บทที่ 222: แม่กวางเสียสติ
“อะไรนะ ไม่มีแม้แต่คนเดียวรึ!?” ดวงตาที่หรี่ลงของหลางซัวเบิกกว้างในทันที และเขาก็ผุดลุกขึ้นยืน
บัดนี้สีหน้าเกียจคร้านเปลี่ยนไปกลายเป็นสีหน้าที่เหลือเชื่อ
“เจ้าแน่ใจหรือว่านั่นคือเผ่าที่เรากำลังหมายตาอยู่?”
ภูตหมาป่าผู้มารายงานข่าวตกใจกับเสียงแหลมสูงของคนเป็นหัวหน้า และตอบด้วยเสียงสั่นสะท้าน
“ใช่ หัวหน้า ข้าแน่ใจว่าเป็นเผ่านั้น พวกมันไม่มีคนคอยคุ้มกันเลย”
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการสำรวจจากระยะไกล แต่เขาก็เห็นทุกอย่างรอบ ๆ เผ่าได้ชัดเจน เขาพบว่าไม่มีภูตเดินลาดตระเวนอยู่รอบเผ่าเลย
ไม่มีแม้แต่รอยเท้าบนพื้นด้วยซ้ำ!
เขาแน่ใจว่าภูตของเผ่านั้นไม่ออกมาจากที่ซ่อนตั้งแต่หิมะตก
“หึ ๆๆ” หลางซัวหัวเราะเบา ๆ หลังจากความประหลาดใจที่ฉายอยู่บนใบหน้าของเขาหายไป จากนั้นเขามองออกไปนอกถ้ำอย่างแน่วแน่
“อูหลิว ดูเหมือนว่าเผ่านี้จะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เจ้าพูด เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่หลางเมี่ยได้รับบาดเจ็บ” น้ำเสียงที่ชายหนุ่มเปล่งออกมามีแต่ความดูถูกดูแคลน
เนื่องจากฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงมากที่สุดในการถูกภูตต่างเผ่าปล้น ซึ่งเผ่านี้ไม่มีแม้แต่คนคอยป้องกันเลย
สรุปแล้วพวกมันไม่มีกำลังพอหรือไม่มีสมองกันแน่?
ยามนี้อูหลิวยืนเงียบ ๆ อยู่ที่มุมถ้ำราวกับวิญญาณ โดยที่ร่างกายของเขาถูกปกคลุมด้วยเงามืด มีเพียงดวงตาสีเขียวเข้มคู่หนึ่งเท่านั้นที่ยังขยับ
เมื่อชายชราได้ยินคำพูดของหลางซัว ริมฝีปากเหี่ยวย่นของเขาก็กระตุก 2 ครั้ง
“ท่านหัวหน้า อย่าประมาทศัตรู—”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบประโยค เขาก็ถูกผู้นำสูงสุดของเผ่าขัดจังหวะ
“ที่นั่นเป็นเพียงเผ่าเล็ก ๆ อูหลิว เจ้าคิดมากเกินไป”
“ท่านหัวหน้า…” เสียงของชายสูงวัยแหบแห้งพลางหลุบตาลงต่ำ
ขณะนี้หลางซัวนิ่งเงียบไป และจู่ ๆ แววตาของเขาก็ว่างเปล่าไปชั่วครู่ แต่ในไม่ช้าเขาก็กลับมาเป็นปกติ
ต่อมา ชายหนุ่มโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เอาล่ะ รอให้พายุหิมะหยุดก่อนค่อยบุกโจมตี เข้าใจไหม?”
หลังจากพูดจบเขาก็เอนกายลงบนก้อนหินแบบเกียจคร้านประหนึ่งว่าเขากำลังยุ่งแล้วไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวอีก
หลางซัวทำตัวปกติเหมือนนี่เป็นแค่การไปกินข้าวบ้านเพื่อนเท่านั้น
ในครั้งนี้เขาตัดสินใจบุกจู่โจมเผ่าที่เป็นเป้าหมายเพื่อปล้นสิ่งของเล็ก ๆ ทว่ามีค่า ‘มหาศาล’
ขณะเดียวกัน อูหลิวไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก เขาทำเพียงแค่ถอนหายใจเบา ๆ
...
ณ ถ้ำหลังเผ่า
ปัจจุบันเหล่าภูตชายใช้หินปิดกั้นทางเข้าถ้ำจนเหลือเพียงช่องไว้ระบายอากาศเล็กน้อยเท่านั้น
เนื่องจากข้างนอกมีพายุหิมะตกหนัก เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นเพียงเกล็ดหิมะสีขาวพัดกระหน่ำลงมานับไม่ถ้วน แล้วมันก็ปกคลุมช่องระบายอากาศอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าเผ่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งภูตไปเฝ้าทางเข้าถ้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ทางเข้าถูกปิดจนไม่มีรูระบายอากาศ มิฉะนั้นภูตที่อยู่ภายในจะขาดอากาศหายใจตายกันหมด
เนื่องจากทุกคนที่อยู่ในถ้ำเป็นผู้ชาย จึงไม่มีใครลำบากกับการที่ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ ยกเว้นครอบครัวของลู่หลีที่ปลีกตัวไปนั่งอยู่เพียงลำพังในโถงถ้ำแห่งหนึ่ง ส่วนภูตคนอื่น ๆ อาศัยอยู่รวมกันในโถงถ้ำขนาดใหญ่โดยมีคนประมาณสิบกว่าคน
อีกทั้งแต่ละคนนำเสบียงอาหารติดตัวมาด้วย ทำให้พวกเขาสามารถหยิบมันออกมากินได้ทุกเมื่อหากรู้สึกหิว
ผู้อาวุโสของเผ่าเองก็อาศัยอยู่ในถ้ำรวมกับภูตชายคนอื่นเช่นกัน
หลังจากผ่านวันที่วุ่นวาย ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มมืดลง จากนั้นเหล่าภูตทั้งหลายก็หยิบอาหารออกมากินกันทีละคน
“ท่านผู้เฒ่า…”
เมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งเห็นว่าผู้นำสูงสุดของเผ่ายังคงทำตัวนิ่งเฉยอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอนตัวไปถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“เราไม่จำเป็นต้องลาดตระเวนนอกเผ่าจริง ๆ หรือ? ถ้าจู่ ๆ กลุ่มภูตหมาป่าบุกโจมตี เราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ”
ปัจจุบันยกเว้นหวงเยว่กับเป้าเฟิง เกือบทุกคนในเผ่ารู้เกี่ยวกับการคุกคามของภูตเผ่าหมาป่าแล้ว
ยามนี้คนเป็นหัวหน้าเผ่ากัดเนื้อรมควันในมือของเขา ก่อนจะเคี้ยวและกลืนมันอย่างช้า ๆ จากนั้นเขามองไปที่ภูตหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์และมีพลังที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตน
“กลุ่มภูตหมาป่าสามารถส่งภูตมากกว่าร้อยตัวไปซุ่มโจมตีพวกหูเฉียงได้อย่างง่ายดาย เจ้าคิดว่าการส่งภูต 2-3 คนออกไปลาดตระเวนจะสามารถหยุดพวกมันได้หรือไม่?”
“ไม่ต้องพูดถึงการส่งคนออกไปไม่กี่คนเลย ต่อให้ข้าส่งพวกเจ้าไปทั้งหมด พวกเจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะศัตรูกลุ่มเล็ก ๆ ได้อยู่ดี”
น้ำเสียงของชายสูงวัยนั้นราบเรียบ แต่สิ่งที่เขาพูดกลับเสียดแทงหัวใจของทุกคน
ชายหนุ่มเจ้าของคำถามชะงักไปครู่หนึ่ง
ดูเหมือนว่าจะเป็นดังที่อีกฝ่ายกล่าว...
“แต่เราจะรอให้พวกมันโจมตีเผ่าของเราก่อนหรือ?” ภูตชายคนเดิมเกาหัวเพราะเขายังคงไม่เข้าใจ
หัวหน้าเผ่าหรี่ตามองคนถามพลางตอบว่า “อืม รอก่อน”
“ท่านผู้เฒ่า หากกับดักที่หูเจียวเจียวตั้งไว้ใช้ไม่ได้ผล เราก็ถึงฆาต” เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้ยังไม่เลิกกังวล
จากนั้นเขากวาดตาไปรอบ ๆ เพื่อมองดูภูตที่กำลังกินเนื้อรมควันอย่างใจเย็น และเห็นว่าไม่มีคนไหนเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์ของเผ่าเลย
ทุกคนเลิกดิ้นรนเอาชีวิตรอดกันแล้วหรือไง?
“ข้างนอกมันหนาวเย็นมาก ก่อนที่ภูตหมาป่าจะมาถึง ภูตที่ลาดตระเวนจะแข็งเป็นน้ำแข็งตายไปเสียก่อน หรือจะให้ข้าส่งเจ้าไป?”
“ข้า…” พอภูตหนุ่มได้ฟังอย่างนี้ เขาก็คิดว่าหัวหน้าเผ่ากำลังทดสอบตนเอง ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นพร้อมตอบตกลงทันที
ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาก็ถูกใครบางคนตบไหล่และบังคับให้นั่งลง
แล้วคนคนนั้นก็ฉวยโอกาสนี้ยัดเนื้อรมควันชิ้นหนึ่งใส่มือชายหนุ่มปากมากด้วย
“เจ้าเด็กโง่ ทำตัวสบาย ๆ กินอะไรสักหน่อยเถอะ ถ้าอิ่มแล้วเจ้าจะได้มีแรงต่อสู้กับฝูงภูตหมาป่า”
ขณะที่ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าพูด เขาก็ใส่เนื้อรมควันเข้าไปในปากของเขา พร้อมกับส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายกินมัน
ภูตหนุ่มที่ถูกห้ามปรามไว้จึงกัดเนื้อกินเหมือนคนโดนสะกดจิต
ไม่นานผมบนศีรษะของเขาก็ลุกชันขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ในสภาวะตึงเครียดทางจิตใจอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง หูชิงเกาที่เดินผ่านมาเห็นฉากนี้ก็หัวเราะพลางตบไหล่เขา “ไอ้หนู อย่ากังวลไปเลย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะทำให้ตัวเองตกใจตายก่อนที่ภูตหมาป่าจะมาถึง”
ถ้าจิ้งจอกหนุ่มจำไม่ผิด เด็กคนนี้น่าจะเป็นภูตแมว
เมื่อชายหนุ่มเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและรอยยิ้มมีเสน่ห์ของหูชิงเกา หูของเขาก็แดงระเรื่อ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเหมือนถูกอีกคนสะกดจิตซ้ำ ๆ
ขณะเดียวกัน ข้างนอกถ้ำก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” หัวหน้าเผ่าขมวดคิ้ว พลางหันไปถามพวกภูตที่อยู่ด้านนอก
“ท่านผู้เฒ่า เป็นแม่ของลู่หลี นางก่อกวนทุกคนเพื่อหาอาหารกินข้างนอก” ภูตชายคนหนึ่งอธิบายอย่างรวดเร็ว
เมื่อหูชิงเกาได้ยินว่ามันเป็นแม่กวางเฒ่า ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“ผู้หญิงคนนี้ นางยังกล้ามาสร้างปัญหาในถ้ำอีก ท่านผู้เฒ่า ข้าจะโยนนางออกไปให้อยู่ท่ามกลางหิมะสัก 2-3 วัน แล้วดูว่านางจะยังกล้าสร้างปัญหาอีกหรือไม่”
ชายสูงวัยยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้จิ้งจอกหนุ่มไม่ต้องกังวล
“ข้าจะไปดูเอง”
เขาพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำ
ภายในถ้ำแห่งนี้มีทางเชื่อมอยู่มากมาย แล้วเส้นทางนั้นก็พาไปยังโถงถ้ำน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนหูชิงเกาเดินติดตามประมุขของเผ่าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเดินในทางคดเคี้ยวสักพักหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นหญิงชรากำลังนอนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น
ก่อนหน้านี้ลู่หลีของนางกินเนื้อชิ้นสุดท้ายของครอบครัวไปหมดแล้ว เสบียงของนางที่เหลืออยู่จึงมีเพียงส้มโอที่ทางหัวหน้าเผ่ามอบให้กับพวกภูตหญิงโดยเฉพาะ ดังนั้นพวกนางจึงยังพอมีเสบียงหลงเหลือให้กินในฤดูหนาวได้ชั่วขณะหนึ่ง
แต่ภูตในถ้ำกำลังกินเนื้อรมควันกันอย่างเอร็ดอร่อย แล้วนางที่มีเพียงส้มโออย่างเดียวจะกินอร่อยได้อย่างไร?
ปัจจุบันนางกำลังหิวโหยมาก
ยามนี้ลู่หลีกินอิ่มแล้วจึงหลับอยู่ในถ้ำ ส่วนพ่อกว่างเฒ่าก็คอยเฝ้าส้มโอไว้ไม่ยอมห่าง ซึ่งผู้ชายในบ้านทั้ง 2 คนพึ่งพาไม่ได้ ลู่มู่จึงตัดสินใจออกมาขออาหารคนอื่นกิน
“ข้าไม่สน! เจ้ามีเนื้อตั้งเยอะแยะ เจ้าควรแบ่งมันให้ข้าบ้าง…” หญิงชราตะโกนลั่นขณะกลิ้งไปมา
“ถ้าเจ้าไม่ให้เนื้อข้า ข้าก็จะไม่ยอมไปไหน ถ้าเจ้ายังใจจืดใจดำได้อีก ก็รอดูจนกว่าข้าจะอดตายไปเลย!”
แน่นอนว่าภูตที่อยู่ด้านข้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง
เนื่องจากภูตชายไม่สามารถทำอะไรกับภูตหญิงได้มากนัก ตอนนี้ผู้ชายคนหนึ่งถูกดึงชายกระโปรงหนังสัตว์จนไม่สามารถหนีไปได้
“อะแฮ่ม!”
จังหวะนั้นเอง หัวหน้าเผ่าจงใจกระแอมเสียงดัง และภูตทั้งหมดก็หันไปมองเขาเป็นตาเดียว
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ปวดหัวกับแม่กวางนี่จริง ๆ ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่ว เฮ้อ