ตอนที่ 23 ฝูงหมาป่าจันทรา
ค่ำคืนได้มาถึง
ก็อก ก็อก ก็อก
มู่เหลียงเคาะประตูห้องมินโฮ
“มินโฮ ได้เวลามื้อเย็นแล้วนะ”
มู่เหลียงยืนอยู่หน้าประตู พร้อมกับน้ำเสียงที่จริงจัง
“เด็กสาวอายุสิบสี่อย่างมินโฮคงถึงวัยต่อต้านแล้วสินะ”
ประตูที่ทำมาจากไม้นั้นแทบไม่กั้นเสียงที่มู่เหลียงพูดเลย มันรอดผ่านเข้าไปหลังประตูทั้งหมด
ตึบ!
ประตูถูกดึงเปิดออกอย่างรวดเร็ว
มินโฮยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อ
“ฉันไม่ได้ต่อต้านนะ”
“จ้า จ้า ไม่ต่อต้านก็ไม่ต่อต้าน”
มู่เหลียงพูดขึ้นราวกับตัวเองเป็นพ่อที่มีลูกสาว
เขายิ้มก่อนที่จะตีหน้าผากของเด็กสาวเบาๆ และพูดขึ้นว่า
“มา…กินข้าวเย็นกัน”
“อ้ะ?!”
มินโฮนัยน์ตาเบิกกว้างทันที เมื่อมองไปยังห้องโถง เพราะตอนนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนี้ที่ห้องโถงนั้นมีโต๊ะสีเหลี่ยมยกสูง และมีเก้าอี้ไม้สี่ตัว
และบนโต๊ะนั้นก็มีหม้อเหล็กวางอยู่ พร้อมกับชามที่มีไม้เสียบเนื้อเอาไว้
“เอ้าตกใจอะไร? ไปกินข้าว”
มู่เหลียงเดินไปที่โต๊ะพร้อมกับกวักมือเรียกด้วยท่าทีสบายๆ
“นี้…ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา มู่เหลียงเป็นคนสร้างของทั้งหมดนี้เลยหรอ”
มินโฮเดินมานั่งบนเก้าอี้และสำรวจมันพร้อมกับพูดขึ้น
สัมผัสที่เธอลูบกับโต๊ะนั้นมันเรียบมากจนเธอแปลกใจ
“ก็ทำแบบลวกๆ แหละ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เมื่อกี้ก็พึ่งจะสร้างอ่างน้ำเสร็จ”
มู่เหลียงตักน้ำซุปให้มินโฮพร้อมกับตอบด้วยท่าทีที่ราวกับเป็นเรื่องปกติ
“เราคงไม่คิดจะนั่งกินข้าวข้างกองไฟกันตลอดไปหรอกจริงไหม?”
“เดี๋ยว…เมื่อกี้บอกว่าอ่างน้ำหรอ?”
มินโฮตกใจแทบกัดลิ้นตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่เหลียงพูด
“ใช่ ก็เราต้องมีอะไรไว้รองน้ำไม่ใช่หรอ ฉันก็เลยสร้างอ่างน้ำขึ้นมา”
แล้วมู่เหลียงก็ชี้ไปที่มุมห้อง ที่มีอ่างน้ำขนาดใหญ่สูงประมาณเอวมู่เหลียงได้
ด้วยพละกำลังที่มีในตอนนี้มันง่ายมากที่จะทำงานช่างฝีมือจากไม้
เมื่อก่อนมู่เหลียงนั้นต้องตัดแกะไม้ที่ละน้อยๆ แต่ตอนนี้เขาแค่ฟันมีดลงไปไม้ก็แทบไม่ต่างจากก่อนเนยแข็ง
“แล้วมันเก็บน้ำได้แค่ไหน”
มินโฮถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนเลิกสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวิ่งไปดูอ่างน้ำอันนั้น
“มันก็พอที่จะเก็บน้ำไว้ใช้พอสำหรับเด็กอย่างมินโฮสัก 10 คนได้”
มินโฮเมื่อได้ยินก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ
“แล้วจะเอาน้ำมาจากไหนมากมายขนาดนั้น!”
“ก็รอจนกว่าฝนจะตกสิ”
มู่เหลียงตอบด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
สำหรับน้ำกินแค่ไปเอามาจากฐานของพวกโจรเคราโลหิตก็พอ เพราะในเมื่อพวกมันตั้งฐานที่อยู่กันได้แปลว่าฐานของมันต้องมีแหล่งน้ำหรือเก็บน้ำเอาไว้
“แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรฝนจะตกลงมาอีก นี้ก็ไม่ตกมาเจ็ดวันได้แล้ว”
มินโฮกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง และเริ่มนึกถึงเรื่องกลิ่นตัวขึ้นมาได้ ทำให้เธอไม่อยากจะกินน้ำซุปของโปรดของเธอเลยด้วยซ้ำ
มู่เหลียงหยิบเนื้อเสียบไม้ย่างมากินอย่างเอร็ดอร่อย
“รีบกินเข้าตอนที่มันยังร้อนๆ อยู่ เดียวพอกินเสร็จแล้วฉันมีอะไรให้ดูอีก”
“แล้วนี้มันอะไร?”
มินโฮถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย
“กินแล้ว…เดี๋ยวก็รู้เอง”
มู่เหลียงตอบก่อนที่จะมองไปยังชามของเด็กสาว
“ได้งั้นจะกินมันเดี๋ยวนี้แหละ!”
มินโฮถือเนื้อย่างขึ้นมาในขณะที่อีกมือถือชามซุปเอาไว้
ไม่ถึงสิบนาที เด็กสาวก็กินทุกอย่างหมด
“อ้าา…สบายท้องจัง….เอ้าหล่ะฉันกินเสร็จแล้วว่าไงต่อ!”
มินโฮเลียปากเล็กน้อยก่อนที่จะใช้สายตาใสซื่อของเธอมองมายังมู่เหลียง
ตอนนี้มินโฮนั้นเหมือนเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่กำลังรอดูว่าพ่อของเธอจะทำอะไรให้เธอแปลกใจ
มู่เหลียงเอากระดานไม้วาดรูปออกมา เป็นกระดานไม้ที่มีภาพวาดที่ชื่อ บ้านเกิด ของเขา
มู่เหลียงพูดขึ้น
“อย่าได้สัมผัสภาพนี้ตรงๆ นะ เพราะเดี๋ยวผงถ่านมันจะลอกออก”
“รู้แล้วน่า”
มินโฮรับกระดานไม้มาอย่างสนใจและพลิกดูหลายมุม
เมื่อได้เห็นชัดๆ แววตาของเธอก็เป็นประกาย ก่อนที่ปากของเธอจะอ้ากว้างขึ้น
ภาพนี้เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคย เป็นฉากที่เธอเคยเห็น และส่งผลกระทบกับความรู้สึกของมินโฮทันที
“งดงาม…มันงดงามจริงๆ”
จมูกของมินโฮเริ่มมีกลิ่นเปรี้ยวเล็กน้อย พร้อมกับสายตาที่พร่ามัว
“ชื่อของภาพวาดนี้คือ บ้านเกิด…”
มู่เหลียงพูดขึ้น และลูบหัวของมินโฮเบาๆ
ก่อนที่เขาจะออกไปจากห้องโถง ไปยังลานบ้าน และมองออกไปยังวิวทิวทัศอันมืดมิดของดินแดนที่แห้งแร้ง มันมืดมากจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วของตัวเอง
เวลานี้มู่เหลียงไม่ได้ต้องการดูวิว เขาต้องการรับลม เพราะคิดอะไรมากมายอยู่ในหัว
เขาคิดว่าโชคดีจริงๆ ที่ข้ามโลกมาแล้วได้เจอกับเด็กสาวคนนี้ และคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เขามาถึง
และเขาก็คิดถึงความรู้สึกของมินโฮที่เชื่อใจเขาอย่างมาก แม้จะเจอกันแค่เจ็ดวันก็ตาม และยินดีที่จะออกเดินทางไปกับเขา
-ที่มู่เหลียงวาดภาพนี้ออกมาเพื่อเก็บรวบรวมความทรงจำดีๆ -ที่มีต่อค่ายให้กับมินโฮเพื่อระลึกถึง บ้านเกิด
บรู๊วววววว
ในค่ำคืนที่ควรเงียบสงบกับมีเสียงของหมาป่าเห่าหอนขึ้น
มันได้ทำลายความรู้สึกซาบซึ้งนี้ของมู่เหลียง
เขาเดินไปมองยังจุดที่เกิดเสียง และเห็นจุดสีขาวจำนวนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ มันเป็นจุดขาวที่วางอยู่บนอะไรสักอย่างที่สีดำ และกำลังเคลื่อนที่อยู่
“มู่เหลียง!! กลับเข้ามาเร็ว!!”
เสียงแหบแห้งของเด็กสาวที่พึ่งร้องไห้ตะโกนขึ้น
มินโฮยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน พร้อมกับโบกมือเรียกมู่เหลียงอย่างแรง
“อะไร…เกิดอะไรขึ้น?!”
มู่เหลียงเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัย และเห็นว่าตาของมินโฮนั้นแดง
“เข้ามาก่อนข้างนอกมันอันตราย”
มินโฮรีบดึงแขนมู่เหลียงให้เข้าบ้าน และปิดประตูทันที
ก่อนที่มินโฮจะรีบเดินไปที่กองไฟ และเอาท่อนฟืนออก ทำให้ไฟมอดลง
“แฮ้ก…แฮ้ก..แฮ้ก…”
มินโฮหายใจเบาๆ แต่ถี่ขึ้น
“นี้เป็นอะไรไป หรือเพราะเสียงหมาหอนเมื่อกี้?”
มู่เหลียงเข้าไปดูอาการและพูดอย่างเป็นห่วง
“หมาป่าจันทรา…..พวกมันเป็นฝูงสัตว์อสูรที่อันตรายมาก”
มินโฮสูดน้ำมูกเล็กน้อย
เธอนั้นประทับใจกับภาพวาดของมู่เหลียงมากจนร้องไห้ออกมา แต่ตอนนี้อารมณ์ซาบซึ้งมันได้หายไป
เพราะควาามกลัวต่อหมาป่าจันทรา
“มินโฮ…ลืมอะไรรึป่าว? พวกเราก็มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเป็นพวกเหมือนกัน”
มู่เหลียงกระทืบเท้าหนึ่งที ก่อนที่จะหัวเราะในลำคอ
แอ๊!!!!
เต่าทมิฬคำรามขึ้น ราวกับส่งเสียงเตือนทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวมัน
บรู๊ว!!!
ไกลออกไปจุดที่มืดมิดก็มีเสียงของหมาป่าเห่าหอนกลับมา ก่อนที่เสียงจะห่างออกไปเรื่อยๆ
“พวกมันไปแล้ว”
มินโฮกระพริบตาหลายครั้งด้วยความประหลาดใจ หูกระต่ายของเธอนั้นจากที่หุบลงก็ค่อยๆ กลับขึ้นมาตั้งตรงอีกครั้ง
“ใช่มันไปแล้ว”
มู่เหลียงตอบ ที่จริงเขานั้นสื่อสารกับสัตว์อสูรของตัวเองบ่อยมาก จนเขาพอจะเข้าใจเสียงคำรามเมื่อครู่ว่าหมายถึงอะไร
หากแปลเป็นภาษาคนก็คือ เต่าทมิฬได้ขู่พวกหมาป่าจันทราให้ออกไปจากอาณาเขตของมัน
ทางหมาป่าจันทราเองก็ไม่ยอมแพ้ และตอบกลับมาว่า เดี๋ยวเราจะได้เจอดีกัน
“รอดแล้ว”
มินโฮเดินไปก่อกองไฟขึ้นมาอีกครั้ง
เธอนั้งนิ่งราวกับคนเสียขวัญไปพักหนึ่ง และอยู่ๆ ก็นั่งคิดว่าตัวเองนั้นลืมอะไรไป
“จริงสิ…มินโฮแล้วภาพวาดของฉันไปไหนแล้ว”
มู่เหลียงถามขึ้น ในขณะที่สีหน้าของมินโฮนั้นซีดลงทันที และมองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก ก่อนที่จะโล่งใจเมื่อเห็นภาพวาดวางอยู่บนโต๊ะ
เมื่อครู่เด็กสาวนั้นเป็นห่วงมู่เหลียงเกินไปจน ทิ้งกระดานภาพวาดทันที และรีบไปหามู่เหลียง
มินโฮเดินไปหยิบรูปภาพมาและถามขึ้น
“มู่เหลียง….มีวิธีเก็บรักษาภาพนี้เอาไว้ให้อยู่นานๆ ไหม”
“ก็แค่แขวนไว้ในห้องนอนของมินโฮก็พอแล้ว”
มู่เหลียงตอบด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
“งั้นมาช่วยฉันทำที่แขวนหน่อย”
มินโฮถือภาพวาดอย่างระมัดระวังด้วยมือทั้งสองข้าง
“ได้เดี๋ยวฉันช่วยเอง”
มู่เหลียงมองไปยังภาพวาด และรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ภาพวาดนี้ได้กลายเป็นของล้ำค่าของมินโฮไปแล้ว
มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เมื่อมู่เหลียงมองเห็นภาพกับเด็กสาวนี้