้อ” แล้วอาจารย์หลินเข้าไปในครัวด้วยท่าทางครุ่นคิด
เขาไปหยิบสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋าและเริ่มขีด ๆ เขียน ๆ ข้อความลงไป
มันคือเนื้อหาที่เถ้าแก่ขอให้เขาเขียน ไอ้ที่ว่าวิธีในการฟื้นฟูต้นแปะก๊วยอายุ 500 ปีทั้งสองต้นนั่นแหล่ะ
แต่ว่าเขาไม่รู้จริง ๆ และก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษด้วย แค่เอาปุ๋ยคอกไปโรยรอบ ๆ ตามปกติ ทำติดต่อกันมาหลายปีจนสุดท้ายมันก็ยอมฟื้นคืนชีพให้
แต่จะให้เขียนไปตามนี้มันจะมีอะไรที่น่าเชื่อถือกันเล่า
‘ถ้าวิธีนี้มันได้ผลจริงล่ะก็ทำไมมันไม่ได้ผลตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่ะฟะ มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ หรือบางทีมันอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับกูด้วยซ้ำ’
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด เถ้าแก่มอบหมายงานให้แต่จะหลอกเถ้าแก่ก็ไม่ได้ ก็เลยเขียนไปว่า ขี้วัว + ปุ๋ยหมัก + ดินจากแปลงนา
‘เออ ก็จารย์หลี่บอกว่าดินมันพิเศษนี่หว่า งั้นกูโบ้ยให้ดินแม่งนี่แหล่ะ เถ้าแก่ถามกูก็บอกดิน ดินมันพิเศษไง ดินเท่านั้นที่ทำให้เกิดผลแบบนี้ได้!’
อาจารย์หลินเริ่มรู้สึกว่าตัวเองนี่ก็ไหวพริบดีไม่น้อยเหมือนกัน
ผ่านไปหนึ่งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นฉินหลินยังคงไปขดของจากเกมส่งให้บ้านไร่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องจากนั้นก็ไปดูที่ห้องโถงเดิม
หลี่ไข่ยังคงเล่นดินอยู่เลยซึ่งเห็นได้ชัดว่ายังวิเคราะห์ไม่ออก
ฉินหลินเลยเข้าไปดูที่แปลงนา
เขาขอให้เฉินต้าเป่ยหาคนมาตีแปลงนาเพิ่ม อีกไม่กี่วันเมื่อแปลงนาพร้อมแล้วเขาจะย้ายกล้าลงปลูก
สำหรับต้นกล้าที่จะย้ายลงปลูกได้นั้นต้องเลือกต้นที่มีใบจริงแล้ว 3 ใบ ถ้าเอาต้นขนาดนี้ไปปลูกมันจะโตเร็วมาก ๆ แต่หากย้ายตอนที่พึ่งจะใบเดียวอยู่มันจะไม่ยอมแตกกอและผลผลิตที่ได้จะต่ำลงมาก ๆ
ในช่วงฤดูทำนาโดยทั่วไปแล้วเกษตรกรจะเคร่งครัดในเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ทว่าการเลือกต้นกล้านั้นก็เป็นแค่ขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น ยังมีขั้นตอนอื่นอีกคือก่อนย้ายปลูกควรจะต้องพรวนดินให้ร่วนมากที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบรากเสียหายตอนย้ายกล้าเพราะมันจะทำให้ต้นกล้าตายได้
ฉินหลินใส่ใจในเรื่องนี้มากเพราะว่าเขามีต้นกล้าไม่มากนัก
หลังจากใช้เวลาไปกับต้นกล้าอยู่พักหนึ่งจู่ ๆ เฉินหลี่ก็โทรเข้ามาและเขาก็รับสายทันที “สวัสดีท่านรองเฉิน”
เสียงหัวเราะของเฉินหลี่ดังขึ้นจากปลายสาย “เถ้าแก่ฉินขั้นตอนการทำสัญญาที่ดินห้าพันหมู่เสร็จแล้วนะครับ สามารถไปจัดการที่สำนักงานที่ดินได้เลย ผมจะให้จงเล่ยไปรอที่นั่นก่อน”
เมื่อฉินหลินได้ข่าวเขาก็ไปที่อำเภอโดยตรงไปยังสำนักงานที่ดินทันที
ทันทีที่รถหยุดจงเล่ยก็เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับเถ้าแก่ฉิน ท่านรองเฉินได้จัดการให้แล้วทำให้ไม่ต้องรอคิว เดี๋ยวเชิญตามผมไปทำเรื่องได้เลยครับ”
“ครับ!” ฉินหลินพยักหน้า
ใครเคยไปจัดการเรื่องที่ดินคงจะรู้ว่ากว่าจะผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ได้นั้นช่างใช้เวลานานเหลือแสน แถมคิวก็ยาวอีก แค่เรื่องง่าย ๆ เผลอ ๆ ต้องใช้เวลาหลายวันซะด้วยซ้ำ
ซึ่งนั่นคือสภาพของคนส่วนใหญ่ แต่คนส่วนน้อยอย่างฉินหลินที่ทางอำเภอนัดหมายไว้ให้แล้วไม่ต้องไปต่อคิวและสามารถเสร็จสิ้นขั้นตอนต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ปีที่แล้วมีคนแอบถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วโพสต์ลงเน็ตจากนั้นก็เกิดการถกเถียงกันจนเสียงแตกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งก็บอกต้องต่อคิวสิเหมือนกันสิวะอย่าได้สองมาตรฐานแบบนี้ อีกฝ่ายก็บอกว่าคนที่ได้อภิสิทธิ์เขาทำเรื่องใหญ่ ๆ กันหากมัวแต่ชักช้าก็ฉิบหายกันพอดีสิ จะมาหาความเท่าเทียมอะไรตอนนี้วะพวกโง่นี่
ผลสุดท้ายคือข่าวนั่นถูกระงับไปไม่มีการไปจัดการใครทั้งสิ้น
จะมีก็แค่คำอธิบายอย่างเป็นทางการว่าบุคคลที่ถูกแอบถ่ายเป็นประธานบริษัทขนาดใหญ่ในเขตเมืองและมีโครงการความร่วมมือกับทางการอยู่ ซึ่งอีกฝ่ายได้เข้ามาพบปะพูดคุยเจรจาเป็นการส่วนตัว
แม้จะไม่รู้ว่าไอ้ที่ประกาศมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ที่รู้อยู่อย่างหนึ่งคือในโลกนี้ไม่มีไอ้สิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมที่แท้จริงหรอก อย่ามัวมองหาสิ่งที่มันไม่มีให้เมื่อยเลยน้อง
ก็ลองคิดดูซิว่าเวลาตัวเองไปทำธุรกรรมที่ธนาคารตัวเองต้องหยิบบัตรคิวแล้วนั่งรอคิวใช่มั้ย พอถึงคิวพนักงานนี่ก็อย่างกับหุ่นยนต์ไม่รู้จะเย็นชาอะไรนักหนา แต่พอหัวหน้าตัวเองไปบ้างอีพนักงานนี่กลายเป็นคนปกติมีมารยาทอ่อนหวานขึ้นมาเลย ขนาดประธานสาขายังมาต้องรับด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
มันคือบรรทัดฐานทางสังคม และไอ้การโพสต์คลิปวิดีโอในลักษณะนี้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนจริง ๆ แล้วมันก็เป็นความคิดที่ผิดปกติประเภทหนึ่ง
ฉินหลินได้รับการต้อนรับจากเฉินหลี่และจงเล่ยที่ตามมา จากนั้นก็แทบจะสามารถผ่านขั้นตอนทั้งหมดได้ในชั่วพริบตา แล้วในที่สุดก็ได้เอกสารสัญญามาถือไว้
สรุปแล้วตั้งแต่วันนี้บ้านไร่ชิงหลินจะมีที่ดินเพิ่มขึ้นอีก 5,000 หมู่
เมื่อฉินหลินกลับไปที่ห้องทำงานก็เอาเอกสารสัญญาเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย พอดีกับที่เฉินต้าเป่ยได้เข้ามารายงานว่า “เถ้าแก่ครับ แปลงนาที่เถ้าแก่สั่งมาทำเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ”
“ปะ พาไปดูหน่อย” ฉินหลินพยักหน้าและเดินตามเฉินต้าเป่ยไปที่แปลงนาใหม่
โดยแปลงนาที่เฉินต้าเป่ยจัดให้นั้นอยู่ไม่ไกลจากอ่างเก็บน้ำซึ่งสะดวกต่อการทำระบบชลประทาน
จะเห็นได้ว่าเฉินต้าเป่ยได้ทำแปลงนานี้ให้ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี คันนาถูกอัดจนแน่นตึ้บ มีการตีปุ๋ยกับดินให้ละเอียดและมีความสม่ำเสมอเท่า ๆ กัน
ฉินหลินพอใจกับผลงานนี้มาก “เดี๋ยวพาคนไปถอนกล้าจากแปลงนาเดิมมาดำที่แปลงใหม่นี้ด้วยนะ เสร็จแล้วก็ให้ตีแปลงนาเพิ่มอีก”
ดินวิเศษจากเกมนั้นยามที่ใช้ปลูกพืช พืชชุดเดียวจะไม่ได้กินองค์ประกอบพิเศษทีเดียวหมดทำให้สามารถปลูกพืชรอบใหม่ซ้ำได้อีกหลายรอบ
“ครับเถ้าแก่!” เฉินต้าเป่ยตอบและเดินไปเรียกคนไปช่วยถอนกล้าจากแปลงนาเดิม พวกเขาประคองต้นกล้าของข้าวหลวงเสียงสุ่ยมาดำลงในแปลงนาที่พึ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ด้วยความระมัดระวัง
เฉินต้าเป่ยใส่ใจกับงานนี้มาก เขารู้เพียงว่าต้องทำตามที่เถ้าแก่สั่งให้ดีโดยที่ไม่รู้เลยว่าต้นกล้าที่ตัวเองถอน ๆ ดำ ๆ นั้นมันคืออะไร ไม่รู้ว่าเมื่อรู้แล้วคนเหล่านี้จะทำหน้ายังไงกันบ้าง?
เมื่อฉินหลินกลับมาที่ห้องโถงเดิมอีกครั้งหลี่ไข่ก็ลุกขึ้นจากเครื่องมือพอดี
“วิเคราะห์ได้แล้วเหรอครับ” ฉินหลินถาม
หลี่ไข่ส่ายหัว “ดินมีองค์ประกอบพิเศษอยู่จริง แต่ที่รู้ก็แค่อันที่มีผลแบบทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แต่อันที่เป็นเฉพาะทางยังไม่รู้ต้องใช้เครื่องมือที่ดีกว่านี้”
“แล้วมันก็ยังต้องใช้เวลานาน การทดลองของฉันมันยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ฝืนทำวิจัยต่อไปก็เสียเวลาเปล่า”
“เพราะงั้นเลยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีก็คือดินนี้มีองค์ประกอบที่อาจส่งผลกระทบต่อยีนของพืช”
“เพียงแต่ว่ายังไม่มีการศึกษาผลกระทบแบบเฉพาะเจาะจงอย่างชัดเจนเลยไม่อาจบอกรายละเอียดได้ แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพของต้นกล้าแตงโมกับข้าวหลวงเสียงสุ่ยแล้วถือว่ามีผลกระทบที่รุนแรงอย่างแน่นอน”
“ส่วนข่าวร้ายก็คือองค์ประกอบนั้นกำลังจางหายไป แปลว่าถ้าปลูกพืชลงไปเรื่อย ๆ มันจะถูกพืชกินไปเรื่อย ๆ จนหมด และในอนาคตพืชที่ปลูกบนดินนี้ก็จะไม่แตกต่างจากพืชทั่วไปอีก”
“ดินประเภทนี้มีการขุดเจอกันไม่น้อย แต่ที่ไม่ค่อยเห็นเป็นเพราะทันทีที่มันปรากฏจะมีห้องทดลองของบริษัทใหญ่ ๆ หรือไม่ก็ห้องแล็บของรัฐมากว้านซื้อไปเพื่อใช้เพาะพันธุ์พืชชนิดใหม่ ๆ บางครั้งบางคราวพืชแปลก ๆ ที่เป็นชนิดใหม่ซึ่งไม่เคยมีในโลกมาก่อนก็อาจเกิดมาจากดินพวกนี้ก็ได้”
“ดังนั้นขอเตือนด้วยความหวังดีเลยนะน้องฉิน ถ้าเกิดมีใครอยากซื้อดินของนายล่ะก็อย่าได้ขายเป็นอันขาด และอย่าปลูกพืชใด ๆ ลงดินนี้อีกไม่งั้นมันจะดูดองค์ประกอบพิเศษนี้จนหมด”
“ถ้าจะปลูกล่ะก็ให้หาอะไรที่มันมีค่ามาปลูก ถ้าโชคดีล่ะก็นายอาจได้พืชสายพันธุ์ใหม่ ๆ อีกหลากหลายชนิดที่ทำให้วงการด้านพันธุศาสตร์ก้าวหน้า แล้วแบบนั้นแหละนายถึงจะร่ำรวยจริง ๆ”
“ถ้าคุณมีเวลา พาฉันไปที่นาเก่าของคุณเพื่อดูว่าฉันจะหาอะไรได้อีกไหม”
“อืม” ฉินหลินพยักหน้า
ฉันชื่นชมหลี่ไข่ในใจของฉันจริงๆ และเขาวิเคราะห์บางอย่างจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสมบัติของดินที่ใช้กับการเพาะปลู
นี่คือพลังของวิทยาศาสตร์
ยิ่งไปกว่านั้นตามที่หลี่ไข่ว่ามานี้แปลว่าเขาจะสามารถทำเมล็ดพันธุ์ได้มากขึ้นในอนาคตย่อมใช่ปะ?