ตอนที่แล้วระบบยอดอาจารย์บ่มเพาะศิษย์ ตอนที่ 69 ข้าอยากเป็นนักปรุงโอสถ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไประบบยอดอาจารย์บ่มเพาะศิษย์ ตอนที่ 71 ข้าต้องการเข้าโถงนักปรุงโอสถ

(ฟรี)ระบบยอดอาจารย์บ่มเพาะศิษย์ ตอนที่ 70 อาชีพผู้มั่งคั่ง


หลังจากที่เซวียนห่าวอธิบายเรื่องนักปรุงโอสถให้กับชิงอี้เสร็จ นางก็ราวกับจะต้องการฟังเรื่องนี้อย่างเจาะลึก

“หากเจ้าต้องการรู้เรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่โถงปรุงโอสถของนิกายกระบี่ล่องนภา แม้พวกเขาจะไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ก็ยังสามารถเล่าสิ่งต่าง ๆ ให้เจ้าได้ดีกว่าข้า!” เมื่อเซวียนห่าวพูดจบ ชิงอี้ก็รีบวิ่งไปที่โถงโอสถในทันที

“เฮ้อ...” เซวียนห่าวถอนหายใจเล็กน้อย เขาต้องอธิบายเรื่องนักปรุงโอสถให้นางเป็นเวลานับชั่ว เขาหาที่ ๆ สงบก่อนจะใช้ระบบของเขาในทันที

เมื่อเซวียนห่าวเปิดใช้ระบบของเขา เขาก็ตระหนักว่าตนได้รับภารกิจใหม่

[ภารกิจเสริม: ศิษย์ชิงอี้กลายเป็นปรุงโอสภขั้นฝึกหัด]

[รางวัล: ความรู้และทักษะนักปรุงโอสถขั้นเชี่ยวชาญ]

ภารกิจเสริมนั้นเกี่ยวข้องกับชิงอี้ เขาต้องทำให้นางกลายเป็นนักปรุงโอสถขั้นฝึกหัด แต่ปัญหาของเซวียนห่าวคือ เขาในตอนนี้ไม่มีความรู้ศาสตร์ปรุงโอสถมากนัก หากจะเปรียบเทียบเขากับนักปรุงโอสถทั่วไป เขาก็คงเป็นนักปรุงโอสถขั้นเริ่มต้นที่ต่ำกว่าขั้นฝึกหัดเท่านั้น

ขั้นต่าง ๆ ของนักปรุงโอสถบ่งบอกถึงความสามารถในการปรุงโอสถของพวกเขา ขั้นฝึกหัดนั้นสามารถปรุงโอสถที่มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนขอบเขตก่อตั้งรากฐานได้ แต่นักปรุงโอสถขั้นเริ่มต้นสามารถปรุงโอสถให้กับผู้ฝึกตนขอบเขตรวมปราณเพียงเท่านั้น

ระดับขั้นของนักปรุงโอสถมีดังนี้ นักปรุงโอสถขั้นเริ่มต้น, นักปรุงโอสถขั้นฝึกหัด, นักปรุงโอสถขั้นชำนาญ, นักปรุงโอสถขั้นเชี่ยวชาญและนักปรุงโอสภขั้นปรมาจารย์

จากสิ่งที่เซวียนห่าวรู้ ในอาณาจักรนภาสวรรค์มีนักปรุงโอสถขั้นเชี่ยวชาญเพียงผู้เดียวเท่านั้นและเขาก็ยังเป็นสมาชิกในราชวงศ์ แม้แต่จักรวรรดินภาที่ปกครองอาณาจักรนภาสวรรค์ก็ยังมีเพียงนักปรุงโอสถเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นักปรุงโอสถที่เหนือกว่านั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวสิ่งใด แม้แต่นักปรุงโอสถในจักรวรรดิใหญ่ก็ยังต้องติดอยู่ในขั้นปรมาจารย์เพียงเท่านั้น

ผู้ที่ก้าวข้ามนักปรุงโอสถขั้นปรมาจารย์คนสุดท้ายนั้นได้ออกจากทวีปเอวาเรียไปเช่นเดียวกับผู้นึกฟันอมตะ พวกเขาทั้งสองไม่เคยหวนกลับมายังที่แห่งนี้อีก...

“ข้าไม่ควรคิดเรื่องนี้...” เซวียนห่าวห่าวส่ายหัวทันที เขาจะต้องช่วยชิงอี้เป็นนักปรุงโอสถให้ได้ หากเขาได้กลายเป็นนักปรุงโอสถหรืออาจารย์ของนักปรุงโอสถที่เก่งกาจ ในอนาคตข้างหน้า เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด

ทั่วทั้งทวีปเอวาเรียนั้นรู้ดีว่าไม่ควรไปทำให้นักปรุงโอสถขุ่นเคือง ไม่มีผู้ใดจะรู้ได้ว่านักปรุงโอสถที่เห็นนั้นปรุงโอสถมามากน้อยเพียงใด

หากนักปรุงโอสถผู้นั้นคือขั้นปรมาจารย์ เพียงแค่คำพูดเพียงคำเดียว เขาก็สามารถเรียกผู้ฝึกตนขอบเขตราชันมาช่วยตนได้

แม้นักปรุงโอสถจะมีอำนาจเท่าใด แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับอาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดเช่นผู้รักษา ผู้รักษาถือเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่แยกย่อยมาจากนักปรุงโอสถ พวกเขาสามารถปรุงโอสถ, รักษาอาการยาดเจ็บหรือรักษาโรคภัยได้นานาชนิด หากผู้รักษาผู้นั้นสามารถใช้ศาสตร์ปรุงโอสถได้ เขาก็จะพิเศษมากยิ่งขึ้น

นี่หมายความว่า หากเขาเป็นผู้รักษาขั้นปรมาจารย์ เขาก็เป็นนักปรุงโอสถขั้นปรมาจารย์เช่นกัน

เพราะเหตุนี้ ผู้รักษาจึงเป็นอาชีพที่หายากที่สุดในทวีปเอวาเรีย

ผู้รักษาไม่เพียงแต่จะขอความช่วยเหลือจากขอบเขตราชันได้เท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับที่สูงกว่าขอบเขตราชัน ผู้รักษาก็สามารถของความช่วยเหลือได้เช่นกัน เพราะผู้ฝึกตนเหล่านั้นไม่อาจรู้ได้ว่าตนนั้นจะบาดเจ็บเมื่อใด

เมื่อเทียบกับผู้มั่งคั่งอย่างผู้รักษา นักปรุงโอสถก็ไม่ต่างจากคนยากไร้เท่านั้น

“หืม...” เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เซวียนห่าวก็หวังว่าชิงอี้จะเป็นผู้รักษาได้ในอนาคต หากนางเป็นเช่นนั้นได้ ความมั่งคั่งของพวกเขาก็จะมากกว่านักปรุงโอสถอย่างยิ่ง

“หากเจ้าเป็นผู้รักษาได้จริง ข้าก็ไม่ต้องห่วงสิ่งใดในอนาคต!” เซวียนห่าวคลี่ยิ้มออกมา เขาหวังว่าจะได้เป็นอาจารย์ของผู้รักษาที่มีผู้ฝึกตนขอบเขตราชันคอยรายล้อม

“เจ้าพูดจริงหรือ!” ในห้องโถงขนาดใหญ่ของนิกายกระบี่ล่องนภา รองจ้าวนิกาย จู๋เฟยทุบโต๊ะอย่างแรง ใบหน้าของจู๋เฟยดูน่าเกรงขามอย่างมาก

โต๊ะนั้นพังลงทันทีที่ผู้ฝึกตนขอบเขตวิญญาณก่อกำเนิดเช่นเขาทุบ เศษซากกาน้ำชาและอื่น ๆ แตกกระจายไปทั่วพื้น

“ใจเย็นเฟยเฟย เราไม่สามารถหุนหันพลัยแล่นได้!” จ้าวนิกายเฟิงเฉินพยายามเกลี้ยกล่อมจู๋เฟยที่กำลังคลุ่มคลั่ง

“ข้าจะใจเย็นได้อย่างไรกัน! เจ้าพวกสารเลวนั่นกำลังนำผู้คนออกจากอาณาเขตของเราอย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสเซวียนรู้เรื่องนี้ เราจะใช้เวลานานเท่าใดในการตระหนักถึงนิกายนวาระทมิฬได้อย่างไรกัน!”

“จากสิ่งที่ผู้อาวุโสเซวียนกล่าวมา เจ้าพวกสารเลวนั่นได้บ่มเพราะวิชามารและดูดกลืนพลังปราณจากผู้อื่น! ข้าจะใจเย็นได้อย่างไรที่รู้ถึงเรื่องนี้” จู๋เฟยยืนขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวและเหวี่ยงหมัดทำลายข้าวของที่อยู่ในโถงนั้น

“ข้าจะกล่าวเรื่องนี้ต่ออาณาจักรนภาสวรรค์ สำหรับเคล็ดวิชามารนั้น มันถือเป็นสิ่งต้องหามในอาณาจักรแห่งนี้ หากพวกมันใช้เคล็ดวิชานั่นอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ข้าเกรงว่าอาจเกิดเรื่องร้าย ๆ ในอนาคตอันใกล้” เฟิงเฉินกล่าวด้วยใบหน้าดุดัน ก่อนที่จู่เฟยผู้โกรธเกรี้ยวจะเดินออกจากโถงนี้ไป

“ข้าหวังว่าเรื่องที่ข้ากังวลจะไม่เกิดขึ้น...” เฟิงเฉินพึมพำกับตนเองก่อนจะออกจากโถงนี้ไปเช่นกัน

พวกเขาโต้เถียงเรื่องที่เซวียนห่าวได้พบเผชิญกับผู้ฝึกตนมารในเมืองอาทิตย์สาดส่อง

“นี่มันเรื่องอันใดกัน...” คนรับใช้เข้าไปในโถงที่ว่างเปล่าในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขารู้สึกราวกับว่าน้ำตากำลังคลอเบ้า

สิ่งที่จู๋เฟยพังลงนั้น แม้จะผ่านไปสามวันก็ยากจะทำความสะอาดได้หมดจด

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด