ตอนที่ 225 ประตูสู่สำนัก
ตอนที่ 225 ประตูสู่สำนัก
เซี่ยเฟยไม่เชื่อเรื่องความยุติธรรมเพราะท้ายที่สุดจุดยืนของแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน บทสรุปที่พวกเขาได้รับย่อมแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา ในจักรวาลนี้ความยุติธรรมไม่เคยมีอยู่จริงเขาจึงไม่เชื่อถือคำพูดของชายชราคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากกินอาหารจนหมดเซี่ยเฟยก็จุดบุหรี่พร้อมกับพ่นควันออกมา โดยภายในใจกำลังคิดว่าเขาจะหนีออกไปจากสถานการณ์นี้ยังไงดี
ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้เลยว่าเงารัตติกาลกังวลเรื่องต้นกำเนิดของวิชาพรางจิตและวิชาเล่ห์สังหารมาก แต่เงารัตติกาลกลับไม่ได้รู้สึกถึงความกังวลของเซี่ยเฟยในเรื่องนี้เลย แม้ว่าอีกฝ่ายจะกำลังถูกนำตัวไปสอบสวนก็ตาม
“หรือว่าเรื่องที่เขาพูดจะเป็นความจริง? วิชาทั้งสองนั้นตกทอดมาในตระกูลของพวกเขาจริง ๆ เหรอ” เงารัตติกาลคิดในใจ
อย่างไรก็ตามชายชราก็รีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าหากวิชาทั้งสองเป็นวิชาที่ตกทอดมาในตระกูลของเซี่ยเฟยจริง ๆ มันก็หมายความว่าสำนักของพวกเขาได้ขโมยวิชาทั้งสองมา
นอกจากการพูดคุยกันในคราวนั้นเงารัตติกาลก็ไม่ได้ไปเยี่ยมชายหนุ่มอีกเลย ในขณะที่ยานรบของสำนักเงาสังหารยังคงแล่นไปในจักรวาลในส่วนที่ชายหนุ่มไม่คุ้นเคย
ชายหนุ่มยังคงฝึกฝนอยู่ภายในห้องเป็นประจำทุกวันโดยมีเวลาพักแค่ช่วงเวลากินกับช่วงเวลานอนเท่านั้น ท้ายที่สุดไมโครคอมพิวเตอร์ของเขาก็ถูกยึดไป มันจึงทำให้เขาไม่สามารถทำเรื่องอื่นนอกจากการออกกำลังกายได้เลย
ระหว่างช่วงพักชายหนุ่มพยายามวาดภาพระบบเรดาร์ขึ้นมาภายในหัว และถึงแม้ว่าการไม่มีพิมพ์เขียวเป็นข้อมูลอ้างอิงจะทำให้การออกแบบสิ่งประดิษฐ์ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกสนุกกับการทำแบบนี้อยู่ดี ซึ่งในบางครั้งเขาก็ทำการออกแบบระบบในความคิดเพลินเกินไปจนถึงขนาดลืมกินข้าวไปเลยก็มี
การกระทำของเซี่ยเฟยเหล่านี้อยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของเงารัตติกาลตลอดเวลา และยิ่งเขาได้เห็นความไร้กังวลของชายหนุ่มมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าหากว่าเรื่องที่เซี่ยเฟยพูดไม่ใช่เรื่องโกหก มันก็อาจจะหมายถึงการที่สำนักของพวกเขาได้ไปขโมยวิชาทั้งสองมาจริง ๆ
“เร่งความเร็ว! กลับไปให้เร็วที่สุด” เงารัตติกาลสั่งเสียงเข้ม เพราะความสงสัยภายในใจทำให้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้
ในชั่วพริบตายานของสำนักเงาสังหารก็แล่นในอวกาศเป็นเวลากว่า 6 วัน ซึ่งในขณะนี้เซี่ยเฟยกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงพร้อมกับฝึกฝนวิชามนตราอสูร
“พวกเรามาถึงแล้ว” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยลุกขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับมองออกไปทางช่องหน้าต่าง ภาพที่ปรากฏคือดาวเคราะห์ดวงสีน้ำเงินที่มีขนาดประมาณ 1 ใน 5 ของโลก โดยพื้นผิวของดาวเคราะห์ถูกปกคลุมไปด้วยทะเลสีฟ้าครามทำให้มีพื้นที่ที่เป็นพื้นดินอยู่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“ดาวดวงนี้มีชื่อว่า ‘นิรนาม’ เป็นถิ่นฐานของสำนักเงาสังหารของพวกเรา” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย เพราะในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้กลับมายัง ‘บ้าน’ ของตัวเองเสียที
“สำนักเงาสังหารตั้งชื่อดาวเคราะห์ว่านิรนามอย่างนั้นเหรอ? บรรพบุรุษภายในสำนักของนายก็มีอารมณ์ศิลป์อยู่เหมือนกันนะเนี่ย” เซี่ยเฟยกล่าว
บนดาวนิรนามมีพื้นดินอยู่เพียงแค่ผืนเดียวและขนาดของพื้นดินก็ไม่ใหญ่มากนัก ทำให้มันดูเหมือนเกาะที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลสีฟ้าคราม
ยานอวกาศค่อย ๆ แล่นลงจอดภายในป่าอย่างช้า ๆ โดยลานจอดแห่งนี้เป็นลานจอดลับที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและต้นไม้ที่หนาทึบ
ห่างไปไม่ไกลมีภูเขาที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่เพียงลำพัง โดยภูเขาลูกนี้สูงขึ้นไปจนทะลุเมฆทำให้เชิงเขาเป็นสีเขียวแต่ยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
หลังจากที่ยานรบได้หยุดลงเซี่ยเฟยก็เดินตามเงารัตติกาลออกมาด้านนอกยาน และเมื่อเขาได้มองไปรอบ ๆ เขาก็ได้เห็นยานรบขนาดเล็กจอดอยู่ไม่ไกลอีกหลายลำ โดยพวกมันได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีและยานแต่ละลำก็มีอุปกรณ์ติดตั้งเอาไว้อย่างครบครัน
ในฐานะที่เซี่ยเฟยเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยานรบ เขาจึงสามารถเห็นคุณค่าของอุปกรณ์พวกนี้ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้พื้นลานจอดยังถูกปูด้วยโลหะผสมคริสตัลสีดำราคาแพงทำให้ชายหนุ่มสามารถสรุปได้อย่างรวดเร็วว่าสำนักเงาสังหารคือสำนักที่ร่ำรวย
ทันใดนั้นยานรบที่คุ้นตาก็บินผ่านศีรษะของพวกเขาไป โดยยานลำนี้คือแวมไพร์แต่มันไม่ได้ถูกนำมาจอดในลานจอดเดียวกัน
ต่อมาชายหนุ่มก็เดินตามเงารัตติกาลไปทางภูเขาที่สูงเสียดฟ้า โดยมีชาย 6 คนล้อมรอบเอาไว้ห่าง ๆ อีกชั้น
ระหว่างทางเซี่ยเฟยได้พบกับศิษย์ของสำนักหลายคน โดยศิษย์ส่วนใหญ่ที่เขาได้พบยังเด็กมากซึ่งบางคนยังมีอายุเพียงแค่ 5-6 ปี แต่พวกเขาทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่สวมเครื่องแบบเหมือนกันและเดินอย่างเป็นระเบียบแสดงให้เห็นถึงการฝึกฝนของสำนักที่เข้มงวด
ขณะเดียวกันมันก็อาจจะเป็นเพราะเด็กพวกนี้ไม่ค่อยได้เห็นคนนอกสำนัก พวกเขาจึงมองมาที่เซี่ยเฟยด้วยแววตาแปลก ๆ ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นตัวประหลาด แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถือสาอะไรยังคงส่งยิ้มทักทายพวกเด็ก ๆ อย่างใจดี
เงารัตติกาลแอบพยักหน้ากับตัวเองเนื่องมาจากเขาคิดว่าเซี่ยเฟยให้ความเคารพกับศิษย์ในสำนัก มันจึงทำให้เขายังคงรักษาความภาคภูมิใจของตัวเองเอาไว้ได้
เส้นทางขึ้นภูเขาเป็นถนนยาวที่มีซอยแยกออกไปเป็นระยะ ๆ โดยซอยแยกพวกนี้จะมีที่พักเป็นจำนวนมากสองฟากฝั่งของถนน
ยิ่งเซี่ยเฟยเดินขึ้นไปใกล้ยอดเขามากเท่าไหร่ศิษย์ในสำนักที่เขาได้พบเจอก็ยิ่งมีอายุมากขึ้นไปเท่านั้น คล้ายกับว่าลำดับความสูงต่ำของที่พักอาศัยถูกจัดเรียงตามลำดับอาวุโส
“ศิษย์ใหม่ทั้งหมดจะอาศัยอยู่ที่บริเวณเชิงเขา เมื่อพวกเขามีอายุเพิ่มมากขึ้นพวกเขาจะค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมาบนภูเขาทีละชั้น ตอนที่ฉันมีชีวิตอยู่ฉันอาศัยอยู่ในพื้นที่ชั้นที่ 9 ซึ่งศิษย์ที่ไม่มีคุณสมบัติจะไม่มีทางขึ้นเขามาชั้นสูงขนาดนี้ได้” อันธอธิบายเรื่องภายในสำนักให้เซี่ยเฟยฟัง
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยที่ดวงตาของเขายังคงสำรวจสิ่งต่าง ๆ ด้วยความสนใจ ภาพที่เขาเห็นคือภูเขาลูกนี้ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 13 ชั้น และการที่อันธอาศัยอยู่ในพื้นที่ชั้นที่ 9 ก็หมายความว่าเขาเป็นศิษย์ที่มีลำดับค่อนข้างสูง เซี่ยเฟยก็พยายามคาดเดาว่าคนที่อยู่บนยอดเขาจะมีความสามารถมากขนาดไหน
ในที่สุดเงารัตติกาลก็นำทุกคนมาหยุดอยู่ตรงพื้นที่ชั้นที่ 10 โดยภาพตรงหน้าคือบ้านเก่า ๆ ที่มีพื้นที่ประมาณ 800 ตารางเมตรและมันก็ถือได้ว่าเป็นบ้านที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ชั้นนี้
เมื่อเซี่ยเฟยเดินเข้ามาภายในบ้านเขาก็ได้พบว่าบ้านถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนที่ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย ซึ่งเขาก็ได้ถูกนำตัวไปยังห้องโถงทางด้านซ้ายของตัวบ้าน
“จะนั่งตรงไหนก็นั่ง เดี๋ยวฉันมา” เงารัตติกาลกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่จะนั่งลงไปบนเก้าอี้ โดยมีนักฆ่าที่สวมหน้ากากคอยยืนขนาบข้างทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
หลังจากนั้นไม่นานเงารัตติกาลก็นำชายชราอีกสองคนเข้ามา ซึ่งนักฆ่าเดนตายก็ออกจากห้องแห่งนี้ไปในทันทีเหลือเพียงเซี่ยเฟยและชายชราทั้งสามที่อยู่ภายในห้อง
เมื่อทุกคนนั่งประจำตำแหน่งเงารัตติกาลก็เริ่มแนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จักกัน
ชายชราที่นั่งในตำแหน่งแรกมีรูปร่างค่อนข้างอ้วน, ผิวขาว, มีแววตาที่อ่อนโยนและบริเวณคางของเขามีเคราอยู่เล็กน้อย ซึ่งชายชราคนนี้ก็คือ ‘เงาประกายเงิน’ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้อาวุโส
ส่วนชายชราอีกคนนั่งในตำแหน่งสุดท้ายมีรูปร่างผอม, มีหูที่ค่อนข้างใหญ่และมีดวงตาที่เฉียบคม โดยเขาคนนี้มีชื่อว่า ‘เงาจันทร์’ และเขาก็เป็นอาจารย์ที่คอยฝึกฝนอันธมานั่นเอง
ศิษย์ส่วนใหญ่ภายในสำนักเป็นเด็กกำพร้าสำนักจึงได้ตั้งชื่อทุกคนว่าเงาตามด้วยความสามารถที่โดดเด่นของพวกเขา ซึ่งชายชราทั้งสามคนนี้ก็คือเงาประกายเงิน, เงารัตติกาลและเงาจันทร์ผู้ซึ่งเป็น 3 ผู้อาวุโสสูงสุดที่คอยดูแลสำนักเงาสังหารอยู่นั่นเอง
เซี่ยเฟยมองไปทางอาจารย์ของอันธครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเขาเคยนึกสงสัยอยู่เสมอว่าคนแบบไหนถึงได้ฝึกสัตว์ประหลาดอย่างอันธขึ้นมาได้
เงาจันทร์ไม่คิดที่จะหลบสายตาของเซี่ยเฟยเลย เขายังคงเคาะนิ้วเข้าหากันราวกับว่าเขากำลังเล่นเกมแข่งจ้องตา
บุคลิกของแต่ละคนสามารถดูได้คร่าว ๆ จากสิ่งที่พวกเขาทำ การที่เงาจันทร์กล้าเล่นเป็นเด็กต่อหน้าศิษย์พี่ทั้งสองคน มันก็หมายความว่าเขาเป็นคนที่มีบุคลิกสบาย ๆ
บางทีคนที่มีบุคลิกแบบนี้อาจจะชอบแต่งบทกวีเหมือนกับอันธ ซึ่งถ้าหากว่าอันธได้รับอิทธิพลเรื่องแต่งบทกวีมาจากชายชราคนนี้จริง ๆ มันก็หมายความว่าเงาจันทร์คนนี้คือนักฆ่าที่อินดี้ที่สุดในสำนัก
บุคลิกของเงารัตติกาลคือคนที่จริงจังกับทุกเรื่องตลอดเวลา เพราะถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะกุเรื่องโกหกขึ้นมาแต่เขาก็ยังนำพาชายหนุ่มกลับมาหาความจริงที่สำนัก
สำหรับศิษย์พี่คนโตอย่างเงาประกายเงินคือคนที่มีบุคลิกแบบที่เซี่ยเฟยไม่ชอบมากที่สุด โดยชายชราคนนี้มีบุคลิกที่ค่อนข้างสงบแต่ก็ยังคงแฝงเอาไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ เซี่ยเฟยคาดเดาว่าเขาจะต้องเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่ชั่วร้าย เพราะถึงแม้ว่าเขาจะพยายามทำตัวสบาย ๆ ต่อหน้าศิษย์น้องทั้งสองคน แต่เขาก็ไม่สามารถเก็บซ่อนแววตาที่เจ้าเล่ห์ของเขาได้
เงารัตติกาลอธิบายสถานการณ์ของเซี่ยเฟยให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาฟัง ซึ่งในตอนที่เขาพูดถึงเรื่องการฆาตกรรมภายในถ้ำแววตาของเขาก็ได้เปล่งจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง แต่เขาก็สามารถระงับจิตสังหารของตัวเองได้อย่างรวดเร็วจนแทบที่จะไม่มีใครทันสัมผัสจิตสังหารของชายชราคนนี้ได้เลย
อันธได้บอกกับเซี่ยเฟยแล้วว่าพ่อของชายชู้ที่ชื่อ ‘เงาประกายเขียว’ คือศิษย์สายตรงของเงาประกายเงิน หรือมันก็หมายความว่าเงาประกายเงินคืออาจารย์ปู่ของชายชู้คนนั้นนั่นเอง
เงาประกายเงินเป็นคนที่ใจกว้างพอสมควร เพราะถึงแม้ว่าเขาจะอยากแก้แค้นให้กับหลานของตัวเอง แต่เขาก็อยากจะจัดการปัญหาในประเด็นเรื่องการขโมยวิชาของเซี่ยเฟยให้แล้วเสร็จเสียก่อน
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับสมองของเขากำลังจะแตก เพราะความสัมพันธ์ของคนในสำนักซับซ้อนจนเกินไป ซึ่งแม้แต่ชื่อของพวกเขาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้ผู้มาใหม่อาจจำเป็นจะต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะสามารถจดจำชื่อศิษย์ของสำนักนี้ได้จนหมด
“นายชื่ออะไร?” เงาประกายเงินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เซี่ยเฟยรู้สึกปวดหัวกับชายชราคนนี้มาก เพราะเงารัตติกาลได้แนะนำตัวของเขาไปแล้วในก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังคงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ผมชื่อเซี่ยเฟย”
“นายมาจากไหน?”
“จากโลก”
“อยู่แถวไหน?”
“อยู่บริเวณรอบนอกของภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่และเพิ่งจะเข้าร่วมกับพันธมิตรมนุษย์ได้เพียงแค่ไม่กี่ปี”
เงาประกายเงินยังคงยิงคำถามออกมาเรื่อย ๆ ขณะที่เงาจันทร์ปิดปากหาวราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจกับการสอบสวนในครั้งนี้
“นายเป็นคนฆ่าเงาประกายเขียวใช่ไหม?” หลังจากซักถามเป็นเวลานานในที่สุดเงาประกายเงินก็พูดเข้าประเด็น
“ใช่ ตอนนั้น…”
ปัง!
ในขณะที่เซี่ยเฟยกำลังจะอธิบายเหตุการณ์ เงาประกายเงินก็ตบโต๊ะขัดจังหวะด้วยความเกรี้ยวกราด
“ฉันไม่ได้ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น! ฉันแค่ถามว่านายคือคนฆ่าเงาประกายเขียวใช่ไหม!!”
***************