ตอนที่ 20 ติดกับ
ในเวลาเดียวกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง ได้มีเสียงพูดคุยของคนสามคนขึ้น
“ไอ้เวร 4 ตัวนั้นมันหายไปไหน!! ไม่ใช่ถูกสัตว์อสูรคาบไปกินแล้วหรอกนะ”
“ขอให้มันตายเพราะถูกสัตว์อสูรลากไปกินละกัน ไม่งั้นพวกมันกลับไปคงถูกหัวหน้าถลกหนังแน่”
“หรือว่าพวกมันจะถูกคนในค่ายนี้ฆ่าไปแล้ว?”
“บ้าหรอ!! ใครมันจะกล้าทำแบบนั้น หากรู้ว่าเป็นกลุ่มโจรเคราโลหิตพวกมันก็หนีจนป่าราบแล้ว”
“ที่พูดก็มีเหตุผล”
มีชายสามคนที่ดูเหมือนพวกนักเลงเดินพูดคุยกันมาตลอดทาง
พวกมันเป็นสายของกลุ่มโจรเคราโลหิตที่ส่งมาตรวจสอบเรื่องนี้ และออกเดินทางมาตั้งแต่เช้า
การเดินทางยามค่ำคืนนั้นเสี่ยงมากที่จะถูกสัตว์อสูรจู่โจมได้
นอกเสียจากว่าจะมีทักษะเอาตัวรอดและแข็งแกร่งพอตัว แต่หากโชคร้ายไปเจอกับสัตว์อสูรที่ดุร้ายเข้าก็คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่
สมาชิกของกลุ่มเคราโลหิตเองก็ไม่ใช่พวกสวะเศษเดน สมาชิกในกลุ่มต้องมีความสามารถไม่งั้นก็เป็นแค่แรงงานทาส
และแรงงานทาสพวกนี้มักจะถูกซ้อมและทำร้าย หรือจับไปทรมานเพื่อความสนุก ทำให้ความตายนั้นยังดูดีกว่า
“อีกไกลแค่ไหน?”
หนึ่งในนั้นถามขึ้น
“ก็เช้าเมื่อไหร่ก็คงถึงพอดี”
“นี้…ทำไมหัวหน้าถึงยอมร่วมมือกับค่ายเล็กๆ แบบนี้ด้วย พวกเราก็แค่ฆ่าพวกมัน และปล้นของมันก็พอ”
“ลืมพวกฝูงหมาป่าจันทราไปแล้วรึไง? ครั้งก่อนพวกมันเล่นงานคนเราตายไปหลายคน หัวหน้าเลยต้องการกำลังคนเพิ่ม”
“โชคไม่ดี ที่คนของเราตายไปหลายคนในตอนนั้น…”
“อย่ามัวแต่พูดมากเลย รีบเดินดีกว่า”
ทั้งสามหยุดคุย และเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
บางครั้งก็มีหยุดพักบ้าง หรือนอนเอาแรงตามโขดหิน เพื่อหลบจากสัตว์ร้าย
พวกเขาเดินทางไปเรื่อยๆ จนกระทั้งแสงของวันใหม่สาดส่องมาถึง และเห็นค่ายขนาดเท่ากำปั้นจากที่ไกลๆ
“นั่นใช่ค่ายที่หัวหน้าบอกรึป่าว?”
“ค่ายนั่นแหละถูกต้อง”
คนที่ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มก็พูดขึ้นทันที
“แยกออกไปสามทาง แล้วไปเจอกันที่จุดนี้”
“เข้าใจแล้ว”
ทั้งสามนัดสถานที่กันก่อนที่จะแยกย้ายไปคนละทาง และแอบลักลอบเข้าไปในค่าย
ระหว่างทางนั้นสีหน้าของทั้งสามก็เริ่มไม่สู้ดีเท่าไหร่
เพราะมันไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลย และเงียบผิดปกติ ราวกับค่ายนี้ไม่มีใครอยู่
ตุบ!!
อยู่ๆ โจรคนหนึ่งก็ล้มลง
“อะไรหวะ!!”
เขารีบลุกขึ้น และมองหาว่าเขาสะดุดสิ่งใด
แต่เมื่อมองหาอยู่พักหนึ่ง ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรวางขวางทาง และได้แต่สงสัย
“แปลกแหะ…”
โจรคนนี้เริ่มระวังตัวขึ้น และรู้สึกไม่ไว้ใจสิ่งใด
เช่นเดียวกันโจรคนอื่นๆ เมื่อเข้าใกล้ตัวค่ายก็ต่างสะดุดล้มลงโดยหาสาเหตุไม่ได้
หลังจากที่ทั้งสามแอบเข้าไปและตรวจสอบดูค่ายแล้ว ทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกันที่เนินเขาลูกเดิมที่แยกกัน
“ประตูบ้านทุกหลังเปิดออก ของส่วนใหญ่ถูกขนออกไปหมด ราวกับรีบออกไป”
“ฉันเจอกองไฟที่ยังอุ่นอยู่เลย แปลว่าพึ่งจะไปได้ไม่นาน”
โจรอีกคนพูดขึ้น
หัวหน้าของกลุ่มเข้าใจทุกอย่างในทันที
“แกตามฉันมา!! พวกเราต้องรีบกลับไปบอกเรื่องนี้ให้หัวหน้ารู้!”
“คิดว่าหัวหน้าจะตามพวกชาวค่ายทันงั้นหรอ!”
“แกถามอะไรงี่เง่าแบบนี้! ไอพวกชาวค่ายนี้มันกำลังหยามหน้าหัวหน้าของเรา ด้วยความโกรธของหัวหน้าก็คงไล่ล่าพวกมันจนทันแน่”
“เดี๋ยวก่อนเถอะ….พวกแกได้ตายกันหมดแน่!”
“อย่ามัวแต่คุยเรื่องนี้ เราต้องรีบกลับไปรายงานให้หัวหน้าฟังให้เร็วที่สุด!”
“เออ!”
ทั้งสามสรุปทุกอย่างเรียบร้อบยแล้ว ก็รีบกินและพักผ่อนเอาแรงทันที
ก่อนที่ครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งสามคนจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม คนหนึ่งจะตามชาวค่ายไป อีกสองคนจะกลับไปรายงานเรื่องนี้
เมื่อทั้งสามแยกย้ายไปกันหมดแล้ว กิ้งก่าที่ยาวกว่าสองเมตรก็ปรากฏตัวออกมาหลังก้อนหินขนาดใหญ่ ที่อยู่ตรงเนินเขา
กี้!!
กิ้งก่าสามสีแลบลิ้นออกมาเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่ง และรอคำสั่งต่อไปจากมู่เหลียง
ใช่แล้วนี้คือเสี่ยวไก มันอยู่นิ่งไม่ได้นาน ก่อนที่จะโดดลงมาจากหิน และตามกลุ่มโจรสองคนไป
…..
ในเวลาเดียวกันจากเนินเขาห่างออกไปหลายพันเมตร เต่าทมิฬก็กำลังนอนหลับอยู่ในที่ของมัน
หากไม่สังเกตดูดีๆ จะไม่รู้เลยว่านี้คือกระดองของเต่า และจะเห็นเป็นแค่เนินเขาเล็กๆ เท่านั้น
หลังจากที่ใช้แต้มฝึกฝนทำให้เต่าทมิฬอิ่มท้องไป มันก็ไม่เคลื่อนไหวมากเหมือนเช่นเดิม และนอนนิ่งเหมือนกับก้อนหิน
“ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากแผนที่เราวางเอาไว้เลย ตอนนี้แผนการของเราก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถึงเวลาขั้นต่อไปแล้ว”
มู่เหลียงแสยะยิ้มที่มุมปาก เขาลุกขึ้นจากกองไฟ และบิดร่างกายเล็กน้อย
เมื่อตีสามของคืนที่ผ่านมา เขาออกไปเติมฟืนที่ในค่ายอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับมานอน ซึ่งเขานอนไปแค่สี่ชั่วโมงเท่านั้น
ก่อนที่แมงมุมผีแดงจะส่งกระแสจิตมาเตือนเขาว่าเจอการเคลื่อนไหว
หลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว เขาก็ได้แอบติดตามเหล่าโจรทั้งสามอย่างใกล้ชิด และตรวจสอบพฤจิกรรมของพวกมันทั้งหมด
ในที่สุดก็รู้ว่าหัวหน้าของกลุ่มนี้ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง
แล้วมู่เหลียงก็ได้สั่งให้เสี่ยวไกติดตามโจรสองคนกลับไปยังฐานที่มั่นของพวกมันด้วย
ในขณะที่แมงมุมผีแดงนั้นได้รับมอบหมายให้จัดการกับโจรที่เหลืออยู่คนเดียว
“อ้า…ฉันนอนตื่นสายหรือเนี่ย”
มินโฮที่เดินออกมาจากห้องด้วยทรงผมยุ่งเหยิง กับหูกระต่ายที่ตั้งตรง พร้อมกับห่มขนหมาป่า
เมื่อเธอเดินออกมาก็เห็นว่ามู่เหลียงยืนอยู่แล้ว ทำให้เธอตกใจและตะโกนโวยวายทันที
“จริงด้วย! มู่เหลียงเรารีบไปที่ค่ายเติมฟืนเพิ่มกันเร็ว!”
“ไม่ต้องแล้วหล่ะ”
มู่เหลียงตอบตัดบทของมินโฮทันที และเขาหันกลับมามองเห็นว่าเด็กน้อยทำท่าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้
มู่เหลียงเลิกแกล้งแสดงสีหน้าจริงจัง และพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร ฉันไปจุดเพิ่มตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“งั้นหรอ ฉันนอนหลับลึกเกินไปสินะ…”
มินโอกอดขนหมาป่าไว้แน่น และเอาขึ้นมาปิดครึ่งหน้าของเธอด้วยความเขินอาย
“ที่จริงมันก็พอเหมาะพอเจาะ พวกโจรมันติดกับ แผนของพวกเราแล้ว”
มู่เหลียงก้าวไปข้างหน้ามินโฮอย่างใจเย็น และตบไหล่ของมินโฮเบาๆ
“อือ…”
ใบหน้าที่เรียวงามของมินโฮนั้นแดงไปหมด ก่อนที่เธอจะส่งเสียงตอบกลับมาอย่างน่ารัก และรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน
มินโฮก็ส่งเสียงที่ดูไม่พอใจออกมาจากห้อง
“มู่เหลียง!! แล้วทำไมนายถึงไม่มาปลุกฉันไปช่วยก่อกองไฟเมื่อคืน!”
ก่อนเข้านอน มินโฮได้ย้ำกับมู่เหลียงว่าหากจะไปจุดกองไฟเพิ่มให้เรียกเธอไปด้วย
“พอดี…ฉันลืมหน่ะ”
มู่เหลียงเห็นว่าเด็กสาวนอนหลับสนิท พร้อมกับกอดขนหมาป่าไว้แน่น ทำให้เขาไม่กล้าที่จะปลุกเธอขึ้นมา
เพราะทั้งการสร้างบ้านในตอนเช้า และมาก่อกองไฟในตอนกลางคืนคงหนักเกินไปสำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง
ร่างกายของเด็กผู้หญิงมีขีดจำกัดไม่เหมือนกับเขา เด็กสาวคงจะอ่อนล้ามาทั้งวันอย่างแน่นอน
“ฮึ!!”
มินโฮตะโกนออกมาเบาๆ เพราะรู้ว่าสิ่งที่มู่เหลียงพูดนั้นก็แค่ข้ออ้าง
เพราะแบบนั้นเธอถึงรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปช่วยงานมู่เหลียงด้วย
มู่เหลียงมองไปยังประตูก่อนจะพูดขึ้น
“งั้นอาหารเช้าวันนี้ มินโฮเป็นคนจัดการตกลงไหม?”
“ก็ได้!”
ร่างเล็กๆ ของมินโฮชะโงกตัวออกมาหลังประตูห้องก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“วันนี้วางใจได้ ฉันจะจัดการเรื่องอาหารเอง!”
“ได้ๆ งั้นอาหารเช้าฉันยกให้เธอจัดการเลย”
มู่เหลียงหันหลัง พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
เด็กสาวคนนี้อ่านง่ายจริงๆ