ตอนที่ 227 ค้นประวัติ
ตอนที่ 227 ค้นประวัติ
ปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนยังไม่สามารถแก้ปริศนาได้ เพราะเซี่ยเฟยไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักแต่เขากลับเชี่ยวชาญทั้งวิชาพรางจิตและวิชาเล่ห์สังหาร ซึ่งเป็นวิชาสำหรับศิษย์ระดับสูงของสำนักเท่านั้น และถ้าหากว่าชายหนุ่มไม่ได้ฝึกฝนวิชาทั้งสองมานานหลายปี มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฝึกฝนจนมีความเชี่ยวชาญมากขนาดนี้
สำนักเงาสังหารคอยควบคุมวิชาทั้งสองอย่างเข้มงวด ซึ่งนักฆ่าที่ได้รับเลือกให้เรียนวิชาทั้งสองนี้จะต้องคอยรับใช้สำนักไปตลอดชีวิต และมีเพียงแค่ความตายที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นผู้มีอิสระ
เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้มันก็ไม่มีทางที่เซี่ยเฟยจะได้รับการสั่งสอนจากลูกศิษย์ในสำนักอย่างแน่นอน และมันก็จะต้องมีบุคคลภายนอกที่สอนวิชาทั้งสองให้กับชายหนุ่ม
หากเรื่องราวเป็นไปแบบนั้นจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะรุนแรงสำหรับสำนัก เพราะวิชาระดับสูงประจำสำนักกำลังแพร่กระจายในโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ ซึ่งปัญหาวิชารั่วไหลนี้ก็น่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักเลย
ไม่มีใครสงสัยอันธเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกคนรู้ดีว่าอันธเสียชีวิตลงไปแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงมันก็ไม่มีใครเอะใจคิดว่าอันธจะกลายเป็นวิญญาณตามติดที่ถ่ายทอดวิชาให้กับชายหนุ่ม
ชายชราทั้งสี่ต่างก็ขมวดคิ้วและแม้แต่เงากระเรียนที่มีชีวิตมาอย่างยาวนานก็กำลังใช้นิ้วนวดขมับด้วยความสับสน
“พาเซี่ยเฟยออกไปพักผ่อนก่อน พวกเราขอหารือกันสักพัก” เงากระเรียนกล่าว
เมื่อได้รับคำสั่งเหล่านักฆ่าเดนตายที่เฝ้าประตูก็พาเซี่ยเฟยไปพักยังบ้านที่อยู่ห่างไกล เหลือเพียงแต่เงากระเรียนและผู้อาวุโสทั้งสามที่อยู่ภายในห้อง
“อาจารย์ปู่ทวด พวกเราควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีครับ?” เงาประกายเงินกล่าวถาม
“ฉันพอจะคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่ขอฉันกลับไปตรวจสอบเรื่องนี้ก่อน ช่วงนี้อย่าพึ่งไปทำอะไรให้เซี่ยเฟยรู้สึกลำบากใจ” เงากระเรียนกล่าว
หลังจากนั้นชายชราร่างเล็กก็ลุกยืนขึ้นเดินออกไปจากห้อง ซึ่งผู้อาวุโสประจำสำนักทั้งสามก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตัวเอง
เงากระเรียนเดินขึ้นไปตามบันไดหินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และเมื่อเทียบกับบรรยากาศอันอบอุ่นบริเวณเชิงเขาแล้วสถานที่แห่งนี้ก็เหมือนกับจะต้องเผชิญหน้ากับฤดูหนาวที่รุนแรงตลอดเวลา
ความเป็นจริงการอาศัยอยู่บนยอดเขาเป็นเรื่องที่ทรมานมาก เพราะผู้อยู่อาศัยด้านบนนี้จะต้องเผชิญกับอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี ส่วนเหตุผลที่ผู้ก่อตั้งสำนักเงาสังหารสั่งการให้ศิษย์ระดับต่ำอาศัยอยู่ชั้นล่างก็เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาค่อย ๆ ไต่ลำดับขึ้นมาบนชั้นบนอากาศก็จะยิ่งหนาวเย็นมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันเป็นการบอกลูกศิษย์ทุกคนเป็นนัย ๆ ว่าการมีระดับที่สูงมากขึ้นก็จำเป็นจะต้องแบกความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเช่นเดียวกัน
แม้ว่าเงากระเรียนจะแก่แล้วแต่เขาก็สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วไม่แพ้คนหนุ่มสาว มันจึงทำให้ถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะไม่สามารถจะสร้างปัญหาอะไรให้กับเขาเลย
พื้นที่ชั้น 11 และ 12 ไม่มีผู้พักอาศัยทำให้พื้นที่ทั้งสองชั้นนี้ถูกใช้เป็นที่เก็บหนังสือโบราณและของมีค่าของสำนัก แต่เงากระเรียนก็ไม่ได้หยุดยังพื้นที่ทั้งสองแห่งนี้แต่ยังคงมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ชั้น 13
หากพื้นที่ชั้น 11 และ 12 เป็นพื้นที่ต้องห้ามที่เก็บของล้ำค่าเอาไว้อย่างมากมาย พื้นที่ชั้น 13 ที่เงากระเรียนอาศัยอยู่ก็เป็นพื้นที่ต้องห้ามมากยิ่งกว่า เพราะพื้นที่ชั้นนี้เป็นพื้นที่หวงห้ามที่แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามก็ไม่สามารถจะเข้ามาได้ ที่สำคัญคือพื้นที่แห่งนี้คือที่เก็บความลับที่สำคัญที่สุดของสำนักเงาสังหารเอาไว้
เงากระเรียนยืนอยู่บนลานชั้น 13 พร้อมกับถอนหายใจ โดยสายตาของเขายังคงจับจ้องมองไปยังผืนป่าอันเขียวชอุ่มและแม่น้ำใสที่อยู่ด้านล่าง
หิมะบนท้องฟ้าตกลงมาไม่หนักมากนัก แต่มันก็ตกลงมาไม่หยุดตลอดทั้งปีทำให้พื้นที่บนชั้น 13 แห่งนี้มีอุณหภูมิต่ำสุดถึง -50 องศาเซลเซียส
ที่จริงพื้นที่ชั้น 13 ยังห่างจากยอดเขาประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งพื้นที่ชั้นสุดท้ายมีทางหินคดเคี้ยวขึ้นไป แต่เนื่องจากไม่มีใครมาคอยทำความสะอาดเส้นทางนี้จึงจมอยู่ใต้หิมะและทำให้คนไม่คุ้นเคยไม่มีทางจะสังเกตเห็นเส้นทางไปยังพื้นที่ชั้นที่ 14 ได้เลย
เงากระเรียนเดินผ่านเส้นทางที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะพร้อมกับมองดูวิวทิวทัศน์ในระยะไกล
หลังจากเดินขึ้นภูเขาไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ในที่สุดชายชราก็ได้เดินมาถึงประตูชั้นสุดท้ายของสำนัก ซึ่งหลังจากที่เขาได้เดินผ่านประตูเข้ามาภาพที่ปรากฏก็คือลานหินที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทำให้ไม่มีหิมะเกาะอยู่บนลานหินแห่งนี้เลย
บนลานหินมีชายชราหัวล้านกำลังกวาดหิมะภายในลานด้วยไม้กวาดทางมะพร้าว แต่การเคลื่อนไหวของเขาค่อนข้างที่จะแปลกมากคล้ายกับว่าเขาสามารถทิ้งน้ำหนักลงขาได้เพียงแค่ข้างเดียว
ด้วยร่างกายที่พิการมันก็ยากจะจินตนาการว่าชายชราหัวล้านคนนี้จะสามารถทำความสะอาดลานกว้างได้ด้วยตัวคนเดียวจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังดูแลพื้นที่ชั้นนี้เป็นอย่างดีทำให้แม้แต่ประตูกับหน้าต่างก็ยังไม่มีเศษหิมะเกาะเลยแม้แต่นิดเดียว
เทคโนโลยีในจักรวาลพัฒนาจากเดิมไปไกลทำให้มีวิธีกำจัดหิมะอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องเป่าลมร้อนหรือเครื่องเป่าหิมะอัตโนมัติที่ใช้งานง่ายกว่าไม้กวาดทางมะพร้าวมาก แต่ชายชราคนนี้ก็ยังคงเลือกใช้เครื่องมือที่ยุ่งยากคอยปัดกวาดทุกอย่างอย่างอดทน
เงากระเรียนค่อย ๆ เดินไปหาชายชราหัวล้านด้วยความเคารพ ก่อนที่เขาจะโค้งคำนับเบา ๆ และกล่าวขึ้นมาว่า
“เรียนศิษย์พี่ ‘เงาสูญ’ ผมมีเรื่องต้องตรวจสอบในตำหนักเก็บคัมภีร์ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่พอจะมีเวลาว่างหรือไม่ครับ?”
ศิษย์พี่?
เงากระเรียนมีอายุมากกว่าพวกเงาประกายเงินถึงสามรุ่น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักเงาสังหารทำให้ศิษย์ในสำนักทุกคนคิดเสมอว่าเขาคือบุคคลที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในสถานที่แห่งนี้ และมันคงจะไม่มีใครเคยจินตนาการว่าบนลานเล็ก ๆ บริเวณยอดเขาจะมีศิษย์พี่ของเงากระเรียนอาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ!
หากเงาสูญเป็นศิษย์พี่ของเงากระเรียนจริง ๆ แล้วทำไมเขาถึงไม่รับตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่กลับมาคอยทำความสะอาดลานลึกลับบนยอดเขาแห่งนี้เพียงคนเดียว?
ชายชราที่ชื่อเงาสูญค่อย ๆ หันศีรษะมองไปทางเงากระเรียน แต่ภายในแววตาของเขาเต็มไปด้วยต้อสีขาวซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าชายชราคนนี้เป็นคนตาบอด
ชายชราขาพิการและตาบอดทำความสะอาดลานบนชั้น 14 ตัวคนเดียวได้ยังไง?
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถเก็บกวาดเศษหิมะทุกจุดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!!
แม้ว่าจะอยู่ในอากาศที่หนาวเย็นแต่เงาสูญกลับใส่เพียงแค่เสื้อผ้าบาง ๆ แม้แต่ศีรษะของเขาก็ไม่ได้มีหมวกสวมเอาไว้ทำให้มีเกล็ดหิมะตกลงมาใส่ศีรษะของเขาอยู่เป็นประจำ
“ท่านจะตรวจสอบเรื่องอะไร?” เงาสูญกล่าวถาม
“ผมต้องการตรวจสอบข้อมูลศิษย์ที่เรียนวิชาพรางจิตและเล่ห์สังหารแต่หนีออกไปจากสำนักโดยไม่ได้รับอนุญาตครับ” เงากระเรียนกล่าว
“เชิญตามข้ามา” เงาสูญกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
หลังจากกล่าวจบชายชราหัวล้านก็วางไม้กวาดก่อนที่จะเดินนำเงากระเรียนไปยังอาคารที่ดูไม่สะดุดตาทางด้านซ้ายของลานบ้าน
ประตูของอาคารนี้ไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้ เงาสูญจึงผลักประตูเข้าไปด้านในก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า
“ผู้ที่เข้าเงื่อนไขของท่านมีทั้งหมดสามคน ข้อมูลของพวกเขาถูกบันทึกอยู่ที่ตำแหน่ง 1-506, 4-237 และ 5-112 ตามลำดับ”
เงาสูญพูดตัวเลขทั้งสามขึ้นมาราวกับบอกหมายเลขประจำตัวของตัวเองทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงตั้งแต่สมัยโบราณมีศิษย์เข้ามาในสำนักเป็นจำนวนมาก แต่ชายชรากลับทำราวกับว่าเขาสามารถจดจำข้อมูลของศิษย์ทุกคนได้ทั้งหมด
เพียงแค่การอ่านข้อมูลทั้งหมดในตำหนักเก็บคัมภีร์ก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายสิบปีแล้ว มันไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการท่องจำตำแหน่งของหนังสือที่อยู่ภายในตำหนักแห่งนี้เลย
“ขอบคุณครับศิษย์พี่” เงากระเรียนกล่าวก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปภายในตำหนัก ส่วนทางด้านของเงาสูญก็ปิดประตูเบา ๆ ก่อนที่จะเดินกะเผลกไปทำความสะอาดลานกว้างแห่งนี้ต่ออย่างช้า ๆ
ภายในห้องตกอยู่ในความมืดมิดเงากระเรียนจึงจำเป็นจะต้องเปิดไฟเพื่อหาข้อมูลที่ถูกบันทึกเอาไว้อยู่เป็นจำนวนมาก
เนื่องจากภายในอาคารไม่มีเครื่องทำความร้อน มันจึงทำให้อุณหภูมิภายในตำหนักเย็นกว่าลานด้านนอก
นี่คือกฎที่ผู้ก่อตั้งสำนักได้บัญญัติเอาไว้ว่าผู้ที่มีตำแหน่งสูงของสำนัก ไม่เพียงแต่จะไม่มีสิทธิ์ใช้เครื่องทำความร้อนเพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่สามารถติดตั้งหลอดไฟเอาไว้ภายในอาคารได้อีกด้วย
โชคดีที่เงากระเรียนมีอายุหลายร้อยปีและความสามารถของเขาก็ยากที่จะหยั่งถึง มันจึงทำให้ความหนาวเย็นอันรุนแรงของสถานที่แห่งนี้ไม่สามารถสร้างปัญหาใด ๆ ให้กับเขาเลย ซึ่งถ้าหากว่าคนธรรมดาได้เข้ามาในตำหนักแห่งนี้จริง ๆ พวกเขาก็อาจจะแข็งตายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที
เอกสารบันทึกที่อยู่บนชั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเนื่องจากระยะเวลาที่ยาวนาน แต่พวกมันก็ไม่เสียหายแสดงให้เห็นว่าเงาสูญดูแลบันทึกทุกอย่างดีแค่ไหน
เงากระเรียนเดินไปตามตำแหน่งที่เงาสูญได้บอกไว้ ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือขึ้นมาจำนวน 3 เล่ม
ภายในห้องมีโต๊ะเล็ก ๆ ที่มีโคมไฟวางอยู่บนโต๊ะเพื่อให้ผู้เข้ามาภายในตำหนักสามารถอ่านเอกสารบนโต๊ะแห่งนี้ได้ โดยข้อกำหนดของตำหนักแห่งนี้คือไม่มีใครมีสิทธิ์นำของทุกอย่างออกไปจากตำหนัก แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบันก็ตาม
เงากระเรียนดึงเก้าอี้วางหนังสือทั้งสามเล่มเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะเปิดหนังสืออ่านข้อมูลด้านในอย่างช้าๆ
หนังสือแต่ละเล่มไม่ได้บันทึกข้อมูลของลูกศิษย์เอาไว้เพียงแค่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องใช้เวลามากพอสมควรในการหาตัวลูกศิษย์ที่ตรงตามเงื่อนไข
สำนักเงาสังหารมีกฎที่เข้มงวดและมีหน้าที่ที่ค่อนข้างน่าเบื่อ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกศิษย์บางคนจะเลือกทำการหลบหนีเนื่องมาจากไม่สามารถทนรับกฎของสำนักได้
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหลบหนีได้สำเร็จมันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้รับอิสระอย่างแท้จริง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่นักฆ่าเดนตายหาตัวพวกเขาได้สำเร็จ พวกเขาก็จะถูกสังหารในโทษฐานทรยศสำนัก
นับตั้งแต่ที่สำนักได้ก่อตั้งมามันก็มีลูกศิษย์บางคนสามารถหลบหนีจากสำนักได้สำเร็จจริง ๆ พวกเขาจึงแอบใช้ชีวิตอย่างลับ ๆ อยู่ในมุมหนึ่งของจักรวาล ซึ่งเงากระเรียนก็คิดว่าเซี่ยเฟยอาจจะเป็นลูกหลานของศิษย์พวกนั้น
ขอบเขตการค้นหาของเขาคือผู้หลบหนีจะต้องเป็นผู้ที่ฝึกวิชาพรางจิตและวิชาเล่ห์สังหาร เพราะถ้าหากว่าเซี่ยเฟยเป็นลูกหลานของศิษย์ธรรมดา มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้เรียนวิชาระดับสูงทั้งสองวิชานี้
ในที่สุดเงากระเรียนก็ได้พบข้อมูลของศิษย์ทั้งสามที่ตรงตามข้อกำหนด และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เริ่มเปล่งประกายพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ชายชราหยิบบันทึกขึ้นมาดูซึ่งในข้อมูลมีรูปถ่ายของชายวัยกลางคนผมสีดำ, ตาสีดำและผิวสีเหลืองซึ่งดูคล้ายกับเซี่ยเฟยทุกประการ!
ตามข้อมูลศิษย์คนนี้ชื่อ ‘เงาโลหิต’ เคยเป็นศิษย์ขั้น 11 ของสำนักและมีโอกาสที่จะกลายเป็นเจ้าสำนักในอนาคต แต่เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนเขาได้เลือกที่จะหลบหนีออกไปจากสำนัก ซึ่งหลังจากนั้นสำนักก็ไม่สามารถตามหาตัวของเขาได้อีกเลย
ความคล้ายคลึงระหว่างสองคนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เงากระเรียนเชื่อว่าเซี่ยเฟยคือทายาทของเงาโลหิต แต่สิ่งที่ทำให้เขาเชื่อมโยงทั้งสองคนนี้เข้าด้วยกันจริง ๆ คือสถานที่ที่เงาโลหิตปรากฏตัวครั้งสุดท้ายคือภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ซึ่งเป็นภูมิภาคดาวเดียวกับดาวโลก!!
***************
หรือว่านี่จะคือบรรพบุรุษที่แท้จริงของพี่เฟย? ทุกคนว่ายังไงกันบ้าง