ตอนที่ 3 ลัทธิเต๋า
ฝาครอบโลงศพหนักมาก ทันทีที่ฉันพยายามดันอย่างสุดแรง ฝาครอบโลงศพก็เริ่มขยับออก
ฝาโลงศพตกลงสู่พื้นดังมาก
มันทําลายความเงียบสงบในบ้านหลังนี้โดยทันที
อะไรวะ ทำไมมันหนาวๆจัง" ฉันรู้สึกเย็นทั่วร่างกาย ทันทีที่ฉันดันโลงศพออก ความรู้สึกเย็นยะเยือกมันมาจากด้านในของโลงศพ เหมือนกับการเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ที่บ้าน
แม้ว่าสถานการณ์จะแปลกๆไปหน่อยในเวลานี้ แต่ฉันก็อยากจะรู้ว่าข้างในโลงศพนั้นมีอะไร ด้วยความสงสัย ฉันเหยียดหัวออกมาแล้วมองเข้าไปข้างใน
มีศพนอนอยู่ข้างในในจริงๆ ศพสวมชุดคลุมสีดํา ดูจากใบหน้าแล้วอายุน่าประมานสามสิบกว่าปี มือของเขาแบนราบประกบกันอยู่บนหน้าท้อง เล็บของเขายาวประมานห้าเซนติเมตร ร่างกายแข็งกระด้างเหมือนในหนังผีที่ฉันเคยดู
ฉันเริ่มหายใจไม่ออก อากาศก็เย็นราวกับเหมือนอยู่ในห้องที่มีแต่น้ำแข็งล้อมรอบ
"พี่ชาย ยกโทษให้ฉัน ยกโทษให้ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวน”
ฉันกําลังจะวิ่งไปปิดฝาโลง แต่มือและข้าของฉันมันไม่มีแรงเลย มันอ่อนแรงไปหมด ฉันยกฝาโลงไม่ขึ้น
ติ๊ก ติ๊ก ….
ฉันได้ยินเสียงน้ำที่หยดมาจากใต้โลงศพ แล้วฉันก็มองไปดูที่ศพ
ฉันสังเกตเห็นร่างกายของศพเปียกโชนไปด้วยน้ำ
ฉันกลืนน้ำลายด้วยความสงสัย ?????
ทำไมศพถึงเปียก ฉันไม่เคยได้ยินการเอาศพมาแช่น้ำเลย?? และถ้าศพนี้เกิดขึ้นในปี 1973 ศพไม่ย่อยสลายมา กว่าสีสิบปีแล้ว
มันแปลกมาก มันแปลกมากจริงๆ
ทันใดนั้นเส้นผมและขนทั่วร่างกายของฉันก็ลุกวาวทั่วทั้งร่างกาย
ฉันถอยหลังไปสองก้าว ทันใดนั้นก็มีเสียงลั่นดังเอี๊ยดในโลงศพ
"แม่เจ้าโว้ย!" ไม่อยู่แล้วโว้ยยยย” ฉันหันหลังกลับและวิ่งอย่างดุเดือด แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น ฉันอยากจะวิ่งออกจากบ้านหลังนี้ แต่ขาฉันมันไม่มีแรง ก้าวขาเท่าไรก็ก้าวไม่เดิน
เสียงเอี๊ยด ข้างหลังฉันดังขึ้นเรื่อยๆ ฉันหันหลังไปดู ทันใดนั้นศพก็ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ!
ดวงตาของศพขยายเปิดออก จมูกของศพเริ่มสูดอากาศเข้าไป เหมือนกำลังดมกลิ่นอะไรบางอย่าง
ศรีศระของศพนั้นหันตรงและมองมาที่ฉันยืนอยู่ ในตานั้นมีเพียงเบ้าตาไม่มีลูกตา เขาคลานออกมาจากโลงศพแล้วเดินตรงมาหาฉัน
โชคดีที่ศพนี้ไม่ได้ทรงพลังเท่าศพในภาพยนตร์ เขาเดินช้าเหมือนหญิงชราเดินกะเผลกๆ เหมือนไม่มีแรง
ฉันกลัวและอยากวิ่ง แต่ขาของฉันไม่ฟังคำสั่งจากสมองฉันเลย ฉันยังเห็นรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดของศพนี้ในภายใต้แสงจันทร์
หัวใจของฉันหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ฉันกัดฟันด้วยความกลัว ฉันตกใจและกลัวว่าศพจะมาทำร้ายฉัน ฉันตั้งสติได้ฉันหันหลังกลับจะวิ่ง…
เวรแล้ว!! ขาทำไมมันก้าวไม่ออกว๊ะ โธ่เอ้ย
นี่ฉันต้องตายอยู่ที่นี้แล้วจริงๆเหรอนี่ ฉันแข็งใจเพื่อจะเดินออกไปจากห้องนี้ให้ได้ ฉันไปเจอบรรได ….
ศพมันคงขึ้นบรรไดมาไม่ได้แน่ๆ!!!
ฉันรวบรวมสติแล้วพิงบันไดและขึ้นไปที่ชั้นสอง หันไปทางขวา
งึ!!! ทางตัน แต่เมื่อหันไปทางซ้าย เฮ้ ฉันถอนหายใจโล่งอก
มีทางเข้าโว้ยเฮ้ย ฉันรีบวิ่งเข้าไปในห้องนั้น ห้องนี้ไม่ใหญ่มาก มีแต่ โต๊ะ เตียง ตู้ ที่ดูเรียบๆ
ฉันผลักตู้ ดันโต๊ะ และเตียงไปที่ประตูเพื่อปิดกั้นประตูไม้ไว้ ฉันรู้สึกโล่งใจ ศพไม่น่าจะเข้ามาได้แล้ว ฉันถอนหายใจ วูวววว
ตุบ ตุบ ตุบ
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าขึ้นบรรไดมาอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่มีเสียง หัวใจฉันก็ยิ่งเต้นแรง ฉันขยับไปที่หน้าต่าง ฉันคิดว่าฉันจะกระโดดหน้าต่างนี้ แต่ถ้ากระโดดไปแล้วขาฉันหักละ คงตายแน่ๆเห้อ…..
ฉันลังเล จะกระโดดดีมั้ย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังที่หน้าประตู “มันจะหาเราเจอมั้ย”
ปัง ปัง ปัง
ศพที่เดินได้แทกประตูอย่างแรงแล้วก็มีเสียงคำรามเหมือนสัตว์ที่ดุร้าย แม้จะมีเตียงและตู้ขวางประตูไว้แต่มันคงกั้นไม่อยู่ มันเข้ามาได้แน่ๆ
ฉันมองไปที่หน้าต่างแล้วกลืนน้ำลาย โดดก็โดดวะ ตายเป็นตาย อยู่ก็ตาย กระโดดดีกว่า ฉันไม่รอช้ารีบปีนขึ้นขอบหน้าต่าง แต่จู่ๆเสียงนั้นก็เงียบลง
ฉันหันหลังกลับไปมองที่ประตู
ตูม …
ศพกระแทกประตูพังแล้วตรงมาหาฉัน ฉันเห็นฟันที่มีเขี้ยวยาว กับกรงเล็บที่แหลมคมของมัน ฉันตกใจสุดขีดจนลืมเรื่องที่จะกระโดดหน้าต่างไปเลย
ศพกระโดดมาที่ฉันและกรงเล็บของมันก็เจาะเอาที่หัวไหล่ซ้ายของฉัน ฉันเจ็บปวดอย่างรุนแรงบวกกับเหงื่อที่ไหลออกมาไปถูกแผลนั้นโคตรทรมานเลย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย !!!เทพองค์ใดที่ได้ยินฉัน ช่วยฉันด้วย !!!!!!!”
และในทันใดนั้นก็มีชายคนหนี่งใส่ชุดเต๋าสีเหลืองปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของศพ ชายคนนี้ในมือถือกระดาษยันต์แผ่นสี่เหลือง เขาเอากระดาษยันต์แผ่นนั้นมาแปะไว้ที่หน้าผากของศพ
จู่ๆศพนั้นจากที่ขยับตัวอยู่ก็แน่นิ่งไปเลยเหมือนถูกสะกดตราตรึงด้วยมนต์ตรา
“เจ็บ!! เจ็บฉันเจ็บมาก” ฉันตะโกนแล้วถอยหลังออกมา แล้วดึงนิ้วมือศพที่มีเล็บอันแหลมคมออกจากแขนของฉัน
“เจ้าเด็กน้อยเจ้าหยุดร้องหยุดส่งเสียงดังได้แล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่มันอันตรายแค่ไหน เจ้าอยากตายใช่มั้ยถึงได้มาที่นี่” ชายที่สวมชุดเต๋าตะโกนขึ้น…..
ฉันมองดูชายผู้นั้นด้วยความเจ็บปวด เขาน่าจะอายุประมานสามสิบ เขาสวมชุดเต๋าสีเหลือง แต่มันดูสกปรกมากๆ หนวดเคราก็รุงรัง หน้าตาก็มอมแมม ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ล้างหน้า ที่เอวก็ก็มีขวดน้ำเต้าเล็กๆห้อยไว้ ดูๆไปเขาก็เหมือนยาจกขี้เมา
มือของฉันหมดแรง แล้วฉันก็ถามชายผู้นั้นว่า “คุณเป็นใคร???”
เขาไม่สนใจที่ฉันถามเขาไปเลย เขาได้แต่พูดว่ารีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว เจ้าไม่ควรมาที่นี่
“คุณเป็นใคร ???” ฉันตะคอกใส่เขา แต่ก็ช่างมันเถอะฉันไม่สนใจคุณหรอก ใครจะอยากอยู่ในที่เส็งเคร็งแบบนี้
“เจ้าถูกซากศพที่ชั่วร้ายนี้กัดเข้าแล้ว เจ้าตายแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
พิษได้ซึมซับไปในกระแสเลือดแล้ว ทันทีที่เจ้าออกไป เจ้าจะตายภายในสามวัน เจ้าต้องตายแน่ๆ” นักพรตเต๋าพูดอย่างไม่แยแส
ทันทีที่ฉันได้ยิน ฉันก็รีบหันกลับมาและตะโกนใส่เขาว่า “คุณคิดว่าฉันจะกลัวรึ อย่ามาขู่ฉันเลย ฉันไม่กลัวหรอกนะ ฉันมันกระดูกเหล็กเว้ย เฮอะ เฮอะ”
“เจ้าต้องตายแน่ๆ เจ้าต้องตายแน่ๆ” นักพรตกล่าว
แต่ฉันฉุกคิดในใจขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่นักพรตนี้พูดมาจะเป็นจริงก็ได้
ตอนนั้นฉันเริ่มกลัว จึงบอกนักพรตไปว่า ….
“ฉันขอโทษ ขอโทษ ฉิดผิดไปแล้ว” ฉันพูดด้วยร้อยยิ้ม
“คุณช่วยชีวิตฉันไว้ ขอบคุณจริง ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ฉันคงตายแน่ๆ ขอบคุณท่านจริงๆที่ช่วยชีวิตฉันไว้”
เพื่อความอยู่รอดฉันต้องพูดดีดีเอาไว้ก่อน ฉันคิดว่าสิ่งที่นักพรตพูดมา อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ได้ ฉันมองไปที่เล็บของศพมันมีสีดำสนิท ฉันคิดว่าที่เล็บของศพคงมีเชื้อราและแผลของฉันอาจจะติดเชื้อได้แน่ๆ
นักพรตเต๋าหยิบยาเม็ดสีดำออกจากกระเป๋าแล้วโยนให้ฉัน
“เอาไป …. นี้คือยาแก้พิษ กินมันซ๊ะ”
ฉันรีบกินยาและกลืนเข้าไปโดยไม่ลังเล แต่แผลที่แขนของฉันยังปวดแสบปวดร้อน
หลังจากที่กินยานี้ไปสักพัก ฉันรู้สึกเย็นวูบไปทั่วร่างกาย ฉันรู้สึกสบายขึ้นมากกว่าเดิม แผลที่มีอาการปวดก็เริ่มหายลง
“ขอบคุณมากท่านนักพรต ฉันไปก่อนนะ” หลังจากที่พูดจบฉันก็หันหลังและกำลังจะเดินออกไป
“เจ้าจะรีบไปไหน !! กลับมานี้ก่อน” ท่านนักพรต พูดออกมา
“เจ้าต้องพาศพนี้กลับเข้าไปในโลงเหมือนเดิม นี่มันความผิดของเจ้า เจ้าต้องเอาไปไว้ในโลงเดี๋ยวนี้”
“เอ่อ…นี่ คุณล้อเล่นกับฉันอยู่ใช่มั้ย จะให้ฉันแบกศพไปนี่อ่านะ”
ฉันมองไปที่ศพ ศพนั้นนอนแน่นิ่งแต่ฉันก็ยังกลัวๆอยู่ “นี่ฉันต้องแบกศพอันน่ากลัวนี้ไปจริงๆใช้มั้ย ???”
หลังจากที่ฉันพูดจบ นักพรตเต๋าก็หันหลังแล้วก็เดินกลับไปทางประตู แล้วเขาก็พูดว่า “แน่นอน เจ้าต้องทำเช่นนั้นเพื่อจบสิ่ง
เหล่านี้”
“จำไว้อย่าไปแตะต้องยันต์เด็ดขาด แล้วก็อย่าลืมจุดธูปสามดอกเมื่อเอาศพใส่ลงกลับไปในโลงแล้ว เจ้าอย่าลืมเด็ดขาด ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ ไม่อย่างนั้นมันจะตามไปหาเจ้าในอนาคต”
เมื่อนักพรตเต๋าพูดจบ ร่างกายของนักพรตเต๋าก็ค่อยเลือนหายไป
ฉันมองไปที่ศฟนี้และรู้สึกกลัวๆ
อย่าได้กลัวศพมันนอนนิ่งไปแล้ว มันถูกสะกดด้วยยันต์มันทำอะไรฉันไม่ได้แล้ว
ฉันปลอบโยนตัวเองด้วยคําพูดเหล่านี้ แล้วฉันก็แบกศพขึ้นบนหลังของฉัน ……..
โปรดติดตามตอนต่อไป