บทที่ 159 – ถูกอาจารย์เรียกตัว
ผมมีท่าทีหดหู่ลงเล็กน้อย แต่ยังฝืนยิ้มออกไปได้ “พวกเราก็เข้ากันได้ดีอยู่นะ”
ไหสุ่ยไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของผม เธอเพียงกล่าวออกมาอย่างปกติ “อย่างนั้นก็ดีแล้ว! พวกเรากำลังจะปิดภาคการศึกษาแล้ว เดี๋ยวจะมีวันหยุดยาวเลย นายวางแผนไว้ยังไงบ้าง?”
แผนเหรอ? ไม่มี! ผมไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ผมได้แต่ตอบออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร “ฉันยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรเหมือนกัน เดี๋ยวพอถึงวันหยุดแล้วค่อยวางแผนเอาก็ได้ บางที ฉันอาจจะแค่กลับบ้านเท่านั้น”
เธอพยักหน้ารับรู้ “นั่นก็ถือว่าเป็นแผนที่ดีแล้ว! ฉันได้ยินมาจากพี่สาวว่าระดับพลังเวทย์ของนายบรรลุระดับเมธีเวทย์แล้วเหรอ? มันเป็นความจริงมั้ย?”
ผมไม่สามารถ และไม่อยากที่จะโกหกเธอ ผมเลยบอกออกไปเรียบ ๆ “พี่สาวเธอพูดถูก แล้วฉันก็อยู่ในระดับเมธีเวทย์นี่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่จากพลังเวทย์ที่มันรั่วไหลออกมาจากตัวเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นมากเท่าไหร่เลยนะ ขยันขึ้นอีกหน่อยสิ”
แล้วหลังที่ผมพูดประโยคนั้นจบ ผมก็รู้สึกเสียใจทันที ผมไม่น่าพูดออกไปเลย แล้วก็เป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้ หลังจากที่ไหสุ่ยได้ยินที่ผมพูด เธอก็มีอาการซึมลงทันที แต่ยังพยายามอธิบาย “ตอนนี้สมาธิของฉัน ใจฉันมันไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ฉันเลยตั้งใจฝึกไม่ค่อยได้” หลังจากที่เธอพูด เธอมองมาที่ผมอย่างแน่วแน่
ผมนี่ใจเต้นแรงเลยทีเดียว ผมเข้าใจในความหมายที่เธอพยายามจะสื่อ เธอยังมีความรู้สึกต่อผมอย่างลึกซึ้ง แต่ผมมอบหัวใจให้มู่จือไปหมดแล้วนี่ เฮ้อ! คนหนึ่งคือคนที่ผมรัก อีกคนหนึ่งคือคนที่รักผม แล้วทั้งคู่ก็ทำให้ผมอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจ
ผมกระแอมออกมา แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “เธอกินอะไรหรือยัง?”
ไห่สุ่ยส่ายหน้า “ยังเลย ฉันกำลังคิดที่จะไปหาอะไรกินอยู่พอดี แต่บังเอิญมาเจอนายเข้าก่อนนะ”
ผมพยายามไม่แสดงความเป็นห่วงเธอมากจนเกินไป เพียงแค่กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “เธอควรจะกินให้มากขึ้นหน่อยนะ เธอดูผอมลงมากเลย”
แต่แค่นั้นก็ทำให้เธอน้ำตาไหลแล้ว เธอโผเข้าหาผมทั้งตัว ซุกเข้าที่อกของผมเหมือนลูกนกที่พยายามหาความอบอุ่น และเริ่มร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ
การกระทำของเธอทำให้ผมตกใจมาก แต่ผมจะผลักเธอออกก็ไม่ได้ ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นแบบทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้น้ำตาของเธอชุ่มอยู่ที่เสื้อผ้าของผม
เธอร้องไห้อยู่นานเลยทีเดียว เธอค่อย ๆ เริ่มปล่อยมือที่กอดผมเอาไว้แน่นออก แต่เธอยังคงยืนอยู่ข้างหน้าห่างจากตัวผมแค่ไม่กี่นิ้วเท่านั้น ลมหายใจของเธอพุ่งมาปะทะกับใบหน้าผม นี่ทำให้ผมไม่สบายใจกับสถานการณ์นี้เล็กน้อย
ตอนนี้ดวงตากลมโตของไหสุ่ยยังเต็มไปด้วยน้ำตา เธอกระซิบถามผม “นายช่วยรักฉันบ้างได้มั้ย นิดเดียวก็ยังดี ถึงแม้จะเป็นเพราะความสงสาร นั่นก็พอแล้ว ได้มั้ย?”
ผมได้แต่มองหน้าของไห่สุ่ยอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรได้
ไห่สุ่ยค่อย ๆ เอาปากของเธอมาแตะที่ริมฝีปากของผมเบา ๆ ก่อนจะหันตัวกลับ และรีบวิ่งออกไป
ผมได้แต่ยืนมองร่างเล็กนั่นค่อย ๆ ลับหายไปจากสายตา ตอนนี้อารมณ์ของผมยิ่งหนักอึ้งมากขี้นกว่าเดิม ผมเริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับความรู้สึกของตัวเองแล้ว แม้ว่าผมจะบอกตัวเองว่าผมไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับไหสุ่ยเลย แต่เมื่อหัวใจมันเต้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว มันก็หยุดได้ยาก เหมือนคลื่นในทะเลสาบ ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันจะขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ
ผมได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นใจ ยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากตัวเองตรงจุดที่ไหสุ่ยฝากความรู้สึกเอาไว้ แล้วได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี
นี่มันเหมือนว่าความวัวยังไม่ทันหาย แล้วความควายก็เข้ามาแทรกจริง ๆ เรื่องของมู่จือยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย แล้วยังมีเรื่องของไหสุ่ยเข้ามากวนใจของผมอีก แล้วผมจะทำยังไงล่ะ?
ผมเลยไปหาอะไรกินก่อน ผมไม่ได้ไปที่หยกปริ่มน้ำ แค่ไปหาอะไรกินที่โรงอาหารเท่านั้น ก่อนจะกลับไปที่ห้องพักคนเดียว
หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน ผมไม่ได้พูดอะไรกับมู่จือ แต่นั่งมองเธออย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างเธอ ในหัวใจของผมมีแต่คำถาม คำถามที่ว่า ทำไมเธอถึงได้ยังไม่ยอมรับผมจริง ๆ เสียที?
ส่วนมู่จือไม่กล้าที่จะสบตาผมนัก เธอไม่กล้ามองดูสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของผมเลย ผมรู้สึกได้ว่าเธอกำลังหลบเลี่ยงผมอยู่
วันนี้หม่าเคอได้มาตามหาผมอย่างไม่บอกกล่าว หลังจากที่เจอผม เขาก็ยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะกล่าว “พี่ใหญ่ ช่วงนี้พี่เป็นยังไงบ้าง?”
ผมรีบตอบเขาไปอย่างรวดเร็ว “ใครจะไปมีสบายแล้วก็มีความสุขเหมือนนายล่ะ? ตัวติดอยู่กับไห่เย่วทั้งวันทั้งคืน ลืมพี่น้องคนนี้ไปหมดแล้วมั้งเนี่ย? นี่ล่ะ! ที่เขาบอกว่าพอมีความรักแล้วมักจะลืมเพื่อน จากที่ฉันเห็น นายน่าจะลืมฉันไปแล้วแน่เลย”
หม่าเคอหัวเราะอย่างอาย ๆ “ผมจะลืมพี่ได้ยังไง? ผมอาจจะลืมได้ทุกคน แต่ผมไม่มีทางลืมพี่แน่ ๆ ไม่ใช่ว่าผมมาหาพี่แล้วหรือยังไง?”
ผมคำรามในคออย่างเย็นชา “รีบบอกมา นายมาหาฉันทำไม? ถ้าไม่มีเรื่องอะไรร้อนใจ ฉันว่านายไม่มีทางมาหาฉันแน่นอน”
เขายิ้มออกมาอย่างขอโทษ ก่อนจะบอกผม “ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่ ดูเหมือนพี่จะอ่านผมออกหมดเลยนะเนี่ย เป็นอาจารย์ตี้ที่บอกให้ผมมาหาพี่ ตอนที่ผมกลับบ้านเมื่อวานนี้ ผมบังเอิญไปเจอกับเขาเข้าพอดี เขาอยากให้พี่ไปหาเขาหลังจากเลิกเรียนเย็นนี้ครับ”
ทำไมอาจารย์ตี้ต้องการเจอผมนะ? ผมบอกเขาไป “ฉันรู้แล้ว! แล้วนายยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย หรือว่ามีแค่นี้?
หม่าเคอส่ายหน้า “ไม่มีเรื่องอื่นแล้วครับ! อ้อ! ไห่เย่วฝากมาบอกว่าห้ามพี่ไปรังแกน้องสาวเธออีก หวา!! พี่ใหญ่อย่าตีผม หยุดตีได้แล้ว!”
แต่ผมยังไม่หยุดมือ ปากก็ตะโกนใส่เขา “ถ้าฉันไม่ตีนาย แล้วจะให้ฉันไปตีใคร? เรื่องนี้มันน่าจะอยู่ของมันเงียบ ๆ แล้ว นายมากวนน้ำให้ขุ่นอีกทำไม? นายเป็นคนอย่างโดนดีเองนะ!”
หม่าเคอรีบหนีกลับห้องตัวเองไปทันที “ผมไม่ทะเลาะกับพี่แล้ว ผมส่งข่าวให้พี่เรียบร้อยแล้วนะ! อย่าลืมไปหาอาจารย์ตี้ด้วยล่ะ”
ผมตะโกนไล่หลังเขาไป “รู้แล้ว! ไม่ต้องย้ำหรอกน่า รีบไสหัวไปอยู่กับไห่เย่วของนายไปเลย” หลังจากเจ้าหมอนี่คบกับไห่เย่วแล้วนี่ มันเปลี่ยนไปเยอะมาก เขากะล่อนขึ้นเยอะเลย
หลังจากเลิกเรียน ผมมุ่งหน้าไปโรงเรียนมัธยมเวทย์มนต์หลวงคนเดียว
“จางกง! เธอมาแล้ว”
“อาจารย์ครับ! ผมได้ยินจากหม่าเคอบอกว่าอาจารย์อยากพบผมเหรอครับ”
เขาหัวเราะ “ใช่แล้ว! ถ้าอาจารย์ไม่เรียกหาเธอ แล้วเธอจะมาหาอาจารย์บ้างไหมล่ะ?” ทำไมเขาพูดเหมือนที่ผมพูดกับหม่าเคอเลยล่ะ?
ผมหัวเราะแห้ง “นี่หมายความว่า ตาแก่คนนี้คิดถึงผมหรือครับ?”
อาจารย์ตี้สวนมาทันที “ใครแก่? เธอว่าอาจารย์แก่ได้ยังไง? แล้วใครคิดถึงเธอกัน อาจารย์มีเรื่องสำคัญต่างหาก”
ผมรีบยิ้มขอโทษเขา “ใช่แล้วครับ! ใช่แล้วครับ! อาจารย์ยังไม่แก่หรอกครับ อาจารย์กำลังหนุ่มแน่นเลยครับ เป็นเมธีเวทย์ที่ไม่มีใครเทียบได้เลยครับ ฮิฮิ!”
หลังจากที่ได้ยินการเยินยอของผม เขาก็มีท่าทางดีขึ้น “เจ้าเด็กเหลวไหลนี่ เธอนี่เก่งเรื่องพูดจริง ๆ แล้วนี่ตอนนี้พลังเวทย์ของเธอก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว?
ผมยิ้ม “ก้าวหน้าขึ้นมากเลยครับ! อาจารย์อยากลองดูมั้ยครับ?”
อาจารย์ตี้เม้มปาก “อาจารย์จะลองทำไม? แต่ก่อนพลังของเธอก็ไม่ได้ด้อยกว่าอาจารย์อยู่แล้ว อาจารย์ยังไม่อยากให้กระดูกผุ ๆ นี้หักไปเสียก่อน” ได้ฟังอย่างนั้นแล้ว ผมก็เยาะเย้ยเขาในใจ ไม่ยอมให้ผมเรียกว่าแก่ แต่ตอนนี้กลับอ้างว่าตัวเองแก่เสียเองแล้ว!
แล้วผมก็ถามเขาอย่างเคารพ “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เรียกผมมาทำไมครับ?”
อาจารย์ตี้เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง “อีกเดี๋ยวจะถึงวันหยุดแล้ว เธอวางแผนเอาไว้ว่าอย่างไรบ้าง?”
“ผมคิดว่าจะกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่ครับ” ผมตอบเขา
เขาพยักหน้า “ดีแล้ว เธอไม่ได้กลับบ้านมาครึ่งปีแล้ว สมควรจะกลับไปเยี่ยมบ้านเสียหน่อย แต่อาจารย์หวังว่าก่อนที่จะกลับบ้าน เธอน่าจะจัดการบางอย่างก่อน”
“เรื่องอะไรครับ? บอกผมมาได้เลย!” ผมค่อนข้างประหลาดใจ
“เด็กเอ๋ย! เธอยังจำที่อาจารย์บอกไว้ตอนปีนั้นได้หรือไม่ เรื่องที่ว่าจะต้องพาเสี่ยวจินกลับบ้านของมัน?”
หัวใจของผมกระตุก “จำได้ครับ”
เขากล่าวต่อ “เสี่ยวจินจะเป็นราชามังกรองค์ต่อไปของเผ่ามังกร อาจารย์อยากให้เธอใช้เวลาช่วงวันหยุดพามันกลับไปที่บ้านก่อน มันก็มีครอบครัวรออยู่ที่นั่น เธอไม่อยากให้มันกลับไปเจอพวกเขาบ้างหรือ?”