ตอนที่ 229 พยูน
ตอนที่ 229 พยูน
เซี่ยเฟยอาศัยอยู่ในอาคารหลังเล็ก ๆ บนชั้น 10 ที่มีอาคารอีกสามหลังอยู่ติดกัน ซึ่งอากาศภายในห้องค่อนข้างเย็นและพื้นด้านนอกก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
พวกนักฆ่าเดนตายได้ถอยกลับไปแล้วหลังจากที่ได้นำชายหนุ่มมาส่งยังอาคารแห่งนี้ ราวกับว่าพวกเขาไม่กลัวว่าเซี่ยเฟยจะทำการหลบหนีออกไปเลย
หลังจากตื่นเต้นมาสักระยะในที่สุดอันธก็กลับมาสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง อาจารย์ของเขายังคงดูเหมือนเดิมมีเพียงแต่ตัวเขาที่ได้กลายเป็นเพียงแค่วิญญาณไปแล้ว สิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงการเฝ้ามองอยู่ไกล ๆ แต่เขาก็ยังคงให้ความเคารพอาจารย์ของเขาอยู่เช่นเดิม
สิ่งที่อันธกำลังรู้สึกกังวลมากที่สุดในขณะนี้คือเขาจะช่วยให้เซี่ยเฟยหลบหนีออกไปจากสำนักได้ยังไง ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนเสนอความคิดให้ชายหนุ่มเดินทางไปยังดาวดวงนั้น และถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่คิดตำหนิเขาเลยแต่อันธก็ยังคงโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่ดี
ทุกพื้นที่ในสำนักถูกจับตาโดยพวกนักฆ่าเดนตายตลอดเวลา นักฆ่าเหล่านี้ได้ถูกสำนักทำการล้างสมองทำให้พวกเขาทำตามคำสั่งเหมือนกับเครื่องจักร พวกเขาจะกระจายกันซ่อนตัวอยู่ทั่วทั้งหุบเขาอย่างเงียบ ๆ และทุกการเคลื่อนไหวภายในสำนักจะถูกรายงานไปยังเบื้องบนทันทีเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นมา
หากใครต้องการจะหลบหนีออกจากสำนักแห่งนี้ ก่อนอื่นเขาคนนั้นจะต้องหาทางหลีกเลี่ยงพวกนักฆ่าเดนตายให้ได้เสียก่อน แต่ยานรบที่จอดอยู่บนลานจอดจะต้องถูกล็อกด้วยอุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นถ้าหากว่าพวกเขาต้องการจะขับยานรบออกไปพวกเขาก็จะต้องหาวิธีปลดล็อกอุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้าให้ได้เสียก่อน และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ
นอกจากนี้มันยังมีการป้องกันในเรื่องอื่น ๆ อีกอย่างมากมาย มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีออกจากดาวดวงนี้ไปอย่างเงียบ ๆ
ด้วยระดับการป้องกันภัยที่หนาแน่นเช่นนี้เองพวกนักฆ่าเดนตายจึงปล่อยเซี่ยเฟยเอาไว้ในบ้านพักสบาย ๆ โดยไม่กังวลว่าชายหนุ่มจะทำการหลบหนีออกไปเลย
อันธบอกเซี่ยเฟยถึงระบบการป้องกันทั้งหมดที่มีอยู่ในสำนัก ซึ่งหลังจากที่ชายหนุ่มได้ประมวลผลข้อมูลทั้งหมดแล้ว เขาก็สรุปได้ว่าเขาไม่มีทางจะหลบหนีออกไปจากดาวดวงนี้ได้ด้วยกำลังของเขาเพียงลำพัง
เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้เวลาว่างในการฝึกฝนและเมื่อเขารู้สึกเบื่อเขาก็จะเดินไปรอบ ๆ บ้านเพื่อชมวิวทิวทัศน์และพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
ในชั่วพริบตากาลเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปถึงสามวัน โดยในขณะนี้เด็กรับใช้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งอาหารก็กำลังเข็นรถเข็นอาหารนำอาหารมาเสิร์ฟให้เซี่ยเฟย
การบริการของสำนักเงาสังหารถือว่าไม่เลวอย่างน้อยพวกเขาก็เลี้ยงให้เซี่ยเฟยกินอิ่มทุกมื้อ อันที่จริงเซี่ยเฟยกินอาหารน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเขาไม่จำเป็นจะต้องออกไปข้างนอก แต่เขาก็ยังคงกินอาหารในปริมาณที่เยอะมากเพื่อให้ได้พลังงานมากเพียงพอต่อการฝึกฝนประจำวันอยู่ดี
เด็กรับใช้จัดแจงเสิร์ฟจานอาหารเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนที่เขาจะก้มศีรษะลงแล้วยืนรออยู่เงียบ ๆ
เซี่ยเฟยจัดการอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะมองไปยังเด็กรับใช้ที่นำอาหารมาเสิร์ฟอย่างสงสัย
หลังจากที่ได้พูดคุยกันเซี่ยเฟยก็ได้รู้ว่าเด็กชายคนนี้ชื่อ ‘พยูน’ มีอายุเพียงแค่ 14 ปี แต่เขากลับมีร่างกายที่สูงกว่า 190 เซนติเมตร นอกจากนี้เขายังมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและมีหนวดเคราเต็มใบหน้าซึ่งดูไม่เหมาะสมกับอายุของเขาเลย
แต่เนื่องจากว่าพยูนไม่มีพลังพิเศษเขาจึงเป็นได้เพียงแค่เด็กรับใช้ในสำนักที่ไม่มีอาจารย์คนใดรับเขาไปเป็นศิษย์ มันจึงทำให้เขาไม่มีโอกาสเรียนรู้วิชาการต่อสู้
ในสำนักมีเฉพาะศิษย์ที่ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเท่านั้นถึงจะได้รับชื่อหลังจากที่พวกเขาผ่านการประเมิน โดยชื่อที่พวกเขาจะได้รับจะขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘เงา’ ตามหลังด้วยลักษณะพิเศษที่โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น เงาประกายเงินที่สามารถใช้สายลมโจมตีจนทำให้มองเห็นเพียงแต่ประกายสีเงิน
ส่วนเด็กที่ถูกรับมาแต่ยังไม่ได้ผ่านการประเมินก็จะได้รับการตั้งชื่อเรียกแบบสุ่ม ๆ ยกตัวอย่างเช่น พยูนที่มีชื่อไม่เหมาะสมกับร่างกายอันใหญ่โตของเขาเลย
“นั่งลงสิ มากินด้วยกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“อาจารย์มีคำสั่งว่าให้คอยยืนเฝ้านายท่านด้วยความเคารพครับ” พยูนกล่าวพร้อมกับส่ายหน้า
อาจารย์ที่พยูนพูดถึงไม่ได้เป็นอาจารย์ที่คอยสั่งสอนศิลปะการต่อสู้ แต่เป็นเพียงพ่อครัวที่คอยดูแลเรื่องอาหารการกินของคนภายในสำนักเท่านั้น
เซี่ยเฟยยกชามซุปขึ้นมาซดหมดทั้งชามในอึกเดียว และทันใดนั้นท้องของพยูนก็ร้องขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เด็กชายร่างใหญ่จึงลูบหัวด้วยความเขินอายก่อนที่จะก้มหน้าอย่างสำนึกผิด
“นายยังไม่ได้กินข้าวเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“ผมบังเอิญทำอาหารหกตอนที่นำอาหารมาส่งให้นายท่านเมื่อวานนี้ ผมเลยโดนลงโทษให้อดอาหารเป็นเวลา 3 วันครับ” พยูนกล่าว
“งั้นก็นั่งลงสิ ฉันกินอาหารทุกอย่างคนเดียวไม่หมดหรอก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่อาหารที่อยู่บนโต๊ะ
“ถ้าอาจารย์รู้เข้าผมจะต้องถูกลงโทษครับ” พยูนเร่งรีบพูดขึ้นมา
“อาจารย์ของนายไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย มานั่งลงกินอาหารด้วยกันเถอะ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยื่นขาไก่ให้กับเด็กหนุ่ม
ความรู้สึกหิวเป็นหนึ่งในความรู้สึกที่สามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง ดังนั้นถึงแม้ว่าพยูนจะกลัวการถูกลงโทษแต่เขาก็ยอมหยิบขาไก่ที่เซี่ยเฟยยื่นให้มากัดเข้าปากไปด้วยความระมัดระวัง
“วันนี้นายบาดเจ็บมาอีกแล้วเหรอ?” เซี่ยเฟยจุดบุหรี่พร้อมกับถามด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่วันแรกที่เซี่ยเฟยได้เจอกับพยูนเขาก็ได้พบว่าบนร่างของเด็กหนุ่มมีรอยฟกช้ำและบาดแผลอยู่เสมอ จากวันแรกที่ตาซ้ายมีเลือดไหล วันรุ่งขึ้นตาขวาของเขาก็เริ่มบวมช้ำ ส่วนวันนี้ก็เพิ่งมีรอยแผลรอยใหม่เกิดขึ้นบนหน้าผาก
“ผมกับพวกพี่ ๆ เล่นกันแล้วบังเอิญผมหกล้มนิดหน่อยครับ” พยูนกล่าว
คำแก้ตัวนี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เพราะแม้แต่คนโง่ก็สามารถบอกได้ว่ารอยแผลบนร่างกายของเขาเกิดขึ้นจากการถูกทุบตี ไม่มีทางเป็นรอยแผลที่เกิดขึ้นจากการหกล้มเป็นอันขาด
“การโกหกไม่ใช่นิสัยที่ดีนะ บอกมาสิว่าใครเป็นคนรังแกนาย?” เซี่ยเฟยกล่าว
“พวกเขาไม่ได้ตั้งใจรังแกผมหรอกครับ” พยูนเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อบื้อและเมื่อเขาถูกเซี่ยเฟยจับได้ว่าเขาพูดโกหก เขาก็รีบพูดแก้ตัวขึ้นมาด้วยความเขินอาย
“ทำไมนายไม่สู้กลับล่ะ? ตัวนายน่าจะใหญ่กว่าคนพวกนั้นอีกนะ” เซี่ยเฟยถาม
พยูนวางกระดูกไก่เอาไว้บนโต๊ะแต่สายตาของเขายังคงจับจ้องมองไปยังจานอาหาร เพราะเมื่อพิจารณาจากขนาดร่างกายของเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว ขาไก่เพียงแค่น่องเดียวย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้ท้องของพยูนถูกเติมเต็มได้
เซี่ยเฟยยื่นจานไก่ย่างให้กับเด็กหนุ่ม ซึ่งเด็กชายคนนี้ก็รีบรับจานอาหารไปก่อนจะแทะน่องไก่เข้าไปอีกครั้ง
“ผมแรงเยอะครับ ถ้าผมสู้กลับพวกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บได้” พยูนกล่าวขณะรับประทานอาหาร
“แล้วตอนที่คนพวกนั้นทุบตีนาย พวกเขากลัวว่านายจะได้รับบาดเจ็บไหม?” เซี่ยเฟยถามกลับ
เด็กชายผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบกลับเซี่ยเฟยว่าอะไรดี
“ฉันรู้ว่านายมองทุกคนเป็นมิตรแต่นายต้องจำเอาไว้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ควรค่าแก่ความใจดีของนาย ตราบใดก็ตามที่นายเจอคนสำคัญจงดูแลรักษาคนพวกนั้นเอาไว้ให้ดี ๆ ส่วนใครที่กล้ามาทำร้ายนายก็อัดมันให้เละแล้วกระทืบให้จมดินไปเลย!” เซี่ยเฟยเริ่มสั่งสอนเด็กหนุ่มตรงหน้า
“แล้วผมจะรู้ได้ยังไงครับว่าใครสำคัญหรือใครไม่สำคัญ?” พยูนถามด้วยความสงสัย
“ง่ายมาก ใครที่ทำตัวดีกับนายในวันธรรมดาและคอยช่วยเหลือนายในวันที่นายกำลังเจอปัญหา คนคนนั้นแหละคือคนที่สำคัญสำหรับนาย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พยูนพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่จะจัดการกับอาหารบนโต๊ะราวกับลมพายุ ก่อนที่เขาจะเดินจากไปพร้อมกับรถเข็นอาหารที่หลงเหลือเพียงแค่จานเปล่า
“นายไปสอนอะไรให้เด็กมันเนี่ย!” อันธกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ฉันพูดผิดตรงไหน? ที่ฉันพูดสอนออกไปมันก็สมเหตุสมผลแล้วนี่” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างไม่จริงจัง
ทันใดนั้นศิษย์ในสำนักคนหนึ่งก็เคาะประตูก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาภายในห้อง
“ท่านเจ้าสำนักกับสามผู้อาวุโสต้องการพบกับคุณครับ”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะสวมเสื้อโค้ทแล้วเดินตามหลังชายคนนี้ไป
อากาศด้านนอกกำลังมีฝนตกลงมาปรอย ๆ ทำให้บรรยากาศค่อนข้างสดชื่นและให้ความรู้สึกถึงความสบายใจ
จุดหมายปลายทางของชายหนุ่มยังคงเป็นห้องประชุมเล็ก ๆ ที่เขาถูกนำตัวมาในตอนแรก ซึ่งด้านในมีชายชราทั้งสี่นั่งพูดคุยกันอยู่ก่อนแล้ว
ตลอด 3 วัน 3 คืนที่ผ่านมาชายชราทั้งสี่คนนี้ไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขากำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดในเรื่องการปฏิรูปกฎของสำนัก
การพยายามเปลี่ยนแปลงกฎที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นเรื่องที่ยากลำบากเสมอ ดังนั้นถึงแม้ว่าชายชราทั้งสี่จะได้พูดคุยกันมาเป็นเวลากว่า 3 วัน แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้
เงากระเรียนกับเงาจันทร์ต้องการยกเลิกกฎที่ไร้มนุษยธรรมของสำนักและพวกเขาก็ต้องการให้ศิษย์ภายในสำนักมีอิสระมากกว่านี้
แน่นอนว่าคนที่ยึดมั่นในกฎอย่างเงารัตติกาลย่อมคัดค้านเรื่องนี้อย่างรุนแรง ส่วนเงาประกายเงินก็ให้เหตุผลว่ากฎเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสำนักมาอย่างยาวนาน พวกเขาไม่ควรเข้าไปแตะต้องกฎประจำสำนักเลย
ท้ายที่สุดถ้าหากพวกเขาเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงกฎ ศิษย์หลายคนก็จะเริ่มโหยหาอิสรภาพและมันก็คงจะมีศิษย์หลายคนไม่อยากจะอยู่ภายในสำนักแห่งนี้ เมื่อศิษย์พวกนั้นได้เลือกที่จะเดินจากไปมันก็จะทำให้กองกำลังของสำนักอ่อนแอลง
การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เงากระเรียนจึงขอยุติการประชุมเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนเพื่อหาข้อสรุปในเรื่องของเซี่ยเฟย เพราะท้ายที่สุดชายคนนี้ก็ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักและการให้เขามาพักอยู่ในสำนักเป็นเวลานานมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดี
เงากระเรียนเริ่มเล่าผลการสอบสวนของเขาให้ทุกคนฟัง ซึ่งมันก็ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าเซี่ยเฟยจะเป็นทายาทของเงาโลหิต โดยในตอนนั้นผู้อาวุโสทั้งสามรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เพราะมันก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าชายหนุ่มคือทายาทของเงาโลหิตจริง ๆ
แต่เมื่อเงากระเรียนเปิดเผยภาพถ่ายของเงาโลหิตทุกคนก็เริ่มเชื่อข้อสันนิษฐานนี้ขึ้นมา เพราะเงาโลหิตดูคล้ายกับเซี่ยเฟยมากจริง ๆ นอกจากนี้สถานที่ที่เขาได้ปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้ายก็อยู่ไม่ไกลจากดาวโลกซึ่งเป็นดาวบ้านเกิดของชายหนุ่มมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนยังเชื่อว่าเซี่ยเฟยได้ฝึกฝนวิชาทั้งสองมาตั้งแต่เด็กจริง ๆ พวกเขาจึงได้ข้อสรุปว่าเซี่ยเฟยคือทายาทของเงาโลหิต
ในระหว่างที่ชายชราทั้งสี่กำลังพูดคุยกัน เซี่ยเฟยก็ถูกนำตัวเข้ามาภายในห้อง
“เซี่ยเฟยตระกูลของนายอาศัยอยู่บนโลกมานานแค่ไหนแล้ว?”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่คิดว่าน่าจะนาน 2,000 - 3,000 ปีแล้วครับ” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เงากระเรียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เพราะเงาโลหิตได้หลบหนีไปเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนจริง ๆ และเวลาที่เซี่ยเฟยตอบกลับมาก็ตรงกับประวัติที่สำนักได้บันทึกเอาไว้ มันจึงทำให้เขารู้สึกมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองมากยิ่งขึ้น
“หลังจากที่ฉันได้ทำการสืบสวนมาฉันได้ข้อสรุปว่านายน่าจะเป็นทายาทของเงาโลหิตซึ่งเคยเป็นศิษย์ระดับสูงในสำนักของเรามาก่อน แต่เขาได้ทำการหลบหนีออกไปจากสำนักแห่งนี้และปรากฏตัวครั้งสุดท้ายภายในภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่” เงากระเรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง เพราะใครจะไปคิดว่าจู่ ๆ คนพวกนี้จะมายัดเยียดบรรพบุรุษให้กับเขา
มันคงจะไม่มีใครอยากจะเปลี่ยนบรรพบุรุษของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ และถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างแต่เขาก็ยังคงแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกสนใจในเรื่องนี้เลย
‘เงาโลหิต? ศิษย์ในสำนัก?’ เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเองภายในใจและทันใดนั้นมันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
***************
จะใช้ประโยชน์อะไรอีกใช่ไหมพี่เฟย?