ตอนที่ 25 เซียฮูผู้นำของเคราโลหิต
“หาที่หลบฝนก่อน!”
ชายคนหนึ่งที่มีหนวดเคราสีแดงราวกับสีของเลือดพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เฉยเมย
“บอกทุกคนห้ามดื่มน้ำฝนเข้าไปเด็ดขาด! หากเผลอกินมันเข้าไปแล้วเป็นบ้าขึ้นมา อย่าได้กล่าวโทษข้าแล้วกัน เพราะมีดของข้ามันไม่รู้จักใครหน้าไหนทั้งสิ้น”
“รับทราบ”
เหล่าโจรที่อยู่รอบๆ ขานรับด้วยความเคารพ
ชายผู้นี้คือเซียฮู เขามีเครายาวสีแดงเหมือนเลือด แม้แต่เส้นผมก็ยังเป็นสีแดงเหมือนเลือดด้วยเช่นเดียวกัน
ตัวสูงใหญ่ถึง 1.9 เมตร ขนาดตัวเท่ากับผู้ชายตัวใหญ่สองคนยืนประกบกัน
และอย่าได้เผลอไปสบตากับคนผู้นี้เชียว เพราะอารมณ์ของเขาแปรปวนอย่างมาก
ส่วนใหญ่อารมณ์ของเขานั้นจะดูโมโหตลอดเวลา และใครทำให้ชายผู้นี้โมโหจะถูกเขาทรมานก่อนจะถูกฆ่าทิ้ง
“ส่งสายของเราออกไป และระวังพวกสัตว์อสูรด้วย”
“รับทราบ”
พวกสมาชิกกลุ่มเคราโลหิตรีบมองหาที่หลบฝน ก่อนที่จะเห็นหน้าผาที่ลาดเอียง พอเป็นที่กำบังได้
สมาชิกของกลุ่มเคราโลหิตกว่า 200 ชีวิตเข้าไปยืนเบียดเสียดกันใต้หน้าผานี้ เพื่อจะรอให้พายุฝนนี้ผ่านไป
“ท่านหัวหน้า….ที่จริงงานนี้หัวหน้าไม่ต้องมาเองก็ได้นะครับ แค่ค่ายเล็กๆ ข้านำกำลังคนออกไปจัดการได้”
เยี่ยฉ่ายพูดขึ้นอย่างมั่นใจ และตบมือลงไปบนอกของเขา
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่หัวหน้าหน่วยของกลุ่มเคราโลหิต และเป็นผู้กลายพันธ์อีกด้วย
ทำให้เขามีความมั่นใจสูงมาก
“บางสิ่งบางอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น….”
เซียฮูนั้นพูดขึ้นพร้อมกับลูบเคราของเขา แต่ในแววตาของเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
เขาไม่รู้จักค่ายเล็กๆ นี้มาก่อน
เซียฮูเป็นคนที่ขี้ระแวงมาก มีไม่กี่คนที่เขาไว้ใจ และแม้แต่หัวหน้าหน่วยเซียฮูก็ไม่ไว้ใจด้วยเหมือนกัน
ทำให้เขาไม่กล้าปล่อยให้หัวหน้าหน่วยพากำลังคนออกมาเองเพียงลำพัง เขากลัวว่าหัวหน้าหน่วยจะหักหลังและเอากำลังคนของเขาไป
ที่เซียฮูกลัวแบบนี้เพราะมันเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง
ในตอนนั้นเขาเสียกำลังคนไปมากถึง 400 คน ซึ่ง ณ เวลานั้นกลุ่มเคราโลหิตมีคนมากถึงพันคน
เซียฮูนำกำลังคนออกมาแค่ 200 คน ซึ่งไม่ต่างจากกองกำลังส่วนตัว
“หรือว่าที่หัวหน้าออกมาเองแบบนี้ เพราะที่ค่ายนั้นมีคนที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่?”
เยี่ยฉ่ายนั้นแสยะยิ้มก่อนจะเลียไปที่มุมปากอย่างชั่วร้าย เพราะเขาอยากจะฆ่าพวกที่เก่งๆ
“ผู้นำของค่ายนี้ก็พอมีความสามารถอยู่”
เซียฮูตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไร
“งั้นหัวหน้า!! ให้ข้าจัดการผู้นำของค่ายนี้ละกัน!!
เยี่ยฉ่ายพูดขึ้นอย่างกระตืนรือร้น
“เอาเลย แกอยากจะทำอะไรก็ทำ หรืออาละวาดแค่ไหนก็เชิญ”
เซียฮูโบกมืออย่างกับไม่สนใจสิ่งที่เยี่ยฉ่ายพูด
สิ่งที่เขาต้องการคือพวกผู้ชายที่แข็งแรง และพอจะมาเป็นกำลังให้กลุ่มของเขาได้
นี่คือสิ่งที่ทำให้กลุ่มเคราโลหิตนั้นเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น โดยไม่สนใจเรื่องความสมัครใจ
เพราะตราบใดที่เซียฮูควบคุมเรื่องน้ำและอาหารอยู่ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะขัดคำสั่งของเขา
“ตรงนั้นมีสัตว์อสูรอยู่ด้วย!”
มีคนร้องตะโกนขึ้นอย่างตกใจ
เซียฮูก้าวออกไปข้างหน้าและจับหัวคนที่ร้องตะโกนออกมา และตะคอกใส่
“ไหน!! สัตว์อสูรอยู่ตรงไหน!!”
“บ–บ–บนกำแพง….ตรงนั้น!!!”
ชายคนนั้นรีบชี้ไปทางกำแพงหินด้านข้าง
เซียฮูผลักชายคนนั้นล้มลงกับพื้น และหันไปมองยังกำแพงหิน สิ่งที่เขาเห็นคือแมงมุมตัวใหญ่สีแดงที่มีรูปหน้ากระโหลกบนหลังของมัน มันห้อยตัวอยู่สูงจากพื้นดิน 10 เมตรได้
“กับอีแค่แมงมุม ตะโกนร้องลั่นสะตกใจไปหมด!!”
เยี่ยฉ่ายเองก็ต่อว่าชายคนนี้ด้วย
เขาแสยะยิ้มอย่างดูถูก
“ในเมื่อแกกลัวมันมาก งั้นเดี๋ยวข้าจัดการมันให้เอง!!”
เยี่ยฉ่านั้นหยิบก้อนหินขึ้นมาก่อนที่จะปาออกไปสุดแรง แต่เซียฮูคว้าก้อนหินกลางอากาศได้ทันก่อน
“ห-หัวหน้า…”
เยี่ยฉ่ามองด้วยสายตาที่สงสัย
เซียฮูหรี่สายตาลงเล็กน้อย และมองไปยังแมงมุมหน้าผีตัวนี้
ก่อนที่เขาจะส่ายหัว และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“แมงมุมตัวนี้มันแปลกๆ อย่าไปยุ่งกับมัน”
สัตว์อสูรบางชนิดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ไม่ควรไปยุ่งด้วยอย่างยิ่ง เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตรงนั้นจะเป็นรังของมันรึเปล่า
“แปลก?”
เยี่ยฉ่ายเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง แต่เวลานี้แมงมุมได้หายไปแล้ว
ตัวของเขาอดไม่ได้ที่จะขนลุก ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“มันแปลกจริงๆ ด้วย”
………
ที่อีกฝั่งหนึ่งของเนินเขา
มู่เหลียงพึ่งจะได้รับการติดต่อมาจากแมงมุมผีแดง ทำให้มู่เหลียงชะงักไปสองสามวินาที ก่อนที่เขาจะได้สติกลับมาอีกครั้ง
สิ่งที่แมงมุมผีแดงบอกมาคือกลุ่มโจรเคราโลหิตอยู่ที่เนินเขาอีกฝั่ง
“มันจะบังเอิญเกินไปไหม?”
มู่เหลียงพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
จากที่เขาคำนวณแล้ว เขาคิดว่าสองคนที่กลับไปแจ้งข่าวจะถึงประมาณเที่ยงวัน ไม่คิดว่าจะกลับไปรวมกลุ่มเร็วขนาดนี้
“อะไร…มีอะไรบังเอิญงั้นหรอ?”
มินโฮถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ตอนนี้พวกโจรมันอยู่อีกฝั่งของเนินเขาลูกนี้”
มู่เหลียงชี้ไปยังอีกฝั่งของเนินเขา
“แล้วแบบนี้พวกมันจะหาเราเจอไหม!?”
มินโฮพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล
“ตอนนี้ฝนยังตกอยู่ พวกมันยังคงไม่ทำอะไร”
มู่เหลียงส่ายหัวและตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“มู่เหลียง….นายจะไปขโมยของพวกโจรจริงๆ งั้นหรอ”
มินโฮเม้มริมฝีปาก เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของมู่เหลียง
และพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
“อย่าไปเลยนะ….มันอันตราย”
“ไม่ต้องห่วง ฉันสามารถล่องหนได้!”
มู่เหลียงตอบก่อนที่ร่างของเขาจะเลือนหายไปต่อหน้ามินโฮ
“เอ๊?!?!!”
มินโฮถึงกับนัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ก่อนที่จะสะดุ้งพรวดขึ้นและหันมองไปรอบๆ ก่อนที่มินโฮจะรู้สึกว่ามือของเธอถูกจับเอาไว้ และยกขึ้นมาตรงหน้าเธอ
มู่เหลียงที่กุมมือเด็กสาวอยู่ก็พูดขึ้นเบาๆ
“เห็นไหม…ไม่ต้องเป็นห่วง”
“งั้นพาฉันไปด้วยได้ไหม!”
มินโฮถามพร้อมกับทำตาปริบๆ
“ไม่ได้ มินโฮต้องอยู่บ้าน”
มู่เหลียงปล่อยมือของมินโฮก่อนที่จะดีดหน้าผากของเด็กสาวเบาๆ
ตัวคนเดียวเขาสามารถเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ แต่หากเขาพามินโฮไปด้วย เขาก็กลัวเธอจะเป็นอันตราย
“ให้ฉันช่วยแบกของก็ได้”
มินโฮพยายามตื๊อตามไปให้ได้ และทำท่าทางออดอ้อน
“ไม่ต้อง ข้าให้เสี่ยวไกช่วยแบกของได้”
มู่เหลียงบีบไปที่แขนของมินโฮเบาๆ
“โถ่!! ปล่อยเลยนะ”
มินโฮนั้นหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที พร้อมกับทำท่าทางสะดีดสะดิ้ง และคว้าแขนของมู่เหลียงเอาไว้
“ถ้ามินโฮไปด้วย ใครจะเฝ้าบ้านละ”
มู่เหลียงพูดขึ้นก่อนที่จะกระซิบเบาๆ
“ไม่กลัวว่าจะมีคนมาขโมยของในห้องตัวเองหรอ?”
มินโฮส่ายหัวทันทีก่อนจะตอบอย่างฉาดฉาน
“เรามีเต่าทมิฬน้อยไม่ใช่หรอ!”
“ถ้าเราไปกันหมดแล้วใครจะดูแลที่นี่หละ”
มู่เหลียงจึงพูดสร้างสถานการณ์ที่เลวร้ายให้มินโฮฟัง
“หากมีพวกโจรปีนขึ้นมาบนหลังของเต่าทมิฬล่ะ”
มู่เหลียงคลายลอบเร้น ก่อนที่จะเอานิ้วแตะไปที่ปลายจมูกของเด็กสาว
“มินโฮอยู่เฝ้าบ้าน ฉันจะสบายใจมากเลยหละ”
หากว่าหินบนหลังของเต่าทมิฬหยุดพวกโจรไม่ได้ขึ้นมา เขาจะสั่งให้เต่าทมิฬสร้างโดมหินคลุมทั้งบ้านเอาไว้
“เข้าใจแล้ว…งั้นฉันจะเฝ้าบ้านให้”
มินโฮทำหน้ามุ่ย ก่อนจะตอบรับ
เด็กสาวรู้ว่าเธอไม่ควรทำตัววุ่นวายไปมากกว่านี้ เพราะมันจะสร้างความลำคาณให้กับมู่เหลียง
“แต่ไม่ต้องห่วงมินโฮฉันไม่ให้เธออยู่เฝ้าบ้านเฉยๆ แน่….มินโฮจะต้องหัดเย็บเสื้อผ้า”
มู่เหลียงพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี จากการกระทำของเด็กสาวทำให้เขาได้ความคิดนี้ขึ้น
“แล้วเย็บเสื้อผ้ามันทำยังไง”
มินโฮถามขึ้นพร้อมกับเอียงหัวด้วยความสงสัย แม้แต่หูกระต่ายของเธอก็แสดงออกด้วยเช่นเดียวกัน
เด็กสาวไม่รู้จักการเย็บถักปักร้อย ที่ผ่านมาพี่สาวของเธอเป็นคนเย็บเสื้อให้ตลอด
“มาเดี๋ยวฉันสอนให้….อย่างแรกก็ต้องวัดขนาดตัวก่อน แล้วก็เอาไปวาดลงบนผ้า”
มู่เหลียงเอาชุดลายพรางที่แห้งแล้วมากางให้เด็กสาวดู พร้อมกับอธิบายการเย็บผ้า และรูปแบบต่างๆ
“และนี้ หากว่ามินโฮทำแบบนี้ มันก็จะกลายเป็นแบบนี้…”
“เอ๊ะ…น่าเสียดาย”
มินโฮแสดงสีหน้าไม่พอใจอีกครั้ง เมื่อเห็นมู่เหลียงตัดเสื้อลายพราง
แต่มู่เหลียงไม่สนใจและสอนต่อไป
“แล้วถ้าทำแบบนี้….เราก็จะเย็บมันกลับเข้ามาเป็นเหมือนเดิมได้ และเราก็มัดปมตรงนี้เพื่อไม่ให้ด้ายหลุดออกจากตัวผ้า”
“เอ๊!! มันทำแบบนี้ได้ด้วยหรอ!”
มินโฮดูแปลกใจมาก
“ฉันต้องการทำกางเกงขาสั้น ไม่ต้องถามว่าทำไปทำไม เอาเป็นว่าฉันต้องใช้”
มู่เหลียงพูดจบเขาก็เริ่มวาดแบบลงบนผ้า
“เดี๋ยวฉันวาดแบบให้ แล้วทำรอยเอาไว้….มินโฮแค่เย็บตามรอยก็พอ…ตกลงนะ”
ที่จริงมู่เหลียงไม่รู้เรื่องการเย็บผ้าเท่าไร
แต่เขาอาศัยมองแบบจากเสื้อผ้าของตัวเอง และเอามาอ้างอิง ซึ่งมันก็พอที่จะเป็นแบบเย็บให้ได้
และเขาเองต้องการเข็มเพิ่มเอาไว้ทำงานถักเย็บด้วย
ในเมื่อฝนยังไม่หยุด เขาก็ยังมีเวลาอยู่ มู่เหลียงจึงเอามีดกระดูกออกมาและกระเทาะมัน
เอาเศษกระดูกที่แตกออกมา นำไปฝนให้กลายเป็นเข็ม และใช้ใยแมงมุมที่เขาสร้างขึ้นเป็นด้าย