บทที่ 142 - ในสถาบันเวทย์มนต์เซินหลง
หลังจากที่รองผู้อำนวยการอ่านหนังสือรับรองฉบับนั้นจบลงแล้ว เขาถอนหายใจยาว “สถาบันเวทย์มนต์หลวงช่างเต็มไปด้วยนักเวทย์พรสวรรค์จริง ๆ ...ผู้เข้าแข่งขันที่เข้าร่วมคราวนี้ล้วนเป็นอาจารย์เวทย์ แม้แต่นักศึกษาปีสามก็เช่นกันหรือนี่ พวกเธอนี่น่ามหัศจรรย์จริง ๆ แต่ยังไงเสีย อาจารย์ก็คงต้องให้พวกเธอแนะนำตัวกันอีกครั้ง รายชื่อของพวกเธออยู่ในหนังสือรับรองนี้แล้ว แต่อาจารย์ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร?”
“นั่นไม่เป็นปัญหาเลยครับ ผมเป็นอาจารย์เวทย์ธาตุดิน หมิงซือหวา” เขาตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ผมเป็นคนต่อมา “อาจารย์เวทย์ธาตุแสง เว่ยจางกง! นักศึกษาปีสามของสถาบันเวทย์มนต์หลวงครับ”
“อาจารย์เวทย์ธาตุลม โหมวมู่จือ! นักศึกษาปีสามของสถาบันเวทย์มนต์หลวงค่ะ” มู่จือแนะนำตัวเอง
“อาจารย์เวทย์ธาตุไฟ ไซหม่าเคอ! นักศึกษาปีสามเช่นกันครับ” หม่าเคอกล่าว
สุดท้ายเป็นไห่เย่วที่แนะนำตัวเอง “อาจารย์เวทย์ธาตุน้ำ ซิงไห่เย่ว นักศึกษาปีสี่ของสถาบันเวทย์มนต์หลวงค่ะ”
รองผู้อำนวยการมองมาที่ผมอย่างแปลกใจเล็กน้อย “อาจารย์อ่านหนังสือรับรองแล้วยังนึกว่ามันเขียนลงไว้ผิดพลาดไป เธอเป็นอาจารย์เวทย์ธาตุแสงจริง ๆ หรือนี่ ตอนนี้มีนักเวทย์ไม่มากแล้วที่จะตั้งใจเรียนเวทย์มนต์แห่งแสง มันต้องลำบากไม่น้อยสำหรับเธอที่จะบรรลุถึงระดับนี้ได้”
ผมยิ้มให้เขา “อาจารย์ให้เกียรติเกินไปแล้วครับ ตอนที่พวกเราเพิ่มมาถึงเมืองนี้ แล้วได้รับทราบว่าทั้งเมืองอู่หุยล้วนเป็นอาณาเขตของสถาบันเวทย์มนต์เซินหลง นี่แสดงว่าที่นี่ต้องมีนักเวทย์ที่มีพรสวรรค์จำนวนมากอย่างแน่นอน”
เขาตอบกลับมา “พูดแล้วมันก็น่าเสียดายจริง ๆ แต่เหล่าผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นต่างมุ่งหน้าไปที่สถาบันเวทย์มนต์หลวงเกือบทั้งหมด ถ้าพวกเธอย้ายมาเรียนที่นี่ได้ นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีมาก!”
มู่จือเป็นคนตอบปฏิเสธเรื่องนี้ “ฉันว่าเรื่องนี้! ตอนนี้มันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้วค่ะ พวกเราคุ้นเคยและผูกพันกับสถาบันเวทย์มนต์หลวงไปแล้ว”
“อาจารย์รู้เรื่องนี้ดี..แต่ก็นะ พวกเราก็ได้แต่ยังพยายามภาวนาให้มีนักศึกษาพรสวรรค์สูงเข้ามาบ้าง ถึงแม้ว่าสถาบันของพวกเราจะมีอันดับสองในการจัดอันดับของอาณาจักร แต่พวกเรายังมีความแข็งแกร่งโดยรวมยังห่างจากสถาบันเวทย์มนต์หลวงเป็นอย่างมาก” เขาถอนหายใจเสียงดัง
หม่าเคอถามขึ้นมาเปลี่ยนเรื่องพอดี “ผมขอถามได้หรือไม่ครับ ว่าอีก 6 สถาบันที่เข้าร่วมแข่งขันด้วยมาถึงกันหรือยังครับ?”
ผู้อำนวยการให้ข้อมูลกลับมา “ตอนนี้เหรอ? ผู้เข้าแข่งขันจากสถาบันเวทย์มนต์หลุนเค้อ กับสถาบันเวทย์มนต์ซือหลงนั้นมาถึงเรียบร้อยแล้ว พวกเธอเป็นสถาบันที่สามที่เดินทางมาถึง ตอนนี้พวกเราได้จัดการเตรียมสนามแข่งขันไว้เรียบร้อยแล้ว มันพร้อมสำหรับการแข่งขันในอีก 10 วันต่อไปนี้อย่างแน่นอน”
ซือหวากล่าวถามต่อ “พวกเราจะข้ามพวกนี้ไปก่อนดีกว่าครับ! ตอนนี้ผมอยากทราบว่าเราจะพักกันที่ไหนครับ? พวกเราเดินทางกันมาหลายวันพอสมควร ค่อนข้างจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ไม่ทราบว่าท่านรองผู้อำนวยการจะจัดที่พักให้พวกเราได้หรือไม่ครับ?”
เขากระแอมออกมา “แน่นอน! พวกเราได้จัดการเรื่องที่พักเอาไว้ให้พวกเธอเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่โรงแรมเซินหลง ระดับของโรงแรมค่อนข้างดีทีเดียว แต่ในเมื่อพวกเธอเดินทางมาจากแดนไกล ผู้อำนวยการและอาจารย์ได้เตรียมงานต้อนรับไว้สำหรับพวกเธอแล้ว ก่อนที่จะส่งพวกเธอไปที่โรงแรม”
“อาจารย์ให้เกียรติมากเกินไปแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องจัดงานต้อนรับของพวกเราโดยเฉพาะก็ได้ครับ” ผมรีบห้ามเขา อย่างให้ความเคารพ
แต่เขานั้นยังไม่ยอม “พวกเธอทั้งห้าคนถือว่าเป็นเพชรยอดมงกุฎของอาณาจักรเราเลยทีเดียว สามารถบรรลุระดับอาจารย์เวทย์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นี่ช่างทำให้ทุกคนอิจฉาแล้ว ดังนั้นเรื่องของงานต้อนรับ ไม่ต้องปฏิเสธพวกเราหรอก เดี๋ยวพวกเธอจะได้ลองชิมอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เอาแบบนี้! พวกเธอรออยู่ที่นี่สักเดี๋ยวหนึ่งก่อน อาจารย์จะรีบไปแจ้งให้ท่านผู้อำนวยการทราบ” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องทำงานออกไป
“ทำไมพวกเขาดูสุภาพมากเหลือเกิน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีท่าทางไม่เป็นมิตรเลยนะ” ผมกล่าวกับเพื่อน ๆ
“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ รอให้ถึงตอนที่การแข่งขันเริ่มขึ้นก่อนเถอะ มันจะไม่เหมือนตอนนี้แน่ ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันไม่มีการยั้งมือแน่ ๆ นายน่าจะรู้ว่านี่เป็นการแข่งขันที่มีศักดิ์ศรีเป็นสิ่งเดิมพัน มันจะกลายเป็นการสู้กันของนักเวทย์ผู้สูงศักดิ์กับนักเวทย์ธรรมดา ๆ มันจะเป็นสงครามมากกว่าการประลอง นายอย่างประมาทเด็ดขาด” ซือหวาเตือนด้วยรอยยิ้มขม ๆ
“การสู้กันของนักเวทย์ผู้สูงศักดิ์กับนักเวทย์ธรรมดาอย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่แล้ว! พวกเราไม่ได้เป็นขุนนางเสียหน่อย!” ผมถามอย่างประหลาดใจมาก
หม่าเคอยิ้มและเป็นคนตอบผมในเรื่องนี้ “พี่ใหญ่! พี่ลองคิดดูให้ดี ๆ สิ ไห่เย่ว ซือหวา แล้วก็ผมเป็นขุนนางนะ พี่ก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ตี้ ตำแหน่งที่แท้จริงของอาจารย์ตี้ก็เทียบเท่ากับมหาเสนาบดี นั่นทำให้พี่เป็นขุนนางไปครึ่งตัวแล้วนะ มู่จือเข้าเรียนในสถาบันได้ด้วยความสามารถตัวเอง นั่นหมายถึงเธอก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สูงมาก เธอจะได้เป็นขุนนางอย่างแน่นอนเมื่อจบการศึกษา ถ้าจะพูดว่าพวกเราเป็นนักเวทย์ผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ผิดไปจากความจริงมากนักหรอก”
สิ่งที่หม่าเคอพูดมาก็มีเหตุผลอยู่นะ แล้วมู่จือก็กล่าวขึ้นมา “นั่นทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพวกเขาถึงทุ่มเทอย่างสุดกำลัง พวกเขาคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าเขากำลังสู้กับนักเวทย์ผู้สูงศักดิ์นี่เอง”
มีเสียงประตูเปิดออก รองผู้อำนวยการเดินนำนักเวทย์ชราคนหนึ่ง (เขาหน้าตาดูเหมือนกับอาจารย์ตี้นิดหน่อย) เข้ามาในห้อง “ให้ฉันได้แนะนำก่อนนะ ท่านนี้คือผู้อำนวยการของสถาบัน อาจารย์เวทย์ธาตุลม ผู้อำนวยการหลงหยู!”
พวกเรารีบโค้งคำนับ “เป็นเกียรติที่ได้พบท่านผู้อำนวยการครับ/ค่ะ”
“ไม่ต้องมากมารยาทกันหรอก ทำตัวกันตามสบายได้เลย ไม่ต้องมีพิธีการอะไรมากนักหรอก ที่นี่เราไม่ค่อยมีอะไรเป็นทางการมากอยู่แล้ว” ผู้อำนวยการเฒ่ายิ้มออกมา “ไปกันเถอะ! ในเมื่อพวกเธอเดินทางกันมาไกล น่าจะหิวกันมากแล้ว ไปทานอาหารกันก่อนเถอะ”
ผมไม่ปฏิเสธเรื่องการกินอยู่แล้ว หันไปมองก็เห็นมู่จือตาเป็นประกาย หลายวันที่ผ่านมานี้เธอน่าจะลำบากพอสมควร เพราะพวกเราไม่ได้กินอาหารดี ๆ กันมาเลย
จากที่รองผู้อำนวยการบอก โรงแรมเซินหลงนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้องพัก บริเวณพักผ่อนหย่อนใจ และห้องอาหารขนาดใหญ่ เป็นโรงแรมที่หรูหรามาก มันถูกจัดให้เป็นที่พักของผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด
ตอนที่พวกเรามาถึงที่บริเวณห้องโถงจัดงาน ดูเหมือนว่ารองผู้อำนวยการจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย บนโต๊ะขนาดใหญ่เตรียมชุดจานชามไว้หลายชุด มันเหมือนว่าจะเป็นการเตรียมไว้สำหรับคน 20 คน
รองผู้อำนวยการรีบกล่าว “พวกเธอนั่งรออยู่ที่นี่ก่อน อาจารย์จะไปเชิญอีก 2 สถาบันลงมาร่วมทานอาหารด้วยกัน มันน่าจะครึกครื้นกว่าถ้ามีผู้ร่วมงานมากขึ้นอีกหน่อย”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินนำกลุ่มของคนสิบกว่าคนเดินเข้ามา พาทั้งหมดนั่งลงตรงข้ามกับพวกเรา แล้วก็กล่าวแนะนำขึ้น “นักศึกษาเหล่านี้เป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากสถาบันเวทย์มนต์หลวง”
พวกเรารีบยืนขึ้นทักทายพวกเขา โดยซือหวาเป็นตัวแทนในการกล่าวทักทายออกไป “เป็นเกียรติที่ได้พบกับทุกท่าน”
นักเวทย์ชรานี่อยู่ตรงข้ามเอ่ยขึ้น “ข้าคือรองผู้อำนวยการของสถาบันเวทย์มนต์ซือหลง เป็นผู้นำผู้เข้าแข่งขันทั้งห้ามาเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้ ได้โปรดชี้แนะด้วย”
และนักเวทย์วัยกลางคนอีกท่านก็กล่าวต่อมา “ส่วนข้าเป็นหัวหน้าอาจารย์ของสถาบันเวทย์มนต์หลุนเค้อ ข้าเป็นผู้พาทีมของสถาบันมาเช่นกัน”
ฝ่ายตรงข้ามเกือบทั้งหมดเป็นนักเวทย์ไฟและนักเวทย์ลม มันดูออกได้ง่ายมากว่าเป้าหมายของพวกเขาคือเน้นที่การโจมตี ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากทั้งสองสถาบันนั้นดูจะสงบและเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจพวกเรานัก
หลังจากนั้นรองผู้อำนวยการของสถาบันเซินหลงก็รีบบอกให้พวกเราทั้งหมดนั่งลง และบอกให้ทางห้องอาหารส่งอาหารขึ้นโต๊ะได้เลย
หัวหน้าอาจารย์ของสถาบันหลุนเค้อเป็นผู้เปิดบทสนทนาขึ้นมา “ข้าได้ยินมาจากท่านรองผู้อำนวยการว่าผู้เข้าแข่งขันทุกคนของสถาบันเวทย์มนต์หลวงเป็นถึงอาจารย์เวทย์กันทุกคน นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ข้าหวังว่าในการแข่งขันพวกท่านจะแสดงความเมตตาให้พวกเราบ้างนะ” สถาบันเวทย์มนต์หลุนเค้ออยู่ในอันดับ 8 ในการจัดอันดับของสถาบันเวทย์มนต์ระดับสูง พวกเขานั้นมีความแข็งแกร่งน้อยที่สุด บางทีอาจจะยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับโรงเรียนมัธยมเวทย์มนต์หลวงได้ด้วยซ้ำ ผู้เข้าแข่งขันของพวกเขาไม่สามารถเอาชนะพวกเราได้อย่างแน่นอน สิ่งที่เขาพูดนั้นหมายถึงการพยายามป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บที่ไม่จำเป็นขึ้นมา