ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 300 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (อ่านฟรี)
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 300 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (อ่านฟรี)
แปลโดย iPAT
ในโรงเตี้ยม ชายชราสวมชุดเสื้อผ้าเก่าๆนั่งอยู่ที่โต๊ะบนแท่นสี่เหลี่ยมยกสูง เขากำลังเล่าเรื่องราวที่จักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิพิชิตชนเผ่าทางทิศตะวันตกอย่างฉะฉานขณะที่ผู้คนที่สัญจรไปมารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเขาเล่าได้อย่างมีชั้นเชิง ดังนั้นมันจึงเพียงพอที่จะดึงดูดลูกค้าเข้ามา
เดิมทีซุนชูผิงเป็นบัณฑิตแต่เขาก็เหมือนบัณฑิตส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวในการสร้างชื่อให้กับตนเอง เมื่อหมดหวังในการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการหรือตำแหน่งราชการ พวกเขาจะกลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้กับผู้มีอำนาจ บางคนก่อตั้งสำนักเล็กๆของตนและทำหน้าที่เป็นอาจารย์ แน่นอนว่ายังมีคนที่กลายเป็นขอทานตามท้องถนน
ความสามารถของเขาไม่ได้ดีเลิศและไม่เลวร้าย เขามีลิ้นที่ไหลลื่นและสามารถเป็นนักเล่าเรื่อง เมื่อรวมกับความจริงที่ว่าเขามีการศึกษาและอ่านตำรามามาก เขาจึงเหนือกว่าอาจารย์ของเขาในแง่นี้ ก่อนที่เขาจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว และโดยพื้นฐานเขาก็สามารถสร้างชื่อเล็กๆน้อยๆให้กับตนเอง
เสียงนกร้องดังขึ้นเป็นชุด ซุนชูผิงพูดไม่หยุดแต่คิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากัน เขาเห็นชายร่างอ้วนในชุดผ้าไหมเดินเข้ามาพร้อมกับกรงนกและนั่งลงตรงหน้าเขา
ราวกับนกกำลังหวาดกลัว มันส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงและดึงดูดสายตาที่โกรธเกรี้ยวของผู้คน อย่างไรก็ตามดูเหมือนพวกเขาจะกลัวอำนาจของชายอ้วนเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ากล่าวสิ่งใด
ซุนชูผิงไม่สามารถอดทน เขาหยุดพูดก่อนจะเผยรอยยิ้มให้ชายอ้วน “นายท่าน ท่านไม่สามารถนำนกเข้ามาที่นี่ โปรดแขวนกรงนกไว้ด้านนอก”
ชายอ้วนกลอกตา “แขวนไว้ข้างนอกงั้นหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่านกของข้าราคาเท่าใด? หากมันหายไป เจ้าจะชดใช้ไหวหรือไม่? เล่านิทานของเจ้าไปและปล่อยให้นกร้อง แล้วมาดูกันว่าฝ่ายใดจะน่าสนใจมากกว่า อย่ากังวล เจ้าจะไม่พลาดสิ่งใด เงินของข้ามากกว่าคนจนเหล่านี้”
ซุนชูผิงขมวดคิ้วแน่นและตบโต๊ะอย่างแรง “ยังมีต่อ เรื่องนี้พลาดไม่ได้!”
จากนั้นคำสรรเสริญก็ดังขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เป็นเพราะเรื่องราวที่เขาเล่าแต่เป็นเพราะความสามารถในการเล่าของเขา ทุกคนโยนเหรีญทองแดงจำนวนมากออกมา
เสี่ยวสือโถว ศิษย์ของเขารีบวิ่งเข้าไปรับเงินและโค้งคำนับ เขาดูเหมือนลิงตัวน้อยซึ่งนำไปสู่เสียงหัวเราะ
“อา...” ทันใดนั้นเสียงอุทานของเสี่ยวสือโถวพลันดังขึ้นขณะที่เขาล้มลงบนพื้น หน้าผากของเขามีเลือกออกเนื่องจากเหรียญเงินที่ถูกโยนเข้ามาอย่างแรง
ซุนชูผิงรีบช่วยศิษย์ของเขาและชี้นิ้วไปที่ชายอ้วน “เจ้า!”
“เล่าต่อไป ข้าบอกแล้วว่าข้ามีเงินมากมาย!” ชายอ้วนหัวเราะเยาะ “หากข้าสนับสนุนเจ้า เจ้าก็จะมีตัวตน แต่หากไม่ เจ้าก็จะเป็นเพียงนักเล่านิทานที่น่าอับอาย เจ้ากล้าต่อต้านข้างั้นหรือ? หากเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใด ข้าจะฟาดเจ้าให้ตายด้วยเงินของข้า!”
เป็นเพียงเวลานี้ที่ลำแสงสีทองพุ่งเข้ามากระแทกศีรษะของชายอ้วนก่อนจะกระเด็นออกไปด้านหน้า มันเป็นเหรียญทอง
หัวของชายอ้วนเต็มไปด้วยเลือดขณะที่เขาหมดสติไปแล้ว
“ท่านซุน นายท่านของเราเชิญท่านไปพบ” ชายร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าซุนชูผิง
เสี่ยวสือโถวเห็นเหรียญทองและรีบวิ่งเข้าไปคว้ามันเอาไว้ เขาหยิบเหรียญทองขึ้นมาและกัดก่อนจะกรีดร้องด้วยความยินดี “ท่านอาจารย์ มันเป็นทองคำจริงๆ!” เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดบาดแผลบนหน้าผากอีกต่อไป หลังจากทั้งหมดนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นเหรียญทอง
เด็กที่เติบโตขึ้นมาในโรงเตี้ยมไม่ได้มีค่าเป็นพิเศษ ซุนชูผิงรู้สึกเจ็บปวดแทน งานเล่านิทานเป็นงานที่ต่ำต้อย ทุกคนสามารถสาปแช่งพวกเขา เขาเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มามากมายแต่เขาไม่ต้องการให้เด็กคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับเขา เขากระทั่งตัดสินใจว่าจะให้เด็กเปลี่ยนอาชีพในอนาคต
ขณะที่เขาคิดเรื่องเหล่านี้เขาก็มาถึงห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เขาเข้าไปและพบกับชายชราที่ดูมีชีวิตชีวานั่งอยู่ที่นั่น เสื้อผ้าของชายชราไม่ได้ดูหรูหรา แต่เขาสามารถบอกได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวว่ามันถูกตัดเย็บด้วยวัสดุที่ดีที่สุด ชายชราไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่ง อย่างไรก็ตามแม้เขาจะนั่งนิ่งๆอยู่ที่นั่น เขาก็ยังดูโดดเด่นมาก
ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมาหลายปี เขาสามารถบอกได้ว่าชายชราสูงศักดิ์ผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะมาฟังนิทานในสถานที่เช่นนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่ชายชราจะเป็นผู้ฝึกตนซึ่งทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว เขาโค้งคำนับอย่างสุภาพ “ผู้น้อยคือซุนชูผิง ขอบคุณนายท่านสำหรับความช่วยเหลือ”
ซุนฝูไป่ตรวจสอบนักเล่านิทานซึ่งมีชื่อเสียงในพื้นที่นี้ เขาพยักหน้าเล็กน้อย ด้วยนักเล่านิทานคนนี้ เรื่องราวจะกลายเป็นยิ่งสดใสและน่าหลงใหลมากขึ้น
“น้องชาย เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับสมาคมหลอมรวมเมฆาหรือไม่?”
“ข้าไม่เคย”
“ตอนนี้เจ้าเคยแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เราจะพูดคุย” ซุนฝูไป่ยืนขึ้นและเดินไปที่ประตู ขณะที่เสี่ยวสือโถวยืนถูหน้าผากของตนอยู่ที่นั่น
“แต่ทั้งหมดที่ข้ารู้คือวิธีเล่าเรื่อง” ซุนชูผิงตะลึง เขาพยายามจินตนาการว่าเหตุใดผู้สูงศักดิ์ซึ่งอาจเป็นผู้ฝึกตนในตำนานจึงสนใจนักเล่านิทานเช่นเขา
“แค่นั้นก็พอแล้ว” ซุนฝูไป่ลูบศีรษะของเสี่ยวสือโถว “มีเงินทองมากมายรออยู่”
เสี่ยวสือโถวรู้สึกทันทีว่าหน้าผากของเขาหายปวดแล้ว เลือดก็หยุดไหลเช่นกัน
หลังจากออกจากสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ ซุนฝูไป่เรียกประชุมผู้จัดการสำนักพิมพ์ของเขาทันทีและประกาศว่าพวกเขาจะรับสมัครนักเล่านิทานและนักกวีที่มีชื่อเสียงของทั้งมณฑล
ตามแผนการของหลี่ฉิงซาน การใช้คนเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่ในฐานะนักเล่านิทานหรือนักกวีแต่เป็นครู พวกเขาสามารถแบ่งปันประสบการณ์ที่พวกเขารวบรวมมาตลอดชีวิตให้กับผู้อื่นและกลายเป็นเสาหลักของสมาคมหลอมรวมเมฆา
ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็พบคฤหาสน์ที่เหมาะสมสำหรับการใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของสมาคมหลอมรวมเมฆาและก่อตั้งสมาคมขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ซุนฝูไป่กำลังวิ่งไปทุกที่ หลี่ฉิงซานก็มาถึงเกาะกลไกศักดิ์สิทธิ์ของนิกายม่อจื้อและพร้อมสำหรับชั้นเรียนแรกของเขาแล้ว
เขามาถึงหน้าซุ้มประตูโค้งขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกาะกลไกศักดิ์สิทธิ์ ห่าวปิงหยางและจางหลานฉิงกำลังรอเขาอยู่ที่นั่น เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยเครื่องจักรแปลกๆ หุ่นเชิดม้าไม้กลุ่มหนึ่งถูกคนขี่ผ่านไป มันดูมีชีวิตชีวาอย่างแปลกประหลาด
พวกเขาเข้าไปในอาคารรูปทรงก้นหอยที่ดูอลังการ กลไกเริ่มทำงานและนำหลี่ฉิงซานขึ้นไปยังชั้นที่อยู่สูงขึ้นไป
ในห้องทรงกลมที่ดูเหมือนหอยสังข์คว่ำ ผู้คนจำนวนมากนั่งอยู่บนที่นั่งขั้นบันไดและจับกลุ่มพูดคุยกัน นอกจากศิษย์นิกายม่อจื้อในชุดสีน้ำเงินเข้มยังมีศิษย์จากสำนักอื่นๆในชุดเครื่องแบบที่หลากหลาย
ชุดลายต้นไผ่สีเขียวอมฟ้าของหลี่ฉิงซานค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแต่เขายังไม่โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน อย่างไรก็ตามจอมยุทธ์ล้วนมีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลม ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นหลี่ฉิงซาน หัวข้อสนทนาของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ
“โอ้ นี่ไม่ใช่ศิษย์เอกของสำนักวรรณกรรม หลี่ฉิงซาน งั้นหรือ?”