MDB ตอนที่ 298 หัวหน้าหลิน
เนื่องจากเกาเจียงมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ดังนั้นมุมมองของเกาเจียงจึงแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างชัดเจน
สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่แค่เหตุการณ์ที่หลินจินได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับสาม แต่เป็นคำสั่งส่วนตัวจากจักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรหยก
นั่นหมายถึงอะไร?
ในความคิดของเกาเจียง เขาเห็นว่าหลินจินได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิโดยตรง
‘จริงสิ หลินจินมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ?’
ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปทำอะไรที่นั่น แต่ตอนนี้เกาเจียงรู้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ทำให้ความรู้สึกที่เหนือกว่าและความคาดหวังที่เกาเจียงทำงานหนักจึงถูกดับลงและถูกทำลายเหมือนประกายถ่านเล็ก ๆ ในพายุ
มันทำให้เขาเย็นชาทั้งภายในและภายนอก
เขาไม่มีโอกาส
เขาไม่มีโอกาสเหนือกว่าหลินจินได้เลย...
ไป่เจิ้นคงพูดหลายอย่างกับหลินจิน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เมื่อเขาไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ท่านเจ้าเมืองก็จากไป ก่อนที่เขาจะจากไป ไป่เจิ้นคงร้องขออย่างจริงใจให้หลินจินมาที่คฤหาสน์ผู้ครองเมืองเพื่อดื่มชาหากเขามีเวลาว่าง
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่เกาเจียงเท่านั้นที่คิดได้ แม้แต่ไป่เจิ้นคงก็คิดออกเช่นกัน
เขาผูกมิตรกับหลินจินไม่เพียงเพราะหลินจินเป็นผู้ประเมินระดับสาม หรือความจริงที่ว่าเขามีสัตว์เลี้ยงระดับสี่ ทำให้เขาเข้าแผนกกลาโหมและกลายเป็นผู้พิทักษ์อย่างเป็นทางการเท่านั้น
เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือหลินจินได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมไป่เจิ้นคงถึงมีอัธยาศัยดีในขณะที่เขาแสดงความเป็นมิตรกับหลินจิน
เมื่อไป่เจิ้นคงจากไปแล้ว ตันหลินก็กวาดตามองหลินจินขึ้นลงหลายครั้งก่อนจะประกาศว่า
“ผู้ประเมินหลิน ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ในการศึกษาเรียนรู้ในสถาบันเกลียวสวรรค์ และเมื่อข้ากลับมา ข้าจะตามท่านให้ทัน”
นี่คือปณิธานและคำปฏิญาณ
ตอนแรกหลินจินไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากเห็นการแสดงออกที่จริงจังของตันหลิน เขาก็รู้ว่าคำประกาศของเธอดูคล้ายกับคำปฏิญาณต่อเทพเจ้า
ดังนั้นหลินจินจึงพยักหน้าและอวยพรให้เธอโชคดี
ในความเป็นจริง หลินจินรู้ว่าระดับทักษะของตันหลินใกล้เคียงกับเขาเมื่อแรกพบเท่านั้น แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด ตันหลินก็ไล่ตามเขาไม่ทัน
ต่อจากนั้น หลายคนในสมาคมต่างพากันมาแสดงความยินดีเมื่อทราบข่าว
อย่างไรก็ตาม เมืองเมเปิ้ลไม่ใช่เมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอาณาจักรมังกรหยก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยมีผู้ประเมินระดับสาม ตอนนี้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก การมาแสดงความยินดีจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ในหมู่พวกเขามีตั้งแต่ผู้อาวุโสและผู้จัดการแผนกของสมาคม
สถานที่ของตันหลินนั้นถือว่ากว้างขวาง แต่มันก็แออัดเกินไปเล็กน้อยเมื่อจำนวนคนเพิ่มขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ของสมาคมอยู่ที่นี่ เธอรู้สึกว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะประกาศแต่งตั้งหัวหน้าสมาคมคนใหม่
เมื่อเธอกำลังจะจากไปในวันพรุ่งนี้ การประกาศในตอนนี้ก็ดูเหมาะสมอย่างยิ่ง
ตันหลินจึงตัดสินใจและเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา ในขณะที่ทุกคนฟัง แม้ว่าพวกเขาจะตกใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร เนื่องจากหลินจินเป็นผู้ประเมินระดับสามแล้ว การที่เขารับตำแหน่งนี้ก็ถือว่าเหมาะสม
อย่างไรก็ดี การให้เขารับตำแหน่งเป็นเพียงหัวหน้าสาขา แม้ตำแหน่งจะไม่ได้เล็ก ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นการเสียความสามารถของเขาไปโดยเปล่าประโยชน์
แต่ในเมื่อหลินจินตกลงรับตำแหน่งนี้ ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้
สำหรับหลินจิน แม้ว่านี่จะเป็นเหมือนโชคสองชั้น แต่ในใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนขั้นแบบพิเศษ หรือตำแหน่งที่ได้รับอย่างกะทันหัน ทั้งหมดนี้ถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับหลินจิน ของพวกนี้ไม่ทำให้เขาตื่นเต้นเลยเมื่อเทียบกับเวลาที่เขาพูดคุยเรื่องการบ่มเพาะกับผู้เฒ่าลัทธิเต๋า หวู่เฉียนที่เมืองหลวง
เมื่อเขาทำธุระที่นี่เสร็จ ข้างนอกก็มืดแล้ว เมื่อหลินจินออกจากสมาคม เขาก็เห็นจ้าวหยิงและพวกรอเขาอยู่ข้างนอก
เขาสามารถบอกได้ว่าพวกเขารอมานานแล้ว
“อาจารย์หลิน ยินดีต้อนรับกลับมาเจ้าค่ะ / ขอรับ!”
เหล่าศิษย์ต่างรีบไปทักทายหลินจินเมื่อพบเขา
หลินจินพยักหน้า
หลินจินพอใจกับเหล่าศิษย์ของเขามาก จากการสังเกตของเขาในวันนี้ แม้แต่หลู่เสี่ยวหยุนซึ่งเป็นผู้ที่ทักษะอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม ก็ยังอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผู้ประเมินฝึกหัด
ไม่ต้องพูดถึงจ้าวหยิงและฮานดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจียเฉียนที่มีความสามารถมากที่สุดในบรรดาพวกเขา พวกเขาทั้งหมดอยู่ในมาตรฐานของผู้ประเมินทางการ บางทีพวกเขาอาจจะผ่านการสอบในครั้งต่อไป
“พวกเจ้าคงรอข้ามานานแล้วใช่หรือไม่?” หลินจินถามด้วยรอยยิ้ม เขาสวมเสื้อคลุมยาวและมีท่าทางสง่างาม ตอนนี้เขาดูเหมือนอาจารย์มากขึ้น
บางทีอาจเป็นเพราะการฝึกฝนคัมภีร์จ้าวอสูรเล่มที่สี่ และผสานร่างกับเสี่ยวฮั่วในตอนนี้ ทำให้หลินจินมีออร่าศักดิ์สิทธิ์รอบตัวเขา
ท้ายที่สุดแล้วกายาแห่งธรรมก็ให้ผลลัพธ์เช่นกัน
ตอนนี้บ้านเล็ก ๆ ของหลินจินได้แออัดมากยิ่งขึ้น
จ้าวหยิงและกลุ่มก็เข้ามา รวมถึงชางเอ๋อร์และเสี่ยวอู่ด้วย ทำให้มีทั้งหมด 7 คน เมื่อรวมกับสัตว์เลี้ยงแล้ว พวกเขาจึงสามารถนั่งอยู่ข้างนอกในสนามได้เท่านั้น
จ้าวหยิงและคนอื่น ๆ ต้องการทำอาหารเลี้ยงฉลอง แต่หลินจินไม่เห็นด้วย เนื่องจากพวกเขายังเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานอันยาวนาน ควรเอาไว้ในโอกาสที่เหมาะสม
แถมหลินจินไม่ต้องทำอะไรมาก แล้วอีกอย่าง เนื่องจากเขาตกลงรับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมประเมินสัตว์วิเศษแห่งเมืองเมเปิ้ล ตอนนี้เขาจึงไม่สามารถไปไหนได้
มีหลายสิ่งที่ต้องทำในฐานะหัวหน้าสมาคม
ผ่านไปครึ่งทางของการสนทนาที่น่ารื่นรมย์ ก็มีคนเข้ามามากขึ้น พวกเขาคือหลู่หยุนเหอและซื่อเหวินจวิน
ในความเป็นจริง ด้วยความสามารถในการรับรู้ของหลินจิน เขาสามารถบอกได้ว่าเย่หยู่โจวก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ชายคนนั้นไม่สะดวกใจที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงรออยู่ข้างนอกโดยไม่เข้ามา
หลังจากส่งจ้าวหยิงและคนอื่น ๆ ไปแล้ว หลินจินก็ออกไปพบเย่หยู่โจว
“ข้าขอแสดงความยินดีด้วย ผู้ประเมินหลิน” เย่หยู่โจวยิ้ม “นี่เป็นโชคสองชั้นอย่างแท้จริง”
หลินจินยิ้มโดยไม่แสดงความคิดเห็นมากนัก เย่หยู่โจวพูดถูก สิ่งนี้ถือเป็นโชคสองชั้น
เย่หยู่โจวเคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงจากอีกาทมิฬและคนอื่น ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อเป็นสักขีพยาน แต่เขาก็รู้รายละเอียดเป็นอย่างดี
ดังนั้น เย่หยู่โจวจึงเข้าใจว่าทำไมหลินจินถึงได้รับเกียรติในการเลื่อนขั้นจากจักรพรรดิ ฝ่ายหลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานจากหลินจินเพื่อที่เขาจะได้รับไมตรีจาก 'ภัณฑารักษ์'
“ระหว่างการเปิดห้องโถงเยี่ยมชมครั้งสุดท้าย ภัณฑารักษ์พูดไม่กี่คำและรีบจากไป เรากังวลและสงสัยว่าภัณฑารักษ์เป็นอย่างไรบ้างในช่วงนี้?” เย่หยู่โจวไม่อาจหักห้ามใจได้ เขาจึงถามด้วยความกังวลออกมา
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น เหล่าผู้เยี่ยมชมคนอื่น ๆ ก็ยังขอร้องให้เขาสอบถามกับหลินจิน เผื่อชายหนุ่มคนนั้นจะรู้อะไรบางอย่างก็เห็นได้
ในตอนนั้น หลินจินพยายามถอดความเคล็ดวิชาเมฆานำพาในภาพฉายเทพนิรมิตนิรันดร์ แต่เขาไม่สามารถพูดเรื่องนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงตอบเพียงว่า
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้”
เย่หยู่โจวพยักหน้ารับทราบ และไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
ทั้งสองคุยกันต่อไปอีกพักหนึ่งจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปมาก จากนั้น เย่หยู่โจวก็จากไป
ในที่สุดหลินจินก็สามารถกลับไปพักผ่อนได้อย่างสบายใจ
สำหรับชางเอ๋อร์ เธอแตกต่างจากคนอื่น ๆ เธอไม่มีคำถามมากมายสำหรับหลินจิน เธอแค่ปรนนิบัติเขาอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งทุกคนออกไป เมื่อเธอเห็นหลินจินนั่งขัดสมาธิขณะที่เขาทำสมาธิ ชางเอ๋อร์ก็นั่งข้าง ๆ และจ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในบรรดามิตรสหายของหลินจิน การบ่มเพาะและการสังเกตของชางเอ๋อร์นั้นดีที่สุด ดังนั้นเธอจึงเห็นได้ว่าหลินจินเปลี่ยนไปมากเพียงใดตั้งแต่เขาจากไป
"เจ้ากำลังมองอะไรอยู่หรือ?" หลินจินถามโดยไม่ลืมตา
ชางเอ๋อร์ยืดตัวตรงอย่างรวดเร็วและถามว่า
“อาจารย์หลิน เสี่ยวฮั่วอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ?”