บทที่ 210: พรสวรรค์ที่น่าทึ่งของหยินชาง
ในขณะนี้เด็กทุกคนเหนื่อยล้ากันมากแล้วจึงพากันไปนั่งพักผ่อนอยู่ที่ด้านข้างทุ่งผลไม้ดิน
แถมพวกเขายังพร้อมใจกันเมินเฉยต่อพฤติกรรมของหลงเหยาอีกด้วย
เพราะทุกคนรู้ว่าการห้ามไม่ให้เจ้าตัวแสบกินก็ไม่ต่างจากการฆ่าเขาเลย
ทว่ามีเพียงหยินชางเท่านั้นที่ไม่คิดจะพัก เขายังคงมุมานะขุดผลไม้ดินออกมาจากพื้นดินเรื่อย ๆ
เด็กหนุ่มรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์พักผ่อนเหมือนเด็กตระกูลหลงคนอื่น และคุณค่าเพียงอย่างเดียวที่เขามีต่อครอบครัวของหูเจียวเจียวคือการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ให้แก่พวกเขา
“ไอ้โง่นั่นไม่ยอมมาพักกับเรา” หลงจงที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลเม้มริมฝีปากมองไปทางเด็กตัวโตกว่าที่เหงื่อออกโทรมกาย
“หยินชาง ข้าจะสอนเจ้าเล่นหนังสติ๊กเอง!” หลงหลิงเอ๋อก้าวไปคว้าเครื่องมือขุดของหยินชางมาไว้ในมือแล้วลากเขาออกไปอีกด้านหนึ่ง
นั่นทำให้ใบหน้าของหลงจงมืดลงทันที “เจ้าหมอนั่นจงใจเรียกร้องความสนใจจากหลิงเอ๋อ!”
…
ยามนี้หยินชางถูกบังคับให้วางจอบในมือลง เขาเลยจำใจต้องเดินตามแรงลากของเด็กสาวตัวน้อยไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งทั้งคู่มาถึงป่าที่อยู่ไม่ไกลนัก
จากนั้นหลงหลิงเอ๋อก็หยิบหนังสติ๊กเล็ก ๆ ที่นางพกติดตัวอยู่เป็นประจำออกมา ก่อนจะสอนวิธีเล่นให้เด็กหนุ่มแบบละเอียดทุกขั้นตอน
เนื่องจากนางมีบุคลิกที่สดใส เข้ากับคนได้ง่ายและช่างพูดคุย ในขณะที่หลงอวี้กับหลงเซียวพูดน้อยจึงดูเป็นคนน่าเบื่อ หลงจงก็ปากจัดกัดคนไม่เลือก ส่วนหลงเหยาเองก็รู้จักแต่กินเท่านั้น ด้วยเหตุนี้สาวน้อยเพียงหนึ่งเดียวในตระกูลหลงจึงแตกต่างจากพี่น้องของตัวเองมาก
แม้ว่าหยินชางจะไม่สามารถพูดตอบโต้กับอีกฝ่ายได้ แต่ทุกครั้งที่นางคุยกับเขา ๆ จะตั้งใจฟัง
เพราะฉะนั้นนอกจากหูเจียวเจียวแล้ว หลงหลิงเอ๋อคือคนที่เป็นมิตรที่สุดในครอบครัวตระกูลหลง อีกทั้งพวกนางมักจะคอยดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี
“นี่คือหนังสติ๊กที่ท่านแม่ทำขึ้นมา มันวิเศษมาก เจ้าสามารถใช้มันยิงนกบนต้นไม้ได้ด้วย…”
“ข้าจะสอนวิธีใช้ให้ คอยดูข้านะ”
ในขณะที่เด็กสาวแนะนำ นางแทบรอไม่ไหวที่จะได้แสดงพลังของหนังสติ๊กให้หยินชางดู
ส่วนเด็กหนุ่มก็รับฟังคำพูดของนางแบบตั้งอกตั้งใจโดยไม่แสดงอาการใจร้อนให้เห็นเลยสักนิด
ครู่ถัดมา สาวน้อยวางก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ไว้ที่แผ่นหนังสัตว์ ก่อนจะดึงหนังสติ๊กให้ยืดออกแล้วเล็งไปที่นกบนต้นไม้ ทันทีที่นางปล่อยมือ ก้อนหินก็พุ่งออกไปกระแทกนกบนต้นไม้อย่างแม่นยำ
ผลั่ก!
จากนั้นหลงหลิงเอ๋อก็วิ่งไปหยิบนกสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาจากพื้น
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาสีดำสนิทของหยินชาง ตอนแรกเขาคิดว่าอีกคนแค่พูดเล่น แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่านางจะยิงโดนนกจริง ๆ
หนังสติ๊กที่ว่านี้ทรงพลังแค่ไหนกัน?
“ลองดูสิ มันสนุกดีนะ” เด็กสาวพูดพลางยัดหนังสติ๊กใส่มือของคนตัวโตกว่า
พอหยินชางเห็นดวงตากลมโตของหลงหลิงเอ๋อมองมาที่ตนอย่างคาดหวัง เขาจึงเม้มริมฝีปากมองไปทางอื่น ก่อนจะพยายามเลียนแบบการกระทำของนางเมื่อกี้และดึงหนังสติ๊กขึ้นไปบนฟ้า
สาวน้อยที่เห็นการเคลื่อนไหวของเขารีบเข้าไปช่วยแก้ไขโดยรวดเร็ว “เจ้าจะยิงนกบนท้องฟ้าไม่ได้ นกที่อยู่บนต้นไม้ยิงง่ายกว่า…”
เนื่องจากนกที่บินอยู่บนท้องฟ้าเป็นเป้าหมายเคลื่อนที่ และในบรรดาเด็กตระกูลหลง มีเพียงหลงอวี้เท่านั้นที่เคยโจมตีโดนพวกมัน นางจึงรู้ว่ามันทำได้ยากมาก
…
อีกด้านหนึ่งของป่า
หวงเยว่กำลังเรียกนกที่มีขนสีขาวบนหัวให้บินมาหาตน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหตุผลที่นางถูกปีศาจตนนั้นส่งไปยังเผ่าต่าง ๆ ในฐานะคนสอดแนมมันเป็นเพราะนางสามารถใช้นกเพื่อส่งสารได้ และมีเพียงภูตของเผ่าหงส์ไฟเท่านั้นที่สามารถเข้าใจข้อความที่นางส่งไป ดังนั้นพวกนาง 2 พี่น้องจึงยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้
เพียงแต่ว่านกหรือสัตว์ป่าที่นางเรียกมาได้นั้นมีข้อจำกัด อีกทั้งนางยังสามารถควบคุมได้เฉพาะนกหรือสัตว์ป่าบางชนิดเท่านั้น โดยธรรมชาติแล้วนกและสัตว์ป่าประเภทนี้กลัวภูต พวกมันแทบจะไม่เข้าใกล้เผ่าที่มีภูตอาศัยอยู่เลย นางจึงต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการเรียกมันมา
ต่อมา หวงเยว่ใช้มือลูบขนนกเบา ๆ พร้อมกับบอกนกถึงข่าวที่นางได้รับจากเผ่าเป็นภาษาสัตว์ จากนั้นนางก็ปล่อยนกออกไป
บัดนี้หงส์สาวมองตามนกที่บินสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ดวงตาของนางมืดมนปนเย็นชา
อีกไม่นานนกจะนำข่าวไปบอกปีศาจตัวนั้น
แล้วเขาก็จะนำฝูงภูตหมาป่าบุกโจมตีเผ่าแห่งนี้ ตามมาด้วยการเข่นฆ่า ปล้นเสบียงอาหารของผู้คนในเผ่า จนกระทั่งทุกอย่างที่นี่ราบเป็นหน้ากลอง
ตอนแรกนางไม่เต็มใจที่จะทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ แต่เขาสั่งให้คนทำร้ายน้องชายของนางอย่างโหดเหี้ยมจนเลือดอาบ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากที่หงส์สาวทำตามที่อีกฝ่ายสั่งครั้งแรก มันก็มีครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ต่อไปเรื่อย ๆ…
ตอนนี้หญิงสาวจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเข้าไปแฝงตัวอยู่ในเผ่ากี่เผ่า มีภูตกี่คนที่ตายต่อหน้าต่อตา จิตใจของนางสับสนไปหมด ซึ่งปีศาจตนนั้นทำสำเร็จ มันทำให้นางกลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์
หวงเยว่ถอนสายตาออกจากนกที่กำลังบินออกไป ในที่สุดก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจของนางก็ถูกยกออกสักที
แทนที่นางจะกลับไปหาเป้าเฟิง นางเลือกที่จะหันหลังเดินออกจากที่นี่ไปแบบไม่ลังเล
…
กลับมาที่ด้านของเด็กทั้ง 2
เมื่อหลงหลิงเอ๋อเห็นว่าหยินชางยืนกรานที่จะเล็งหนังสติ๊กไปที่ท้องฟ้า นางก็ถอนหายใจแล้วปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเอง
อย่างไรเสีย นางคิดว่าถ้าเขายิงนกที่เป็นเป้าเคลื่อนที่ไม่ได้ เขาก็จะเปลี่ยนใจมายิงนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้เอง
ณ ขณะนี้มีนกตัว 1 เพิ่งบินผ่านอากาศไป
เด็กหนุ่มจึงเล็งไปที่นกตัวนั้นก่อนจะปล่อยมือ ในวินาทีต่อมาก็มีเสียงนกร้องสั้น ๆ ดังขึ้น
นกผู้เคราะห์ร้ายถูกก้อนหินยิงจนร่วงหล่นผ่านกิ่งไม้และตกลงมาตรงหน้าหลงหลิงเอ๋อ
เด็กสาวที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกตกตะลึง นางยกมือขยี้ตาเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป
จากนั้นนางก็ก้มลงมองนกบนพื้นที่ปีกหักแต่ยังหายใจอยู่ ไม่นานใบหน้านวลผ่องของนางก็เต็มไปด้วยความตกใจ
นี่เขา… เขายิงนกที่กำลังบินอยู่ได้ทั้งที่เขาเพิ่งเคยใช้หนังสติ๊กเป็นครั้งแรก!
เขาเก่งกว่าพี่ใหญ่ที่ฝึกยิงนกบินมานานกว่าเสียอีก แถมพี่ใหญ่ยังยิงพลาดไปหลายครั้งด้วย
“หยินชาง เจ้าเคยเล่นหนังสติ๊กมาก่อนหรือเปล่า จริง ๆ แล้วเจ้าเป็นเซียนหนังสติ๊กใช่ไหม?”
ดวงตารูปอัลมอนด์ของหลงหลิงเอ๋อฉายแววตื่นเต้น นางอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้ออกมา
หยินชางส่ายหัวปฏิเสธพลางเล่นกับหนังสติ๊กในมืออย่างอยากรู้อยากเห็น นอกจากนี้เขายังประหลาดใจมากกับอานุภาพของอุปกรณ์ชิ้นนี้
เขาไม่นึกเลยว่าเจ้าแท่งไม้เล็ก ๆ นี่จะมีพลังมหาศาล
ดูเหมือนว่าความรุนแรงของการโจมตีจะขึ้นอยู่กับระยะในการยิง อีกทั้งมันยังสามารถใช้จับเหยื่อขนาดเล็กที่เปราะบางได้ด้วย
เมื่อสาวน้อยเห็นเด็กหนุ่มปฏิเสธ กรามของนางก็เกือบจะตกลงไปถึงพื้นเพราะความตกใจ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เก่งเกินไป…”
หยินชางไม่เคยได้รับคำชมมากขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเขินอายอยู่พักหนึ่ง
แต่หลงหลิงเอ๋อกลับรู้สึกตื่นเต้น นางดึงแขนของเขาพร้อมเอ่ยชวนว่า “เจ้าลองอีกครั้งสิ มาดูกันว่าเจ้ายังสามารถยิงนกได้หรือไม่!”
คนตัวโตกว่าพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบหนังสติ๊กขึ้นมาเล็งไปที่ท้องฟ้า แต่หลังจากรออยู่นาน เขาก็ไม่เห็นนกบินผ่านมาเลยสักตัว แม้แต่นกบนต้นไม้ก็ยังกลัวหัวหดเพราะหินที่เด็กสาวยิงออกไปเมื่อกี้นี้
พอเวลาผ่านไปไม่นาน หลงหลิงเอ๋อก็เรียกสติตัวเองกลับมา นางจึงพูดอย่างเขินอายว่า “ข้าลืมไป... นกในเผ่าถูกยิงไปเกือบจะหมดแล้ว มันไม่น่าจะมีนกเหลืออีกแล้ว งั้นก็ช่างมันเถอะ”
เด็กสาวพูดจบแล้วก็หันกลับมาดึงหนังสติ๊กจากมือหยินชางไป
“หยินชาง นกที่เจ้ายิงตัวใหญ่มาก มันมีขนสีขาวบนหัวด้วย เจ้าเอามันกลับไปให้ท่านแม่ย่างให้เจ้ากินเถอะ!”
สาวน้อยหันมาพูดกับเด็กหนุ่มอย่างมีความสุขในขณะที่ถือนกตัวอ้วนไว้ในมือ
…
ยามที่พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า
หลังจากหูเจียวเจียวขุดมันฝรั่งเสร็จ เธอก็บอกลาหูหมินกับหู่จิง ก่อนจะพาลูก ๆ กลับบ้าน
ในตอนที่แม่จิ้งจอกกำลังจะพาทุกคนกลับ เธอได้นับจำนวนเด็กแล้วพบว่ามีเด็กหายไป 1 คน
“เหยาเอ๋ออยู่ที่ไหน?” หญิงสาวมองไปรอบ ๆ และพบว่าลูกชายคนสุดท้องหายตัวไป
“ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าป่าไปในช่วงเวลาที่เราพักผ่อนกัน แล้วยังไม่ได้กลับมา” หลงอวี้ที่เป็นพี่ชายคนโตเคลื่อนไหวเป็นคนแรก เขาตั้งท่าจะเดินเข้าไปในป่า “ข้าจะไปตามหาเขา”
แต่พอเขาเดินไปได้ 2 ก้าว ทุกคนก็เห็นเด็กชายร่างท้วมคนหนึ่งเดินออกมาจากป่าพลางเอามือลูบท้องกลม ๆ ของตัวเอง
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: บางทีหวงเยว่ก็เป็นนางร้ายที่อาภัพเกินไป จะทำอะไรก็โดนขัดขวางไปหมด 5555555