ตอนที่ 27 สีเขียวแรกที่เห็น
มู่เหลียงแฝงตัวไปตามเงามืดของตามซอกหิน และเนินเขา
เมื่อเจอกับหินสูงใหญ่ ขวางเขาจะใช้ใยแมงมุมในการโหนตัวเองขึ้นไป
ในพื้นที่โล่งบางแห่งมู่เหลียงก็จะใช้ลอบเร้น และเดินอย่างช้าๆ และผ่านตรงจุดนั้นไป
“ไม่คิดว่าฐานของพวกมันจะถูกวางไว้แบบนี้”
มู่เหลียงได้ตรวจดูหุบเขาที่เป็นทรงรูปเสี้ยวพระจันทร์ได้ครึ่งทางแล้ว
มู่เหลียงพบเจอกับสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เพราะการจะไปยังหุบเขาตรงกลางต้องเดินอ้อมไปเนินเขาทางซ้ายและขวาก่อน จากนั้นจะมีสะพานเพื่อข้ามเข้าไป
และที่ตรงกลางหุบเขานั้นคือฐานที่มั่นของพวกเคราโลหิต
ความยากของช่วงแรกคือการเดินข้ามเนินเขาสองลูก
และจากระยะสายตาของมู่เหลียงเขาเห็นยามเฝ้าทางอยู่ประมาณ 20 คน และมีพวกเดินลาดตระเวนอยู่รอบนอกเล็กน้อย
“แค่ทางเข้าก็ยากแล้ว นี้ยังไม่รวมกับคนเฝ้าระวังอีก”
มู่เหลียงถอนหายใจ
แม้ว่าจะใช้ลอบเร้นแอบเข้าไปได้ก็ตาม แต่เขาก็ต้องการใครสักคนที่สามารถเปิดประตูของฐานแห่งนี้
“จริงสิ…เราปีนเข้าจากด้านนอกก็ได้”
มู่เหลียงคิดอะไรออกก่อนจะตัดสินใจเลิกใช้เส้นทางปกติ และปีนขึ้นไปบนเนินเขา และหาทางเข้าจากทางอื่น
มู่เหลียงประเมินสถานการณ์ดูแล้ว การเข้าทางปกติจะยุ่งยากและเสียเวลามากกว่า เพราะไม่รู้ว่าจะมีจุดตรวจ หรือประตูอีกกี่บาน
และมู่เหลียงมีเวลาไม่มากขนาดนั้น ไม่รู้ว่าหัวหน้าของพวกโจรจะกลับมาเมื่อไร
หวี๊ด!!!
แล้วตอนนั้นเองมู่เหลียงก็ผิวปากเรียกแมงมุมผีแดง
“หัวหน้าของพวกมันรอบคอบจริงๆ”
มู่เหลียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้งหลังจากสำรวจฐานแห่งนี้
ก่อนที่เขาจะเรียกลูกหาบคนเก่งของเขามา
“เสี่ยวไกมานี่หน่อย”
งานขนของได้กลายเป็นหน้าที่ของเสี่ยวไกไปแล้ว เพราะมู่เหลียงตัวคนเดียวแบกของกลับไปไม่หมดแน่
ไม่กี่นาทีต่อมาเสี่ยวไกก็เดินออกมาจากมุมมืด และเอาหัวมาถูกับมือของมู่เหลียง
กี้….
เสี่ยวไกถูหัวไปมากับมือของมู่เหลียงราวกับสัตว์เชื่องๆ
“เตรียมตัวได้แล้วเสี่ยวไก”
มู่เหลียงพ่นใยออกจากฝ่ามือ ก่อนที่ใยจะพุ่งไปติดกับหน้าผาหิน และเมื่อเห็นว่ารอบๆ ปลอดภัยเขาจึงปีนใยขึ้นไป
สัตว์อสูรเลี้ยงทั้งสองตัวก็ไต่ตามไปติดๆ
ด้วยความสูง 150 เมตร น่าจะสูงกว่าตึก 30 ชั้นเสียอีก
แต่เพราะใยแมงมุมคุณภาพสูงทำให้มู่เหลียงไต่ขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น แม้จะเจอบางจุดที่ยากต่อการปีนก็ตาม
มู่เหลียงไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานแค่ไหน แต่ยิ่งใกล้ยอดของเขา การเคลื่อนไหวของมู่เหลียงก็ยิ่งดูรัดกุมขึ้น เพราะกลัวว่าจะทำอะไรให้เกิดเสียง จนคนที่อยู่ข้างล่างได้ยิน
ตลอดทางที่เขาไปนั้นไม่พบเจอสิ่งอันตรายใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องดีกับมู่เหลียงมาก
แต่เมื่อมู่เหลียงปีนขึ้นมาถึงแล้วเขากลับเห็นอะไรที่ผิดปกติ
มันมีสิ่งก่อสร้างประหลาดเหมือนกับกระโจม แต่เป็นรูปทรงครึ่งวงกลมทำจากไม้ และยังมีแสงเล็ดลอดออกมาอีกด้วย และขนาดก็ไม่ใช่เล็กๆ
“นี้มันอะไร?”
มู่เหลียงเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที
กระโจมนี้ไม่น่าจะเป็นที่อยู่ของพวกเคราโลหิต
หรือว่าข้างในนี้จะเป็นที่คลังสมบัติ?
“ก็เป็นไปได้”
มู่เหลียงอุทานด้วยน้ำเสียงที่สนใจ
เพราะที่นี่มู่เหลียงก็คิดว่าเหมาะที่จะใช้เป็นสถานที่เก็บสมบัติหรือของล้ำค่าเอาไว้
มู่เหลียงเริ่มเดินสำรวจรอบๆ การจะงัดแงะหรือทำลายเข้าไปด้วยกำลังคงไม่ดีสักเท่าไร
ถ้ามีคนอยู่ข้างในเขาจะโดนจับได้ทันที
มู่เหลียงวนอยู่หลายรอบ และพบว่ามันมีช่องว่างเล็กๆ หลายช่อง แต่ไม่สามารถมุดเข้าไปได้
แต่ก่อนที่เขาจะเตรียมตัวปีนขึ้นไปสำรวจด้านบนของกระโจม เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันดังมาจากที่ไม่ไกลมากนัก
“พ่อของข้าออกไปข้างนอกแล้ว และนี้คือคำสั่ง”
“ไม่ได้ครับ ที่นี่ห้ามใครเข้าหากไม่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้า”
“ก็บอกให้หลีกทางไป ข้าจะไปเอาน้ำ!”
“ท่านเซียเต๋า ท่านก็รู้ว่าหัวหน้าใหญ่มีอารมณ์เช่นไร อย่าทำให้พวกเราต้องเสียหน้าเลย”
“อย่าเอาพ่อข้ามากดดันข้านะ!!”
ปึก ครืน ปัง ปัง ปัง!!!
“เกิดเรื่องขึ้นงั้นหรอ…”
ได้เกิดเสียงเหมือนการต่อสู้เกิดขึ้น ตามมาด้วยเสียงปิดประตูพร้อมกับทุบประตูหลายครั้ง ก่อนที่จะมีคำตะโกนด่าสาปแช่งตามมา
“หรือว่านั่นคือลูกของหัวหน้ากลุ่มเคราโลหิต?”
มู่เหลียงมองดูพร้อมกับมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
สถานที่แห่งนี้แม้แต่ลูกของหัวหน้ากลุ่มก็ยังไม่ให้เข้า นั้นแปลว่าภายในนี้ต้องมีของล้ำค่าอยู่มากแน่
ฟิ้ว….
มู่เหลียงยิงใยแมงมุมออกไป ติดกับยอดของกระโจม ก่อนที่จะค่อยๆ ปีนขึ้นไปอย่างเบามือจนเขาเห็นช่องแปลกๆ
มันมีช่องที่ยาวประมาณสิบเมตรได้ที่ด้านบน และกว้างประมาณสิบนิ้ว
ซึ่งมันใหญ่พอที่คนจะลอดผ่านเข้าไปได้
“ทำไมช่องตรงนี้มันใหญ่ผิดปกติ?”
มู่เหลียงไม่ได้เข้าไปทันที แต่ให้แมงมุมผีแดงเข้าไปสำรวจเส้นทางก่อน
หลังจากที่แมงมุมผีแดงเข้าไปได้สักพัก ก็ไม่มีเสียงอะไรตามออกมาเลย
ทำให้มู่เหลียงมั่นใจว่าปลอดภัยเขาจึงพ่นใยแมงมุมทำเป็นเชือกก่อนที่จะโรยตัวลงไป
-เมื่อได้เข้ามาแล้วทำให้เขารู้ว่าภายในหอแห่งนี้กว้างมาก
ปรากฏว่า-หอแห่งนี้ถูกสร้างเพื่อปิดทางเข้าถ้ำขนาดใหญ่
มู่เหลียงโรยตัวลงมาเรื่อยๆ จนเห็นว่าที่ใต้เท้าของเขามีประตูไม้เปิดอยู่
โดยที่เสียงคนทะเลาะกันเมื่อครู่ดังมาจากอีกฝั่งของประตูอีกด้านที่น่าจะเป็นทางเข้าหลัก
มู่เหลียงออกห่างจากประตูทางเข้า และเห็นว่าประตูที่เปิดอยู่นี้ลึกลงไปอีกสิบเมตรได้
และเมื่อมองขึ้นไปบนกระโจมแห่งนี้ มู่เหลียงเห็นว่ามันมีเฟืองขนาดใหญ่ พร้อมกับเชือกอีกหลายเส้นโยงกันอยู่
“จริงหรอเนี่ย พวกนี้เป็นกลไกเอาไว้เปิดเพดานออกเลย”
มู่เหลียงตกใจมากเมื่อเห็นว่ากระโจมนี้มีกลไกติดตั้งอยู่
และที่น่าแปลกใจก็คือมันเป็นกลไกที่เอาไว้เหมือนเปิดเพดานออก ไม่แปลกเลยที่ทำไมถึงมีช่องยาวถึงสิบเมตรข้างบนกระโจม เพื่อให้รองรับกับกลไกนี้
“หัวหน้าเคราโลหิตนี้เป็นคนช่างคิดจริงๆ”
มู่เหลียงลงไปใต้ประตูไม้ และพบว่าสถานที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ และที่สะดุดตาที่สุดเลยคือต้นพืชและดอกไม้สีเขียวหลายชนิด
ตั้งแต่อยู่ในโลกที่พังพินาศนี้มา 9 วันในที่สุดเขาก็ได้เห็นต้นพืชสีเขียว
เขามองไปยังต้นไม้สีเขียวออกเหลืองๆ ประมาน 12 ต้น และเห็นว่ามีพื้นที่เพาะปลูกอยู่อีก
“ดูเหมือนว่ากระโจมนี้มันมีกลไกไว้เปิดปิดตัวเอง เพื่อให้แดดส่องลงมาโดนพืชผลพวกนี้สินะ”
“แล้วหน้าตามันก็เหมือนกับกะหล่ำปลีเลย”
มู่เหลียงนั่งยองๆ ลงไปดู และสำรวจแปลงผักแห่งนี้
เขาลองเด็ดใบของมันขึ้นมาดมดู ก่อนที่จะอุทานออกมาอย่างตกใจ
“เห้ย!! นี้มันกะหล่ำปลีจริงๆ ด้วย”
มู่เหลียงลุกขึ้นยืนทันที เขาเดินเข้าไปอีกหน่อยก็เจอกับแปลงผักไม้เลื้อยอีกชนิด ซึ่งมันมีผลกลมสีแดง และสีเขียว
มู่เหลียงยิ้มมุมปากน้อยๆ
“แม้แต่มะเขือเทศก็มี”
“หัวหน้าเคราโลหิต แกนี้มันถุงนำโชคของฉันจริงๆ ในนี้ยังมีต้นชาอีกด้วย”
มู่เหลียงมองไปรอบๆ และเห็นผักและพืชอีกหลายชนิด
“และยังมีอีกหลายชนิดที่เราไม่รู้จัก”
มู่เหลียงเมื่อสำรวจดูแล้ว เขาก็พบว่าเขารู้จักพืชผักพวกนี้แค่สองสามชนิด
นอกจากนั้นพืชผักพวกนี้มีต้นที่กำลังเฉาและใกล้จะตาย
“แปลกๆ แฮะ ทำไมมันถึงไม่กินพืชผักพวกนี้ก่อนจะเสีย?”
มู่เหลียงมองดูดอกไม้ที่กำลังจะตาย ด้วยความคิดหลายอย่าง
จะเว้นก็แต่ว่าหัวหน้าเคราโลหิตนั้นต้องการที่จะยื้อชีวิตพวกมันออกไปเท่านั้น