บทที่ 158 – ศรัทธาในความรักจนถึงที่สุด
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายลมที่พัดผ่าน สองเดือนผ่านไปในชั่วพริบตา ตอนนี้ดวงเวทย์สีทองทั้งสองดวงในร่างกายผมเสถียรและพัฒนาขึ้นอย่างมาก แม้ว่ามันจะยังไม่ถึงขั้นโปร่งใส แต่ก็น่าจะอีกไม่นานเท่าไหร่แล้ว พลังเวทย์ของผมนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเพิ่มขึ้นมาอีกระดับ
ภาคการศึกษานี้ของสถาบันกำลังจะจบลงในไม่ช้า หม่าเคอกับไห่เย่วทำตัวติดกันมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ อยู่ด้วยกันทุกวัน จนคู่ของผมกับมู่จือเหมือนเป็นเพื่อนกันธรรมดาเลยถ้าเปรียบเทียบกับพวกเขา แม้ว่าผมจะสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีใจให้กับผมมาก แต่ยังเหมือนกับว่ามีช่องว่างระหว่างเราอยู่ มันยังมีกำแพงอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น อธิบายไม่ถูกกั้นกลางระหว่างพวกเราเอาไว้
ผมต้องเขียนจดหมายฉบับที่ 100 ให้เธอวันนี้ แล้วผมจะเขียนอะไรต่อดี? เอาเป็นการรวบรวมความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ หรือว่าจะเป็นเรื่องแผนการในอนาคตข้างหน้า ไม่! ไม่ดีทั้งคู่! หลังจากผมคุ้ยสมองของตัวเองจนเกือบพัง ผมก็นึกถึงเรื่องราวของหมู่บ้านที่ผมเคยเดินทางผ่านไปในอดีตขึ้นมาได้ ใช่เลย! จดหมายฉบับที่ 100 ใช้เรื่องนี้แหละ
คาบเรียนกำลังจะเริ่มแล้ว ผมหันไปมองดูใบหน้าธรรมดา ๆ ของเธอ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้สวยมากขนาดนั้น แต่ผมก็ยังหลงใหลความน่ารักของมันเป็นอย่างมาก ผมอาศัยตอนที่ความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาตอนนี้เอง รีบหยิบกระดาษออกมา แล้วเริ่มเขียนจดหมายให้เธอทันที
...มู่จือ นี่คือจดหมายฉบับที่ 100 ของพวกเรา ผมจะไม่มัวแต่พร่ำคำหวานให้คุณอีก แต่ผมอยากจะเล่าเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งให้คุณฟังแทน
นี่เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่คอยเฝ้ามองเด็กสาวที่เขาชื่นชมอยู่แบบห่าง ๆ ทุกวันไม่เคยขาด จนในวันหนึ่ง เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดออกมาเพื่อเขียนจดหมายรักฉบับแรกให้เธออ่าน ชวนเธอไปที่ริมทะเลกับเขา เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นคนขี้อายมาก หลังจากที่เขายื่นจดหมายฉบับนั้นให้เธอแล้ว เขาก็รีบวิ่งจากไปในทันที
แล้วเมื่อวันนัดที่เขียนไว้ในจดหมายมาถึง เด็กหนุ่มคนนั้นเฝ้ารอเด็กสาวอย่างกระวนกระวายอยู่ที่จุดนัดพบ แน่นอนเด็กสาวคนนั้นมาตามนัด พวกเขาเล่นสนุกกันอย่างมีความสุขตลอดทั้งวัน
จนถึงตอนค่ำ เด็กหนุ่มก็พาเด็กสาวกลับไปส่งที่บ้าน แล้วเขาก็ถามเธอว่าจะคบกับเขาอย่างจริงจังได้หรือไม่ เด็กสาวนั่นส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา ก่อนจะหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไป เธอพูดเพียงว่า “ถ้าพวกเราถูกลิขิตไว้”
เด็กหนุ่มคนนั้นเปิดจดหมายขึ้นดู พวกว่าในนั้นเป็นเพียงกระดาษที่ว่างเปล่า เขาได้แต่แปลกใจและครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของเธอ แต่เขาก็ไม่รู้ความหมายของสิ่งที่เธอพูดเลย
หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน เด็กหนุ่มชวนเด็กสาวอีกครั้งด้วยวิธีเดิม เมื่อวันนัดมาถึง เด็กสาวก็ปรากฏตัวขึ้นมาตามนัดหมาย พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนครั้งก่อน ตอนที่ทั้งคู่จะต้องแยกจากกันอีกครั้ง เด็กสาวนั้นกล่าวออกมาเหมือนเดิม “ถ้าพวกเราถูกลิขิตไว้” หลังจากพูดจบ เธอก็ส่งจดหมายเปล่าให้เขาอีกฉบับ
เรื่องราวก็เป็นไปแบบนั้น เด็กหนุ่มยังใช้จดหมายรักเพื่อนัดเจอกับเด็กสาวนั่นต่อไป
หลังจากผ่านไปอีกหลายปี เด็กหนุ่มและเด็กสาวนัดพบเจอกันมา 99 ครั้งแล้ว และเขามอบจดหมายรักให้เธอ 99 ฉบับ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ทั้งคู่นัดเจอกัน เด็กสาวจะพูดด้วยคำเดิม “ถ้าพวกเราถูกลิขิตไว้” และมอบจดหมายที่ว่างเปล่าให้เขาทุกครั้งเช่นเดิม นั่นมันทำให้เด็กหนุ่มมีความรู้สึกไม่พอใจ และเขาไม่ได้เปิดอ่านจดหมายของเธอออกดูอีก เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่อาจจะเอาชนะใจเธอได้แล้ว หลังจากได้จดหมายฉบับที่ 99 จากเธอ เขาตัดสินใจที่จะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่คอยเฝ้าติดตามเขามาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ในคืนของวันแต่งงานของเขา เพื่อที่จะแสดงความจริงใจของเขาต่อภรรยาที่เพิ่งแต่งงาน เขาหยิบจดหมายทั้งหมดที่เด็กสาวคนนั้นส่งให้ออกมา และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภรรยาของเขาฟัง
ภรรยาของเขาหยิบจดหมายพวกนั้นขึ้นมาดู ค่อย ๆ ดูไปทีละฉบับ แน่นอนมันเป็นจดหมายที่ว่างเปล่า เหมือนกับที่เด็กหนุ่มบอกเธอ แต่เมื่อเธอหยิบไปถึงจดหมายชุดสุดท้าย เธอก็ได้เห็นว่าจดหมายพวกนั้นยังไม่ได้เปิดออกเลย เธอเลยถามเขาว่าทำไมเป็นอย่างนั้น
เด็กหนุ่มบอกว่าในเมื่อจดหมายนั้นมีแต่ความว่างเปล่า มันจะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะเปิดมันออก?
ภรรยาของเขาพอใจในคำตอบนั้น หลังจากได้รับคำตอบมา เธอก็เริ่มเปิดจดหมายที่เหลือนั้นออกดู แน่นอนว่ามันยังเป็นกระดาษเปล่าที่ไม่ได้เขียนอะไรเอาไว้ แต่เมื่อเธอเปิดจดหมายฉบับที่ 99 ออกดู เธอก็พบว่ามันเขียนเอาไว้หนึ่งประโยค เธอส่งจดหมายนั้นให้เด็กหนุ่มอย่างเงียบ ๆ
หลังจากที่เด็กหนุ่มนั้นรับจดหมายมา เขาประหลาดใจมากที่เห็นว่าจดหมายฉบับที่ 99 นั้นเขียนเอาไว้ว่า “ฉันได้เตรียมชุดเจ้าสาวเอาไว้แล้ว หลังจากที่คุณมอบจดหมายฉบับที่ 100 ให้ฉัน ฉันจะแต่งงานเป็นภรรยาของคุณ”
เด็กหนุ่มนั้นได้แต่ตะลึงงัน จ้องไปที่จดหมายตัวแข็งทื่อ เขาไม่เชื่อว่านี่คือความจริง เขาหยิบจดหมายทั้ง 99 ฉบับแล้วเดินออกมานอกห้อง ก่อนที่จะปล่อยให้สายลมอันเย็นเยือกในฤดูหนาวพัดพาจดหมายนั้นไป พร้อมกันนั้น หัวใจของเขา ทั้งสองอย่างถูกสายลมพัดพาไปยังที่แสนไกล
นี่คือจุดที่เรื่องราวนี้จบลง ถึงแม้ว่าวิธีการของเด็กสาวนั้นจะดูเกินไปบ้าง แต่ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า ความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีต่อเธอนั้นไม่ได้มั่นคงจนถึงท้ายที่สุด
มู่จือ! ผมไม่รู้ว่าผมต้องส่งจดหมายให้คุณรวมทั้งหมดกี่ฉบับ ถึงจะเปิดหัวใจและวิญญาณของคุณได้ ไม่รู้ว่าต้องใช้จดหมายกี่ฉบับคุณถึงจะยอมรับผมอย่างเต็มใจ หม่าเคอประสบความสำเร็จในการทำให้ไห่เย่วยอมรับเขาแล้ว เมื่อใดผมถึงจะประสบความสำเร็จในการเอาชนะใจคุณบ้าง? ถ้าผมมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตของผมในการพิสูจน์ความรักที่มีต่อคุณ เหมือนกับที่หม่าเคอทำให้ไห่เย่ว ผมคงจะไม่ลังเลเลยที่จะทำมัน แต่เชื่อผมเถอะนะ ไม่มีทางที่ความรักของผมมีต่อคุณจะสั่นคลอน มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
เขียนขึ้นมาด้วยความรักที่มีให้ตลอดไป จางกง....
หลังจากจบจดหมายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของผม ผมก็ส่งมันให้มู่จือ
เธอรับจดหมายนั่นไปอ่านเนื้อหาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว หลังจากอ่านจบแล้ว เธอเงยหน้าของเธอขึ้นแล้วหันมามองที่ผมอย่างลึกซึ้ง แต่สายตาของเธอไม่ได้เผยให้เห็นว่าเธอประทับใจกับเนื้อหาในจดหมายเหมือนกับที่ผมคาดไว้เลย มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างมากอยู่เต็มไปหมด เธอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะเก็บจดหมายเอาไว้ แล้วหันหน้ากลับไปให้ความสนใจกับการสอนของอาจารย์ที่หน้าห้องตามเดิม ไม่ได้หันกลับมามองที่ผมอีก
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมโดนอะไรทุบเข้าที่หัวใจอย่างจัง ตอนนี้ผมรู้สึกขมขื่นไปหมดแล้ว ทำไมมู่จือถึงไม่ยอมเปิดใจให้ผม? หรือว่าผมไม่คู่ควรกับความรักจากเธอจริง ๆ?
ผมส่ายหัวแล้วหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองอยู่ในใจ ผมฟุบตัวลงไปบนโต๊ะ หันหน้าออกไปนับใบไม้บนต้นไม้ข้างนอกหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ ผมพยายามอย่างมากที่สุดที่จะไม่คิดอะไรในทางลบขึ้นมา
แล้วชั้นเรียนก็จบลง ผมไม่ได้ออกไปกับมู่จือเหมือนอย่างเคย แต่กลับเดินอยู่คนเดียวมุ่งหน้าไปที่มุมหนึ่งของสถาบันอย่างสิ้นหวัง
ผมค่อย ๆ พิงตัวลงกับลำต้นของไม้ใหญ่ หน้าของผมมองตรงออกไปข้างหน้า แต่มันไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเลย เพราะผมแค่มองออกไปด้วยสายตาอันว่างเปล่าเท่านั้น
“จางกง!” มีใครบางคนตบมาที่ไหล่ของผมเบา ๆ ผมสะดุ้ง! แล้วรีบหันหน้าไปมอง ผมเห็นไหสุ่ยที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วยืนอยู่ ปกติผมจะคอยหลบหน้าไม่ให้เจอเธอ ตั้งแต่กลับมาจากการแข่งขัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอหน้าเธอเลย
เธอยิ้มให้ผม ก่อนจะชวนคุย “พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนะ จางกง! ทำไมนายมายืนเหม่ออยู่ตรงนี้คนเดียว? ฉันเรียกนายตั้งหลายครั้งแล้วแต่เหมือนนายจะไม่ได้ยินเสียงฉันเลย”
ไหสุ่ยตอนนี้ผอมลงกว่าเมื่อก่อน ใบหน้าของเธอซูบลงไปไม่น้อย ผมยิ้มให้เธออย่างอึดอัด “ใช่จริง ๆ ด้วย! พวกเราไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้ว ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
เธอหัวเราะออกมาเหมือนจะเยาะเย้ยตัวเองอยู่ “นายไม่ต้องเป็นแบบนี้ก็ได้! ฉันได้ยินจากพี่หญิงว่าพวกนายลำบากกันไม่น้อยตอนที่ไปร่วมการแข่งขัน”
ผมตอบเธอไป “ใช่! ใครจะไปนึกว่าการแข่งขันมันจะผิดปกติมากถึงขนาดนั้น? แต่ยังไงก็ดี อย่างน้อยพวกเราก็ยังได้บางอย่างกลับมา ในที่สุดพวกเราก็ทำให้พี่สาวของเธอกับหม่าเคอลงเอยกันได้”
ไหสุ่ยพยักหน้า “ฉันอิจฉาพวกเขาจริง ๆ อ้า!ใช่แล้ว แล้วนายกับมู่จือล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”