บทที่ 156 – กลับไปเข้าเรียนอีกครั้ง
หลังจากที่ได้ยินอาจารย์เจิ้นกล่าวออกมาอย่างนั้น ผมรู้สึกไม่ดี จึงรีบพูด “อันที่จริง เรื่องนี้ผมก็มีส่วนผิดอยู่ไม่น้อย ผมไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม และประเมินความสามารถของคู่ต่อสู้ต่ำไป”
อาจารย์เจิ้นกล่าวออกมาอีก “เรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิด ใครจะไปนึกว่าไห่เย่ว จะมีอาการเหม่อลอยระหว่างการประลอง ข้าได้แต่หวังว่าหม่าเคอจะมีอาการดีขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ”
ผมยิ้มก่อนจะกล่าวกับเขา “จากที่ผู้นำตระกูลซิงได้พูดออกมา โอกาสที่หม่าเคอจะหายมีสูงมาก และเขาก็ได้รับประโยชน์บางอย่างจากโชคร้ายในครั้งนี้ ใช่แล้ว! อาจารย์ตี้ครับ! ระหว่างการแข่งขันตอนที่ผมเกือบจะแพ้แล้วนั่น มันมีพลังป้องกันจากชุดคลุมเวทย์มาช่วยไว้ ชุดคลุมตัวเดียวกันกับที่อาจารย์มอบให้ผมนั่นแหละครับ มันช่วยผมเอาไว้ในเวลาคับขัน แต่! หินเวทย์ตรงหน้าอกนั่นมันแตกไปแล้วครับ”
อาจารย์ตี้ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ว่าของมันจะมีประโยชน์ตอนที่ถูกใช้หรอกหรือ? ในเมื่อมันถูกใช้ช่วยชีวิตเธอแล้ว มันก็ทำหน้าที่ของมันสำเร็จแล้ว ถ้ามันจะแตก ก็ให้มันแตกไปเถอะ”
แต่ผมยังยอมรับไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนกับเขา “มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ นี่มันเป็นของอย่างแรกที่อาจารย์มอบให้ผมเลยนะ ชุดคลุมเวทย์ชุดนี้ ผมรับมันมากเลย มันน่าเสียดายมากที่มันจะพังไปเลยนะครับ”
อาจารย์เจิ้นทนฟังไม่ได้ เขาพูดขัดขึ้นมา “พอกันเสียที ศิษย์อาจารย์คู่นี้ เลิกพูดจากระทบกระเทียบคนอื่นได้แล้ว จางกง! พรุ่งนี้เธอไปหาอาจารย์ แล้วอาจารย์จะมอบชุดคลุมชุดใหม่ให้ รับรองว่าดีกว่าชุดเก่าอย่างเทียบไม่ติดแน่ ๆ”
ดูเหมือนว่าแผนของผมจะสำเร็จ ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมขอบคุณอาจารย์เจิ้นอย่างดีใจ และหันไปยิ้มให้อาจารย์ตี้อย่างผู้ชนะ
หลังจากที่ได้พักอย่างสงบเป็นเวลาสองวัน ผมกลับไปที่สถาบันเพื่อเข้าเรียนอีกครั้งหนึ่ง อาจารย์เจิ้นเป็นคนที่รักษาคำพูดของเขามาก ประวัติเสียของผมทั้งหมดถูกลบออกไปแล้ว และพวกเราทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันได้เปลี่ยนบัตรประจำตัวของสหพันธ์เวทย์มนต์ เป็นตำแหน่งอาจารย์เวทย์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แล้วเขายังมอบชุดคลุมเวทย์ตัวใหม่ที่สวยงามให้ผมอีกชุด แต่มันดันมีดาวอยู่ 6 ดวงนี่สิ ผมรีบบอกอาจารย์เจิ้นว่ามันจะสะดุดตาเกินไปหรือไม่ แต่อาจารย์เจิ้นกลับบอกว่าผมไม่ได้จะใส่มันบ่อย ๆ แล้วบังคับให้ผมรับไว้ทั้งอย่างนั้น ที่สำคัญที่สุด! พวกเราได้บัตรทานอาหารที่ภัตตาคารหยกปริ่มน้ำมาด้วย
(จำนวนของดาวนั้นสามารถอ้างถึงระดับของนักเวทย์ได้ นักเวทย์ฝึกหัดจะไม่มีดาว นักเวทย์ระดับต้นจะมีเพียงดาวเดียว และจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดาวทุก ๆ ระดับ การใช้หกดาวหมายถึงระดับเมธีเวทย์นั่นเอง)
ผมรับเอาชุดคลุมเวทย์ที่อาจารย์เจิ้นมอบให้ผมมาเก็บไว้อย่างดี ผมรู้ดีว่าเขาใช้เงินของตัวเองซื้อมันมาให้ผม ชุดคลุมตัวนี้มีสีฟ้าอ่อน และเนื้อผ้านั่นนุ่มน่าสัมผัสเป็นอย่างมาก ตลอดทั้งตัวถูกประดับเอาไว้ด้วยผลึกเวทย์นับไม่ถ้วน ตามที่เขาบอกไว้ เขาเป็นคนออกแบบชุดนี้ด้วยตัวเอง มันทำจากหนังของสัตว์หายากชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าซี นอกจากจะแข็งแรงทนทานแล้ว มันยังมีผลทำให้การใช้เวทย์มนต์ทำได้ง่ายมากขึ้นด้วย บนตัวของมันประดับไว้ด้วยผนึกน้ำเงิน 108 เม็ด ผลึกแดง 36 เม็ด และผลึกม่วงอีก 3 เม็ด รวมทั้งหมดแล้วมีผลึกเวทย์อยู่ทั้งหมด 147 เม็ด ซึ่งมันวางตัวกันเป็นผังเวทย์ชนิดหนึ่งด้วย ผมแค่ต้องใส่พลังเวทย์ลงไปที่ผลึกม่วงที่อยู่บริเวณหน้าอกของผมเท่านั้น มันจะกระตุ้นให้เกิดกำแพงป้องกันเวทย์มนต์ขึ้นทันที เขายังอ้างอีกว่าเวทย์ป้องกันจากผังเวทย์นี้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเวทย์ป้องกันระดับสูงเลยทีเดียว และที่ยอดเยี่ยมไปกว่านั้นคือ การกระตุ้นผังเวทย์นี้ใช้ปริมาณพลังเวทย์เท่าที่ใช้กับเวทย์ระดับเริ่มต้นเท่านั้น
สิ่งที่ผมได้รับมาถือว่าเป็นสมบัติวิเศษเลยทีเดียว มันสุดยอดเป็นที่สุด แต่มันยังมีข้อเสียอยู่ มันระยิบระยับแวววาวเกินไป โดยเฉพาะในเวลากลางวัน ถ้าสวมมันอยู่บนถนน มันน่าจะส่องแสงสว่างออกไปทั่วทุกทิศทางอย่างแน่นอน
ตอนที่ผมบอกอาจารย์เจิ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาหัวเราหึ ๆ “แล้วทำไม? เธอไม่อยากได้มันใช่มั้ย? ถ้าเธอไม่อยากได้ก็ดี เอามันคืนมาให้อาจารย์เร็ว ๆ ตอนแรกอาจารย์ก็ไม่ได้อยากจะยกมันให้เธออยู่แล้ว”
ผมไม่ยอมยกของดี ๆ อย่างนี้คืนให้เขาหรอก ตอนนี้มันนอนหลับไหลอย่างสงบอยู่ในกระเป๋ามิติของผมเรียบร้อยแล้ว
ตอนที่ผมเดินเข้าไปในห้องเรียน ผมทักทายกับทุกคนที่เจออย่างยิ้มแย้ม แต่มีนักศึกษาแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ทักทายตอบ น่าสงสารตัวเองจริง ๆ ผมนั่งลงที่โต๊ะประจำก่อนจะหันไปถามมู่จือ “เธอเป็นยังไงบ้าง? ได้พักผ่อนจนพอแล้วมั้ย?”
มู่จือพยักหน้า “อือ! ฉันได้พักเต็มที่เลย แล้วนายล่ะ?”
“ฉันสบายดี” ผมยิ้มให้เธอ “แล้วเราไม่ได้เจอกันตั้งสองวัน เธอคิดถึงฉันมากมั้ย?”
เธอเบ้ปาก “ใครจะไปคิดถึงนาย? ฉันเป็นห่วงหม่าเคออยู่ต่างหาก ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ผมก็เป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกัน “นั่นก็ใช่ ตอนนี้ได้แต่หวังว่าเขาจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ อา! ใช่แล้ว อาจารย์เจิ้นให้บัตรกินอาหารฉันมาด้วย เดี๋ยวตอนเที่ยงนี้ พวกเรา..”
ตาของเธอเป็นประกาย “เยี่ยมมาก! ฉันกำลังอยากจะให้กำลังใจท้องของตัวเองอยู่พอดี เที่ยงนี้นะ”
ผมได้แต่หัวเราะเบา ๆ “ฉันได้ยินมาว่าภัตตาคารหยกปริ่มน้ำให้เกียรติอาจารย์เจิ้นมากเลยนะ พวกเขาคิดราคาอาหารกับอาจารย์เจิ้นแค่ครึ่งเดียว เพราะฉะนั้นพวกเราไม่ต้องประหยัดให้ตาแก่นั่นมากก็ได้”
มู่จือพยักหน้ารับ ก่อนที่พวกเราจะหันมามองหน้ากัน ก่อนจะกล่าวออกมาพร้อมกันเองว่า “ไปกินกันให้เขาจนไปเลย!” หลังจากนั้นพวกเราก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้น “เว่ยจางกง! โหมวมู่จือ! พวกเธอทั้งคู่เพิ่งกลับมาจากโดนพักการเรียน ตอนนี้พวกเธอเริ่มรบกวนการเรียนการสอนในห้องอีกแล้วเหรอ?”
หวา!! มันเริ่มเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? แล้วนั่นมันอะไร? ทำไมเป็นอาจารย์คนนั้นอีกแล้ว? ใช่แล้ว! มันเป็นเรื่องบังเอิญมากเพราะเจ้าของเสียงนั้นคืออาจารย์ที่เป็นสาเหตุให้ผมโดนพักการเรียนนั่นเอง ผมได้แต่ฝืนยิ้มออกมา และรีบยืนขึ้น “ผมขอโทษครับ อาจารย์!”
อาจารย์อึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าผมจะตอบกลับอย่างสุภาพขนาดนี้ เขาทำหน้าเข้ม “ไม่เป็นไรแล้ว! แค่อย่าคุยกัน ตั้งใจฟังการสอนให้ดี!”
ผมหันไปเดาะลิ้นทำเสียงล้อเล่นกับมู่จือ แต่ไม่กล้าที่จะพูดเล่นกับเธออีก ผมจะไม่ยอมเปิดโอกาสใด ๆ ให้กับอาจารย์เจิ้นอีกแน่ ผมไม่ยอมให้มีอะไรมาทำให้เขาหลอกใช้ผมได้อีก แล้วผมจะทำอะไรช่วงว่าง ๆ นี้ดีล่ะ อืม! ใช่ เขียนจดหมายดีกว่า ฮ่าฮ่า! ผมต้องการใช้ความรู้สึกอันลึกล้ำของผมค่อย ๆ ผูกพันหัวใจของมู่จือให้อยู่ที่ผมให้หมด
เวลาที่ผมใช้ในห้องเรียนก็หมดไปแบบนั้น แล้วเวลาอันสงบสุขก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์อย่างรวดเร็ว
วันนี้ผมเพิ่งเข้ามาในห้องเรียน และมู่จือวิ่งเข้ามาหาผมอย่างตื่นเต้น ซึ่งนี่มันทำให้ผมตกใจจนตัวลอยเลยทีเดียว “ทำไมเธอดูมีความสุขจัง?”
มู่จือรีบบอกอย่างตื่นเต้น “จางกง! รีบออกไปดูเร็ว ฉันได้ยินว่าหม่าเคอมาเรียนแล้ว เขากลับมาที่สถาบันแล้ว!”
คราวนี้ผมตื่นเต้นกว่าเธออีก “จริงอ่ะ? เยี่ยมไปเลย! ในที่สุดเขาก็หายดี ไปเถอะ รีบไปกันเลย!”
ผมดึงมู่จือวิ่งออกมาด้วยกัน มุ่งตรงไปที่ห้องของหม่าเคออย่างรวดเร็ว ตอนนี้ชั้นเรียนยังไม่ได้เริ่มสอน ห้องเรียนของเขากำลังวุ่นวายทีเดียว โต๊ะของเขากำลังมีคนรุมล้อมอยู่ไม่น้อย
ผมตะโกนเรียกเขาเสียงดังตั้งแต่อยู่นอกห้อง “หม่าเคอ! หม่าเคอ!”
คนที่กำลังมุงอยู่ตรงนั้นแหวกออกเป็นทาง ร่างที่คุ้นเคยของหม่าเคอปรากฎอยู่ในหมู่คนนั่นเอง ผมถึงกับใช้การเคลื่อนย้ายระยะใกล้เข้าไปหาเขา แล้วกอดตัวเขาเอาไว้แน่น ผมตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาซึมทีเดียว
หม่าเคอกอดผมตอบ พร้อมกับพึมพำ “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ ผมกลับมาได้แล้ว”
ผมปล่อยตัวเขา และมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ถึงแม้ว่าเขาจะดูผอมไปบ้าง แต่ก็ดูสุขภาพแข็งแรงดี แต่ดูออกได้อย่างชัดเจนว่าเขายังต้องทำการฟื้นฟูต่อ ผมทุบเขาด้วยกำปั้น “นายสบายดีแล้วใช่มั้ย?”
หม่าเคอพยักหน้า เขาสะอื้นอยู่ในคอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปาก “พี่ใหญ่! ขอบคุณมาก! ขอบคุณพี่มากจริง ๆ ผมดีขึ้นมากตั้งแต่สามวันก่อน ผมเริ่มเบื่อขึ้นมาเลยไม่อยากพักอยู่ที่บ้านเฉย ๆ แล้ว เลยตัดสินใจมาเรียน! พี่ใหญ่! พี่รู้มั้ย ไห่เย่วยอมรับผมแล้วนะ!!”