ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 304 ปรับแต่งภาพอักขระปราณดาบ (2) (อ่านฟรี)
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 304 ปรับแต่งภาพอักขระปราณดาบ (2) (อ่านฟรี)
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานถาม “เจ้าสามารถต่อต้านการสะกดจิตของชิวไห่ถังหรือไม่?”
“นะ...แน่นอนว่าไม่ เอาล่ะ ข้าจะทำตามที่เจ้าพูด เจ้าเป็นพี่ใหญ่มิใช่หรือ?”
“ต่อจากนี้เราจะเป็นพี่น้องกัน” เมื่อหลี่ฉิงซานกล่าวประโยคนี้ เขาก็นึกถึงสิ่งที่ฉูเทียนพูดกับเขาและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ความหดหู่เล็กน้อยจากความล้มเหลวในการปรับแต่งภาพอักขระปราณดาบหายไปอย่างสมบูรณ์
“เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสเลย” หลิวฉวนเฟิงทำหน้าไม่พอใจแต่เขายังหัวเราะไปพร้อมกัน
ในสายตาของหลี่ฉิงซาน หลิวฉวนเฟิงเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง แต่มีบางอย่างในตัวเขาที่ดีเช่นกัน เขาไม่มีความเย่อหยิ่ง บางทีเขาอาจคุ้นเคยกับสิ่งนี้หลังจากถูกดูแคลนมาตลอด
หลี่ฉิงซานถาม “ตอนนี้สำนักวรรณกรรมได้รับหินวิญญาณกี่ก้อนในแต่ละเดือน”
หลิวฉวนเฟิงนั่งลงนอกค่ายกล “หากเป็นตอนนี้ เดือนละประมาณยี่สิบ โอ้ ถูกต้อง เจ้าเป็นศิษย์เอก ดังนั้นเจ้าจะได้รับหินวิญญาณสิบก้อนในแต่ละเดือนเช่นกัน เมื่อรวมกับหินวิญญาณที่มอบให้ศิษย์ทั่วไป สำนักจะได้รับหินวิญญาณประมาณสี่สิบก้อน”
“ช่างอนาถนัก” หลี่ฉิงซานส่ายศีรษะ แต่เขาก็ได้เรียนรู้ว่าเขาจะได้รับหินยี่สิบก้อนทุกเดือนโดยไม่ต้องทำสิ่งใด นอกจากนั้นเขายังได้ครอบครองสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการบ่มเพาะ เขาไม่แปลกใจอีกต่อไปที่สำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ต้องการกำจัดเขา
หลิวฉวนเฟิงปฏิเสธ “สาเหตุหลักเป็นเพราะเรามีศิษย์ไม่พอ!”
หลี่ฉิงซานถาม “มันคำนวณอย่างไร?”
หลิวฉวนเฟิงตอบ “นั่นค่อนข้างซับซ้อน เงินเดือนส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับปริมาณและการบ่มเพาะของศิษย์ นอกจากนี้มันยังสามารถเพิ่มขึ้นด้วยการทำภารกิจให้สำเร็จและชัยชนะในการแข่งขันต่างๆ ในทางกลับกัน หากศิษย์ฝ่าฝืนกฎก็จะถูกปรับลดเงินเดือน”
“อย่างไรก็ตามยิ่งสำนักพัฒนามากเท่าใด เจ้าสำนักก็จะยิ่งได้รับเงินเดือนมากเท่านั้น และพวกเขาก็จะสามารถจัดสรรทรัพยากรได้มากขึ้น เห้อ...หากเราไปถึงระดับเดียวกับวัดโพธิสัตว์ ข้าจะมอบสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดให้เจ้าเช่นกัน”
“ข้าจดจำทุกสิ่งไว้แล้ว มาทำทุกอย่างที่เราทำได้กันเถอะ!” หลี่ฉิงซานได้เรียนรู้สถานการณ์ของสำนักวรรณกรรมมากขึ้น มันเป็นการเริ่มต้นที่ยากลำบาก แต่มันยังมีโอกาสในอนาคต ศิษย์มีน้อย แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งปันทรัพยากรกับผู้ใด ดังนั้นส่วนแบ่งที่เขาได้รับอาจไม่น้อยกว่าศิษย์ของสำนักใหญ่อื่นๆ
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้สร้างขึ้นจากสมมติฐานที่ว่ามันจะเติบโตขึ้น แต่หลี่ฉิงซานก็มั่นใจในเรื่องนี้เช่นกัน
หลิวฉวนเฟิงเริ่มทำงาน “อย่ากังวล ข้าจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเร็วๆนี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง เงินเดือนของข้าในฐานะเจ้าสำนักจะเพิ่มขึ้นสิบเท่า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนักประพันธ์สามารถปลดปล่อยได้อย่างเต็มที่เมื่อบรรลุเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด!”
แม้นักประพันธ์สามารถเปลี่ยนนิยายให้กลายเป็นเรื่องจริง แต่ความสามารถนี้ถูกขัดขวางด้วยสองปัจจัย หนึ่งคือพลังแห่งความเชื่อ อีกหนึ่งคือการบ่มเพาะระดับผู้ฝึกตนก่อกำเนิด อันแรกเหมือนไฟฟ้า อันต่อมาเหมือนมอเตอร์ ไม่ว่ากำลังไฟจะสูงเพียงใด หากขาดมอเตอร์ มันก็ไม่สามารถขับเคลื่อนแรงดันไฟ
“ไปเขียนนิยายของเจ้า!” หลี่ฉิงซานโบกมือด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่เขากลายเป็นศิษย์สำนักวรรณกรรม เขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการสนับสนุนสำนักตราบเท่าที่มันไม่ขัดขวางการบ่มเพาะของเขา
เมื่อหลิวฉวนเฟิงจากไป หลี่ฉิงซานก็เก็บภาพอักขระปราณดาบระดับสูงสุดกลับไปด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อยก่อนจะหยิบภาพอักขระปราณดาบอีกส่วนออกมา
ตอนนี้เขามีภาพอักขระปราณดาบสามส่วน หนึ่งระดับสูงสุด หนึ่งระดับสูง และอีกหนึ่งระดับกลาง
สิ่งที่เขาหยิบออกมาตอนนี้คือภาพอักขระปราณดาบระดับสูงที่เขาได้รับจากชายสวมหน้ากาก เขาเคยปรับแต่งสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับสูงดาบวารีพิสุทธิ์มาก่อน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเต็มไปด้วยความมั่นใจ
สิบห้านาทีต่อมา ปราณดาบหลายสิบเส้นก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามค่ำคืน หลี่ฉิงซานล้มเหลวอีกครั้ง เขารู้สึกว่าสิ่งนี้ค่อนข้างยากที่จะยอมรับ เนื่องจากเขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต อย่างไรก็ตามด้วยความคิดบางอย่าง มันทำให้เขาเข้าใจสาเหตุของความล้มเหลวครั้งนี้
แม้เขาจะเคยประสบความสำเร็จในการปรับแต่งดาบวารีพิสุทธิ์ แต่นั่นเป็นเพราะดาบเป็นธาตุวารีขณะที่เขาบ่มเพาะเคล็ดวิชากำเนิดวารีและจิตวิญญาณเต่า ทั้งสองทำให้เขามีความใกล้ชิดกับธาตุวารีเป็นพิเศษซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถปรับแต่งมันได้อย่างง่ายดาย
หากปราศจากข้อได้เปรียบต่างๆ การปรับแต่งสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับสูงด้วยการบ่มเพาะขั้นหกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลาง
แต่หลี่ฉิงซานไม่ท้อแท้ ในเวลาต่อมาเขาหยิบชิ้นส่วนที่อ่อนแอที่สุดของภาพอักขระปราณดาบที่เขาซื้อมาจากงานประมูลออกมา มันเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลาง
หลี่ฉิงซานถอนหายใจเบาๆ สงบสติอารมณ์และความเย่อหยิ่ง บางทีเขาน่าจะเริ่มต้นด้วยภาพอักขระปราณดาบที่อ่อนแอที่สุด
เมื่อพลังปราณของเขาไหลเข้าสู่ภาพอักขระปราณดาบ ลวดลายบนภาพก็ส่องสว่างขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้เฉลิมฉลอง แสงกลับสั่นไหวและเริ่มส่งสัญญาณของความล้มเหลวอีกครั้ง แม้มันจะเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลาง แต่สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลางทั่วไปไม่สามารถเปรียบเทียบกับมัน
หลี่ฉิงซานมองภาพอักขระปราณดาบลดความสว่างไสวลงและเกิดเสถียรภาพอีกครั้ง
ในจังหวะนี้หลี่ฉิงซานเห็นลวดลายบนภาพเริ่มเคลื่อนไหว
ไม่ มันเหมือนดาบจำนวนนับไม่ถ้วนกวัดแกว่งไปมาและทิ้งริ้วแสงไว้เบื้องหลัง มันดูราวกับรอยเท้าที่ถูกทิ้งไว้ในทะเลทราย
อย่างไรก็ตามรอยเท้าเหล่านั้นอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไป หลี่ฉิงซานไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้สร้างภาพอักขระปราณดาบ แต่เขารู้สึกชื่นชมมันจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อวัวดำชมผู้สร้างภาพอักขระปราณดาบ เขายังไม่สามารถเข้าใจความหมาย แต่ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้ว บางทีสิ่งนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ควรมีอยู่บนโลกใบนี้
ขณะที่หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจ การปรับแต่งภาพอักขระปราณดาบของเขาก็เสร็จสิ้นแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะสามารถผ่อนคลาย บางสิ่งกลับเกิดขึ้น ปราณดาบหลายสิบเส้นพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา
ด้วยการบุกเข้ามาของปราณดาบ ทะเลปราณของเขาเริ่มปั่นป่วนและทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
“จิตวิญญาณเต่า!” หลี่ฉิงซานคำราม แก่นปีศาจกระดองเต่าจิตวิญญาณปรากฎขึ้นทันที ปราณดาบถูกปิดกั้นเอาไว้แต่พวกมันปฏิเสธที่จะแตกสลายภายใต้แรงกดดันดังกล่าว พวกมันรวมเป็นหนึ่งและพุ่งต่อไปยังทะเลปราณของเขา
หลี่ฉิงซานหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
หากร่างเดิมขอเขาไม่ใช่ปีศาจที่ทรงพลัง เส้นลมปราณของเขาคงแหลกสลายไปแล้ว หากเขาไม่เคยฝึกเคล็ดวิชาจิตวิญญาณเต่า เขาคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตาย
เขาไม่เคยคิดว่าจะมีกับดักที่ร้ายกาจเช่นนี้อยู่ในภาพอักขระปราณดาบ ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจมากที่เขาไม่สามารถปรับแต่งภาพอักขระปราณดาบระดับสูงสุด แม้แต่เขาก็ยังไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมาหากปราณดาบที่ทำลายอาคารไม้ไผ่บุกเข้าสู่ร่างกายของเขา
โดยพื้นฐานแล้วเขาได้เห็นอันตรายของการบ่มเพาะอีกครั้ง เขาสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของคนรุ่นก่อนหน้าที่พยายามปรับแต่งภาพอักขระปราณดาบแต่จบลงด้วยการถูกฆ่า
ทันใดนั้นเขาพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ปรากฏขึ้นในทะเลปราณของเขาอย่างกะทันหัน